สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - บทที่ 99.2 เป็นข้ารับใช้ของข้า ก็ต้องรักษากฎของข้า (2)
หลี่หลินวิ่งกลับมาจากด้านนอกอย่างรีบร้อน เดิมทีตั้งใจว่าจะมาหาฉู่ฉีเหยียน แต่สุดท้ายยังไม่ได้ทันเข้าประตูไป ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมาจากทางนี้ก่อน
เมื่อเดินเข้ามาก็เห็นประตูห้องของฉู่ฉีเหยียนเปิดอยู่ กับหญิงสาวที่ยืนอยู่กลางสระ แล้วเห็นหน้าอย่างกับเจอผีเข้าของจางเสียง ทำให้เขาเข้าใจเรื่องทุกอย่างในทันที!
สีหน้าของหลี่หลินมืดมนลง มองไปยังจางเสียงด้วยสายตาอาฆาตแค้น
จางเสียงรีบหลบถอยออกไปอย่างเกรงกลัว ก้มหัวลงอย่างรู้สึกผิด แล้วพูดว่า “ข้าน้อยเพียงแค่คิดถึงซื่อจื่อที่…”
ฉู่ฉีเหยียนโดนวางยาปลุกอารมณ์ทางเพศ โอกาสนี้มีไม่มาก เขาเพียงต้องการใช้โอกาสนี้สร้างผลงานให้เจ้านายของตนพึงพอใจก็เท่านั้น ถึงได้ไปหาหญิงรูปงามมาถวายให้ถึงที่
แต่ใครจะไปคิดว่านางจะโดนฉู่ฉีเหยียนไล่ตะเพิดออกมา
เขาคิดว่าเรื่องจะลงเอยด้วยดีด้วยซ้ำไป
ในใจของจางเสียงทรมานแต่ก็ไม่สามารถเอ่ยคำใดออกมาได้
“เจ้ามีสิทธิ์เข้ามาก้าวก่ายเรื่องของซื่อจื่อตั้งแต่เมื่อไรกัน?” หลี่หลินพูดขึ้นเสียงเย็นชา
จางเสียงขาอ่อนรีบคุกเข่าลงไป ไม่ทันให้เขาอ้าปากขอร้อง ฉู่ฉีเหยียนก็เดินออกมาจากห้องในเสื้อผ้าชุดใหม่
“ซื่อจื่อ!” จางเสียงรีบดึงสติกลับมา คุกเข่าลงคำนับอยู่หลายครั้งแล้วกล่าวขึ้น “ซื่อจื่อโปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วย ข้าน้อยทำไปโดยพลการ ขอซื่อจื่อโปรดเมตตาข้าน้อยด้วย”
ท่าทางของฉู่ฉีเหยียนนิ่งเฉย แต่สีหน้ากลับเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง เขาเอ่ยขึ้นเพียงไม่กี่คำอย่างไม่แยแสว่า “เป็นข้ารับใช้ของข้า ก็ต้องรักษากฎของข้า หลี่หลิน จัดการมันตามกฎซะ!”
จัดการตามกฎงั้นรึ?
จิตใจของจางเสียงหล่นไปถึงตาตุ่ม รู้ตัวดีว่าขอร้องไปก็ไม่เห็นผล เขาเลยกัดฟันแล้วพุ่งกระโดดข้ามกำแพงหายหนีไป
แววตาของฉู่ฉีเหยียนเย็นชาขึ้นทันควัน หลังจากนั้นก็มีวงแหวนสีฟ้าโจมตีเข้าใส่ราวกับสายฟ้าฟาด
เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วทิศ!
จากนั้นตามมาด้วยเสียงร้อง
ร่างกายของจางเสียงที่กำลังปีนข้ามผนังตกลงไปด้านนอกจนเกิดเสียงร้องขึ้น
‘โอ๊ย…’
‘โอ๊ย…’
มีเสียงร้องของหญิงสาวดังขึ้นไล่เลี่ยกัน
ด้านนอกมีคนอยู่รึ?
