สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - บทที่ 99.1 เป็นข้ารับใช้ของข้า ก็ต้องรักษากฎของข้า (1)
ระหว่างทางกลับจวน ฉู่ฉีเหยียนพิงผนังรถม้าหลับตลอดทาง ไม่พูดอะไรขึ้นสักประโยคตั้งแต่ต้นจนจบ
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉู่สวินหยางลงมือจัดการเขาอย่างเปิดเผย
ถึงแม้จะเป็นสิ่งที่สวรรค์จะลิขิตไว้แล้วก็ตาม แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ในใจยังคงรู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่พอสมควร
หลี่หลินไล่ตามอยู่ด้านนอกรถม้ามาพักใหญ่ รอจนรถม้าเดินทางออกจากถนนเลียบแม่น้ำ แล้วเข้าไปยังถนนสายหลักของเขตเมืองชั้นในแล้ว เขาจึงเคาะหน้าต่าง พูดขึ้นว่า “ซื่อจื่อ ข้าน้อยขอตัวลาไปทำธุระสักประเดี๋ยวนะขอรับ”
“อืม!” ฉู่ฉีเหยียนที่อยู่ในรถม้าเอ่ยตอบเสียงเบา ราวกับว่าไม่ค่อยสบายเนื้อสบายตัวเสียเท่าไร
หลี่หลินบังคับม้าให้ถอยห่างออกมาสองก้าว จากนั้นกำชับกับจางเสียงทหารข้างกายของฉู่ฉีเหยียนว่า “พาซื่อจื่อ กลับจวนทันที อย่าให้เกิดอันใดขึ้นระหว่างทางเด็ดขาด เข้าใจไหม?”
“ขอรับ ข้าน้อยจะพาซื่อจื่อกลับจวนโดยสวัสดิภาพแน่นอนขอรับ!” ทหารขานตอบทันควัน
หลี่หลินโบกมือ มองรถม้าห่างออกไปไกล แล้วมุ่งหน้าไปยังถนนหลิ่วหลินที่อยู่ทางทิศตะวันออกของตัวเมืองอย่างรีบร้อน
เมื่อฉู่ฉีเหยียนกลับมาถึงจวนก็ปาเข้าไปยามสอง[1] ได้แล้ว พ่อบ้านเปิดประตูจวนออก แต่เขายังไม่ลงจากรถม้า นั่งต่อยาวไปจนถึงหน้าประตูเรือนที่สองถึงค่อยลงจากรถ
“ซื่อจื่อ ทำไมเพิ่งได้กลับมาเอาป่านนี้เล่าขอรับ? ตอนทานอาหารเย็นเสร็จ ท่านอ๋องเรียกหาท่านด้วย ท่านว่า…” พ่อบ้านสั่งการให้บ่าวนำรถม้าไปเก็บ พลางพยายามเอ่ยปากถามอย่างยากลำบาก “ท่านไปหาเขาหน่อยดีไหมขอรับ?”
ฉู่ฉีเหยียนไม่ชายตามองเขาแม้แต่น้อย เดินเข้าไปในเรือนของตัวเอง จากนั้นพูดขึ้นว่า “วันนี้ดึกแล้ว ท่านพ่อน่าจะพักผ่อนแล้ว มีเรื่องอะไรไว้ค่อยคุยกันพรุ่งนี้เช้าแล้วกัน!”
อารมณ์ของเขาไม่ค่อยดี ภายใต้ใบหน้าเย็นชานั้น แฝงไปด้วยความรู้สึกโกรธโมโหอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าแดงคล้ำไม่เป็นธรรมชาติ
พูดพลางโบกมือไล่พวกทหารอารักขา “พวกเจ้าก็กลับไปเถอะ!”
บรรดาผู้คนถอยกลับไปตามคำสั่ง
เหลือเพียงจางเสียงผู้เดียวที่ติดตามเขาเข้ามาในเรือน
“ซื่อจื่อ!” เจ้านายของเขาไม่ตอบ เหล่าสาวใช้ในเรือนต่างก็ไม่กล้าไปเข้านอน เมื่อเห็นเขากลับมา สาวใช้สองคนที่เฝ้ากะดึกอยู่ ก็รีบทำความเคารพอย่างลุกลี้ลุกลน
ฉู่ฉีเหยียนขมวดคิ้ว พลันถอยตัวหนี พูดด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “กลับไปให้หมด คืนนี้ไม่ต้องอยู่เฝ้าเรือน!”