แววตาของฉู่ฉีเหยียนสงบนิ่ง จับชายเสื้อแล้วเดินออกไปนอกเรือนอย่างรวดเร็ว
ด้านนอกจางเสียงถูกดาบของหลี่หลินแทงทะลุ ทั้งยังตกลงมาจากที่สูง เสียชีวิตแล้วตามที่คาด ดวงตาของเขาเบิกโพลงนอนอยู่บนผืนดิน เลือดไหลออกมาจากปากและจมูก
ส่วนด้านข้างมีหญิงสาวหน้าซีดขาวอยู่สองคน คือเตี่ยนชุ่ยกับบ่าวรับใช้ซิ่งเอ๋อร์
ดูท่าสองคนเดินผ่านสถานที่แห่งนี้โดยบังเอิญ แล้วโดนศพหล่นทับใส่ ทำให้ตกใจกลัวจนทำอะไรไม่ถูก มือไม้อ่อนแรงจนทรุดนั่งอยู่กับพื้น มองไปยังศพร่างนั้นด้วยสีหน้าหวาดกลัว
เมื่อฉู่ฉีเหยียนเห็นพวกนาง ก็รู้สึกโล่งอก
“ซื่อจื่อ…ข้า…” เตี่ยนชุ่ยตอบสนองโดยพลัน นางรีบดึงสติกลับมา พยายามเอ่ยขึ้นเสียงสั่น พูดไปก็กลืนน้ำลายไปสองที มองไปยังรอบด้านด้วยแววตาระส่ำระส่าย “ข้าเพียงแค่เดินผ่านมาโดยบังเอิญเท่านั้น ข้า…ข้า…”
ฉู่ฉีเหยียนหันปรายตามองนางด้วยแววตานิ่งเฉย จากนั้นเบนสายตามองไปทางอื่น
ร่างกายของซิ่งเอ๋อร์สั่นไปทั่วทั้งตัว พยายามมองไปทางอื่นไม่มองศพที่อยู่ด้านข้าง พลางพยุงเตี่ยนชุ่ยให้ลุกขึ้นยืน
เตี่ยนชุ่ยพยายามฝืนดึงสติกลับมา แล้วย่อเข่าถวายความเคารพฉู่ฉีเหยียนที่ยืนอยู่ตรงระเบียงทางเดิน
หลี่หลินช่วยสาวใช้ที่ร่างกายเต็มไปด้วยดินโคลนขึ้นมา
สาวใช้คนนั้นทั้งหนาวทั้งตกใจจนวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง ร้องห่มร้องไห้ฟูมฟายพูดขึ้นว่า “ซื่อจื่อ… ข้าน้อยผิดไปแล้ว ข้าน้อยไม่กล้าทำแบบนี้อีกแล้ว ขอร้องด้วยเถิดเจ้าค่ะ โปรดให้อภัยแก่ข้าด้วย! ซื่อจื่อ โปรดเห็นใจไว้ชีวิตข้าน้อยด้วย!”
ฉู่ฉีเหยียนหันหลังเดินเข้าไปในเรือน ไม่ชายตามองนางแม้แต่น้อย พลางพูดกับหลี่หลินว่า “จัดการเก็บกวาดให้เรียบร้อยซะ!”
“ขอรับ ซื่อจื่อ!” หลี่หลินขานตอบอย่างขึงขัง จากนั้นเรียกทหารนำศพของจางเสียงออกไป แล้วสั่งให้คนพาตัวสาวใช้คนนั้นไปแล้วจับตาดูเอาไว้ รอวันพรุ่งนี้ค่อยเอาตัวนางไปขายทิ้ง
เมื่อจัดการเรื่องภายนอกเสร็จหมดแล้ว เขาเดินกลับเข้ามาในเรือนรอคำสั่งจากฉู่ฉีเหยียนต่อ
ประตูเรือนของฉู่ฉีเหยียนถูกชนจนพังเสียหาย เขาไม่ได้สนใจ ปล่อยให้ประตูบานใหญ่เปิดกว้างอยู่แบบนั้น แล้วนั่งดื่มชาอยู่กลางห้องโถงอย่างเย็นชา
“เก็บกวาดเรียบร้อยแล้วรึ?” เมื่อเขาเห็นหลี่หลินเดินเข้ามา ก็เหล่ตามองถามขึ้น
“เป็นเพราะข้าน้อยดูแลได้ไม่ทั่วถึงเอง” หลี่หลินรีบคุกเข่าลงหนึ่งข้างพูดขออภัยโทษ
ฉู่ฉีเหยียนไม่ปฏิเสธแต่ก็ไม่ตอบตกลง ปล่อยให้เขาคุกเข่าต่อไป จากนั้นหันไปมองเขาอีกครั้ง
ราวกับว่าหลี่หลินเข้าใจความหมายที่เขาต้องการจะสื่อ เขารีบหยิบยาที่เหน็บไว้อยู่ที่เอวออกมาสองเม็ดแล้วยื่นให้ แล้วพูดขึ้นว่า “ยาของท่านหญิงซูซื้อมาจากจิ่นซั่งฮวาขอรับ ปกติแล้วเป็นยาที่พวกหญิงบำเรอมักใช้เพื่อปลุกเร้าอารมณ์ ของแขก ส่วนอันนี้เป็นยาถอนขอรับ!”
ฉู่ฉีเหยียนรับมา ไม่เอ่ยเสียงใดขึ้น เขาเพียงดื่มชาแล้วกลืนยานั่นลงไป
—————————————————
วันรุ่งขึ้น
เรื่องของซูหว่านก็ถูกส่งข่าวมาถึงในวัง ซึ่งทำให้ฮ่องเต้โมโหเกรี้ยวกราดเป็นอย่างมาก ตบหัวกระทืบหน้าซูหลินแล้วด่าทออย่างเสียหาย
ซูหลินคุกเข่าร้องห่มร้องไห้อยู่กลางท้องพระโรง สีหน้าเจ็บปวดทรมาน กล่าวโทษตัวเองอย่างน่าอนาถไม่หยุด “เป็นความผิดของกระหม่อมเอง กระหม่อมเห็นว่าพระชายาขององค์ชายห้าต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนไปอยู่ ณ ที่ห่างไกล นางรู้สึกแย่ทรมานหัวใจ ถึงได้ไม่ห้ามและให้นางดื่มเพิ่มอีกสองแก้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่านางจะพลาดท่าตกน้ำจนเสียชีวิต! ฝ่าบาท กระหม่อมผิดเองพ่ะย่ะค่ะ!”
ซูหลินคลานอยู่บนพื้น สีหน้าหวาดกลัวและโศกเศร้า ไม่เสแสร้งเลยแม้แต่น้อย
ภายในไม่กี่วันนี้เกิดเรื่องขึ้นไม่หยุดหย่อน ความอดทนของฮ่องเต้เองก็มาถึงขีดจำกัดแล้ว
เขาหยิบพระราชสาส์นที่วางอยู่ไม่ไกลมือนักโยนลงไปบนโต๊ะอย่างรุนแรง ก่นด่าอย่างโมโหว่า “นางเป็นสาวที่เพิ่งแต่งงานแท้ๆ ไม่มีอะไรทำก็ไม่ยอมอยู่ในจวน แต่กลับออกไปดื่มเหล้าเพื่อคลายทุกข์เนี่ยนะ? คุณธรรมของพวกเจ้าสกุลซูมีแค่นี้เองงั้นรึ? ไม่มีความรู้สึกอับอายขายขี้หน้าเลยงั้นรึ?”
บ้านสกุลซูสูญเสียลูกสาวไปหนึ่งคน สำหรับตัวเขาแล้วมันไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลยสักนิด ถึงแม้ว่าคนที่ตายไปจะเป็นพระชายาขององค์ชายห้าแห่งแคว้นโม่เป่ยก็ตาม มันก็หาได้ส่งผลกระทบกับเขาไม่
แต่เพราะช่วงนี้มีหลายสิ่งไม่ราบรื่นดั่งที่หวัง แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านี้ มันก็เพียงพอที่จะกระตุ้นอารมณ์เขาแล้ว
ในขณะที่ฮ่องเต้โมโหจนปรอทแตก เย่าสุ่ยที่อยู่ด้านนอกก็เดินเข้ามากราบทูลพอดีว่าฮองเฮามาขอเข้าเฝ้า
หลัวฮองเฮาไม่สบายมาสองวัน ฮ่องเต้เองก็ต้องออกหน้าดูแลหน่อย เขาลังเลอยู่ชั่วครู่ แล้วเอ่ยขึ้นว่า “เรียกฮองเฮาเข้ามาเถิด!”