ภายในจวนแห่งนี้ ไม่มีใครกล้าคัดค้านหรือสงสัยการตัดสินใจของเขา
จางเสียงหันไปสั่งการให้ผู้คนกลับ ยืนส่งจนฉู่ฉีเหยียนเข้าไปในห้องหนังสือ นัยน์ตาเขาเป็นประกาย แล้วหันหลังเดินออกจากเรือนไป
ฉู่ฉีเหยียนพลิกมือไปด้านหลังตัวแล้วดันประตูปิดลง ขังตัวเองไว้ในห้องหนังสือคนเดียว
เขาไม่ได้ดื่มน้ำชาที่ผสมยานั่นเข้าไปเยอะเท่าไร แต่ก็รู้สึกว่าฤทธิ์มันแรงพอสมควร ตอนที่อยู่ด้านนอกอากาศแม้หนาวเย็นยังไม่รู้สึกอะไรนัก แต่พอเข้ามาในห้อง เมื่อโดนลมร้อนจากเตาผิงเข้า ความรู้สึกร้อนอบอ้าวที่อัดอั้นไว้อยู่นมนาม ก็ค่อยๆ คืบคลานออกมา ทำให้เขายิ่งรู้สึกอารมณ์ไม่ดี
เขาเดินไปเปิดหน้าต่าง แล้วหยุดยืนอยู่ตรงนั้น
ลมเย็นโชยพัดผ่านใบหน้าของเขา เขาหลับตาลง พยายามคิดวิเคราะห์เรื่องงานธุระเรื่องอื่น เพื่อจะได้ไม่รู้สึกถึงความรุ่มร้อนในตัว แต่แปลกมาก ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถควบคุมความคิดฟุ้งซ่านนั้นได้เลย
มีภาพเหตุการณ์หลายอย่างสลับไปสลับมาตรงหน้า เป็นภาพซูหว่านเดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้พูดกับเขา นั่นเป็นภาพความทรงจำยามค่ำคืนมืดสนิทของเขาที่ริมตลิ่ง จู่ๆ ก็ปะทะสายตาเข้ากับคนที่ยืนอยู่หลังบานหน้าต่าง มองเขาลงมาด้วยสายตาตะลึงงัน
ภายในค่ำคืนอันมืดมิดนั้น ผู้คนช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ยืนกอดกัน ภาพเหตุการณ์นั้นขึ้นมาให้เห็นแค่ชั่ววูบเดียว แต่สิ่งที่เหลืออยู่นั้นกลับเหลือเพียงแต่ความละเอียดอ่อนโยน
เขายืนไพล่มือไว้ด้านหลัง จากนั้นใช้นิ้วกดลงไปบนฝ่ามืออย่างแรง พยายามฉีกภาพเหตุการณ์ที่ป่วนสมองให้แหลกขาด
ด้านหลังตัวเขามีเตาผิงที่ไฟกำลังลุกโชนอยู่ มันกำลังอบแผ่นหลังของเขา จู่ๆ เขาก็รู้สึกได้ว่ามีคนพิงมาที่ไหล่จากด้านหลัง ความรู้สึกนั้นราวกับโดนความนุ่มนวลของผิวผู้หญิงที่อุ่นเท่ากับอุณหภูมิร่างกายนาบลงมา
เขาเอื้อมมือไปลูบด้วยความหงุดหงิด แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า นั่นทำให้ยิ่งอารมณ์เสียมากขึ้นไปอีก
เมื่อคิดถึงภาพหน้าตาของซูหว่านในอดีต แล้วคิดถึงที่ตอนนั้นฉู่สวินหยางแอบฟังแอบดูอยู่บนห้องอุ่นชั้นสองนั้น เขายิ่งรู้สึกว่าพื้นผิวบนร่างกายของตนที่ถูกแตะต้องนั้นสกปรกจนรู้สึกแย่เหลือทน
จิตใจของเขาสับสนวุ่นวาย ไม่สามารถอยู่ในห้องหนังสือต่อได้อีก
“เอาเตาผิงในห้องไปเก็บให้หมด!” ฉู่ฉีเหยียนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา พลางเปิดประตูห้องหนังสือออกอย่างรุนแรง แล้วเดินเข้าไปในห้องนอนของตนที่อยู่ด้านข้างด้วยความรวดเร็ว เขาถอดเสื้อคลุมออกแล้วโยนทิ้งลงไปในเตาผิงด้านนอกห้อง
เปลวไฟลุกโชนขึ้นมา จากนั้นทั้งห้องก็อบอวลไปด้วยกลิ่นไหม้ขึ้นทันควัน
แต่เขาไม่แยแส เดินก้าวเข้าห้องไป
คนที่อยู่ด้านนอกรีบเปิดประตูเข้ามายกเตาผิงออกไป ฉู่ฉีเหยียนสงบอารมณ์ตัวเองลงมาไม่ได้ คนที่ย้ายเตาผิงอยู่นั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นจางเสียงนั่นเอง เขาไม่สนใจ รื้อหีบค้นตู้หาชุดนอนมาสวมใส่ ในขณะที่กำลังจะปลดเชือกเพื่อเปลี่ยนชุดอยู่นั้น ก็รู้สึกเหมือนมีมือนุ่มของหญิงสาวพาดลงมาบนไหล่ ทั้งยังมีเสียงยั่วยวนของหญิงสาวเอ่ยขึ้นอีก
“ให้ข้าช่วยท่านเปลี่ยนชุดนะเจ้าคะ!”
กล้ามเนื้อทั้งตัวของฉู่ฉีเหยียนเกร็งขึ้นอย่างรุนแรง หัวไหล่ที่ถูกแตะต้องไปมีเลือดสูบฉีดร้อนแรงถึงขนาดทะลุเสียดฟ้า รู้สึกราวกับโดนสายฟ้าฟาดใส่ก็มิปาน เรียกสติให้กลับคืนไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
ผู้หญิงที่อยู่ด้านหลังคนนั้น ยื่นมือออกไปเป็นนัยว่าขออนุญาต
ทุกคนภายในจวนต่างรู้นิสัยอันเยือกเย็นและเข้มงวดของซื่อจื่อผู้นี้ดี นางเป็นคนที่จางเสียงส่งมา เดิมทีนางก็รู้สึกกระวนกระวายใจอยู่ก่อนแล้ว แต่เมื่อคิดว่าจางเสียงเองก็เป็นถึงคนข้างกายของซื่อจื่อ แถมยังดำเนินจัดการเรื่องพวกนี้ให้เขาอีก แสดงว่าเขาต้องได้รับการเอ็นดูมากแน่ นางจึงยอมมาด้วยจิตใจที่ยินดีและไม่สบายใจในเวลาเดียวกัน
อีกฝ่ายหาได้ปฏิเสธการสัมผัสนั้นไม่ ทำให้ฝ่ายหญิงมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นอีก ในขณะที่รู้สึกดีใจอยู่นั้น มืออ่อนนุ่มราวกับไร้กระดูกข้างนั้นเคลื่อนเข้าไปด้านหน้า ไปจนถึงหัวไหล่ จากนั้นค่อยๆ เลื่อนไปยังคอเสื้อ
ปลายนิ้วของหญิงสาวนุ่มนวล นางอยู่ด้านนอกเพิ่งได้เข้ามา ทำให้ปลายนิ้วนั้นยังมีความเย็นหลงเหลืออยู่ เมื่อผิวสัมผัสกัน ก็ทำให้ฉู่ฉีเหยียนที่ไล่ความหงุดหงิดของตนออกไปไม่ได้สักที ใจเย็นลงพอสมควร
ฉู่ฉีเหยียนก็รู้สึกตกใจจนผงะออกอย่างบอกไม่ถูก จู่ๆ ร่างกายของเขาก็สั่น
หญิงสาวผู้นั้นใช้แขนของตนโอบกอดคอของเขาไว้อย่างมีความสุข ร่างกายของนางค่อยๆ แนบเข้าใกล้ กระซิบเสียงเบาอย่างเขินอายขึ้นว่า “ซื่อจื่อ!”
พยายามทำใจให้สงบมาตั้งนาน นอกจากอารมณ์หงุดหงิดร้อนใจแล้ว ฉู่ฉีเหยียนไม่มีความคิดมั่วซั่วอื่นใดหลง เหลืออยู่อีก เวลานี้ร่างกายของหญิงสาวอยู่ตรงหน้า ถึงเขาจะกลั้นใจไว้ได้มากแค่ไหนก็ยากที่จะปฏิเสธ รู้สึกเพียงแค่เลือดในร่างกายกำลังพลุ่งพล่าน และฉีดไปทั้งเนื้อทั้งตัว
สีหน้าของเขาแดงระเรื่อขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ลมหายใจค่อยๆ แรงขึ้น
หญิงสาวผู้นั้นจู่โจมเข้าใส่อย่างไร้สติ มือของนางค่อยๆ เลื่อนลง ปลายนิ้วลูบคลอเคลียไปมาอยู่บนเชือกที่ผูกอยู่ของเสื้อตัวใน น้ำเสียงของนางยิ่งพูดก็ยิ่งอ่อนโยนรื่นหู ระหว่างที่พูดอยู่นั้นร่างกายของนางก็แนบชิดเข้ามา
“ข้าเปลี่ยนชุดให้นะเจ้าคะ!”
ปลายเสียงเดี๋ยวดังเดี๋ยวเบา อยู่ท่ามกลางค่ำกลางคืนแบบนี้ ช่างเย้ายวนให้คนลุ่มหลงเสียโดยจริง
ฉู่ฉีเหยียนยืนนิ่งสงบโดยไม่รู้ตัว ราวกับอนุสาวรีย์ที่ขยับไปไหนไม่ได้ ไม่แสดงท่าทางหรือเอ่ยคำใดขึ้นแม้แต่น้อย
เมื่อเขาก้มหน้าลง ก็เห็นใบหน้าของหญิงสาวผู้นั้นชัดเจนขึ้น
นางอายุเพียงสิบหกสิบเจ็ดปีเท่านั้น หน้าตาสละสลวย ใบหน้าขาวผ่องประดับไปด้วยแววตายั่วยวน ราวกับนำช่วงเวลาที่งดงามที่สุดของหญิงสาวมาให้ยลโฉมอยู่เบื้องหน้า
ดวงตาของหญิงสาวอ่อนโยน มองมาที่เขาอย่างเขินอายปนอยากกระหาย กัดริมฝีปากอย่างตื่นเต้น ทำให้ใบหน้าของนางยิ่งน่ามองน่าเอ็นดูขึ้นไปอีก
ในสถานการณ์แบบนี้ มีหญิงรูปงามมาแอบอิงแนบชิดอย่างเปิดเผยโดยที่ไม่ได้ขอแบบนี้? เกรงว่า…
ไม่ว่าจะเป็นชายใดก็ยากที่จะปฏิเสธได้ลงกระมัง?
ความนึกคิดของฉู่ฉีเหยียนสับสนปนเปจนสมองขาวโพลนไปหมด เขาค่อยๆ ยกมือเอื้อมออกไป นิ้วสัมผัสลงบนใบหน้าของนาง แป้งฝุ่นเลอะโดนปลายนิ้ว เขาพลันนึกขึ้นได้ ทำให้สติสัมปชัญญะที่แตกกระเจิดกระเจิงไปกลับคืนมา
เขาผลักหญิงสาวผู้นั้นออกไป แววตาของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ จากนั้นตะโกนอย่างโมโหว่า “ออกไปซะ!”
หญิงสาวผู้นั้นถูกผลักออกไปจนร่างกายล้มเซ ไม่รู้เลยว่าเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะอะไร จึงทำได้เพียงควบคุมสติแล้วรุกอีกครั้ง พลางกอดแขนของเขา น้ำตาคลอเบ้า แล้วพูดขึ้นว่า “ซื่อจื่อ หรือว่าข้าทำอะไรผิดไป ข้า…”
ยังพูดไม่ทันจบ ฉู่ฉีเหยียนหมดความอดทนที่จะจัดการนางต่อ สะบัดแขนเสื้อข้างที่นางกอดไว้อยู่ออกอย่างแรง
ปึง เสียงดังขึ้น!
ประตูถูกชนจนเปิดออก!
ตูม เสียงดังขึ้นอีก!
มีบางอย่างตกลงไปในสระดอกบัวที่อยู่ด้านข้าง
เมื่อจางเสียงที่แอบซ่อนอยู่ด้านนอกเรือนได้ยินเสียงก็รีบพุ่งมาอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันนั้นเอง ก็มีสาวใช้คนหนึ่งกำลังพยายามขึ้นมาจากสระบัวอย่างหวาดกลัว
สระบัวนั้นไม่ใหญ่ขนาดสี่เหลี่ยมลึกเพียงแค่เอว ในตอนนี้เป็นฤดูหนาว ดอกบัวในสระเหี่ยวเฉา ตกกลางคืนผิวน้ำก็กลายเป็นแผ่นน้ำแข็งชั้นบางๆ
แผ่นน้ำแข็งแตกสลาย สาวใช้คนนั้นเต็มไปด้วยดินโคลนทั่วทั้งตัว นางยืนกอดอกอยู่กลางสระด้วยใบหน้าตกใจและหวาดกลัว จนถึงขั้นลืมปีนออกจากสระ
สีหน้าของจางเสียงเปลี่ยนไป ดวงตาของเขาเบิกโพลงไปชั่วขณะ
ในขณะที่ทั้งสองจ้องมองอีกฝ่ายกันอย่างไม่รู้ตัวอยู่นั้น ด้านนอกเรือนก็มีคนวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
คนคนนั้นคือหลี่หลิน
——————————————————
[1] ยามสอง หรือยามไฮ่ หรือเวลา 21:00 – 23:00 ในปัจจุบัน