หลี่รุ่ยเสียงยื่นน้ำชาให้จากด้านข้าง
ฮ่องเต้รับมาดื่มเข้าไปหนึ่งคำ สีหน้าของฮ่องเต้ดีขึ้นทีเดียวเชียว จากนั้นเขาจึงเอนตัวลงพิงพนักเก้าอี้
ไม่นานนักหลัวฮองเฮาก็เดินเข้ามาพร้อมกับแม่นมเหลียงที่คอยช่วยพยุงอยู่
“ถวายพระพรเพคะฝ่าบาท!” หลัวฮองเฮากล่าวพลางย่อตัวทำความเคารพ
ฮ่องเต้มองใบหน้าที่ยังแสดงให้เห็นถึงอาการป่วยของนาง จึงรู้สึกสงสารขึ้นมา เขาพยักหน้าแล้วกล่าว
“นั่งลงเถิด!”
“ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท!” หลัวฮองเฮากล่าวขอบคุณ จากนั้นแม่นมเหลียงก็พานางไปนั่งที่เก้าอี้ด้านข้างเขา
ส่วนหลัวอวี่ก่วนที่ตามเข้ามาก็ก้มหน้าก้มตาถอยไปยืนก้มหน้าอยู่ด้านหลังของหลัวฮองเฮาอย่างว่าง่าย
หลัวฮองเฮาเห็นสีหน้าของฮ่องเต้ไม่สู้ดี แล้วมองซูหลินที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้า จึงเอ่ยเสียงขึ้นอย่างเห็นใจ “ฝ่าบาททรงกริ้วเพราะเรื่องของเด็กน้อยสกุลซูผู้นั้นรึเพคะ? พูดถึงเด็กคนนั้นแล้ว หม่อมฉันเองก็กังวลอยู่ ใครจะไปคิดว่าจู่ๆ จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ฝ่าบาทเพคะ ในเมื่อคนก็ไม่อยู่แล้ว ฝ่าบาทเองก็อย่าโกรธกริ้วไปมากกว่านี้เลยเพคะ มันไม่ดีต่อพระวรกาย”
“หึ!” ฮ่องเต้สบถพ่นลมออกทางจมูกอย่างเย็นชา ไม่แสดงท่าทีใดให้เห็นชัดเจน
เมื่อซูหลินเห็นดังนั้น ก็รีบพูดขึ้นว่า “เป็นความผิดของกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ เป็นเพราะกระหม่อมปล่อยปละละเลย จนทำให้ฝ่าบาทและฮองเฮากริ้วโกรธเพราะเรื่องภายในบ้านของสกุลซู เป็นความผิดของกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ!”
“พอได้แล้ว!” หลัวฮองเฮาหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นบังแล้วไอออกมาสองที จากนั้นถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วพูดขึ้นว่า “ในเมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ไปแล้ว เจ้าเองก็รู้สึกแย่ไม่น้อย ถึงแม้เด็กคนนั้นจะแต่งงานออกเรือนไปแล้วก็ตาม แต่สถานการณ์ตอนนี้มันไม่ปกติ เรื่องพิธีหลังจากนี้เจ้าต้องเป็นคนจัดการดูแล อย่างไรก็ตั้งใจทำมันให้ดีแล้วกัน!”
“ขอบพระทัยฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะที่ทรงเป็นห่วงกระหม่อม!” ซูหลินกล่าวขึ้นอย่างลุกลี้ลุกลน ถวายความเคารพต่อหลัวฮองเฮาด้วยสีหน้าขอบคุณ
หลัวฮองเฮาพูดออกไปมากมาย แต่ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่ยังคงไม่แสดงสีหน้าท่าทางใด
นางจึงหันไปมองเขาด้วยรอยยิ้ม แล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาทเพคะ เรื่องเมื่อวานมีสาวใช้มาเล่าให้หม่อมฉันฟังแล้ว มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น ไม่มีใครคาดคิดหรอกเพคะ คนตายไปแล้วฟื้นคืนมาไม่ได้ ฝ่าบาทเย็นพระทัยลงเถิดนะเพคะ สั่งการให้พวกเขารีบจัดการเรื่องงานพิธีที่เหลือก็พอ!”
ฮ่องเต้ไม่ค่อยสนเรื่องของซูหว่านเท่าไรนัก แต่ถ้าคิดอย่างละเอียดแล้ว หากบอกว่าเรื่องนี้ไม่น่าสงสัยเลยก็ไม่ใช่
เขาเบนสายตาไป
หลัวอวี่ก่วนก้มหน้าก้มตา พยายามเก็บควบคุมสีหน้าของตนไว้ คุกเข่าแล้วลงกราบทูล “กราบทูลฝ่าบาท เมื่อวานตอนที่หม่อมฉันออกจากวัง ได้เจอเข้ากับพระชายาขององค์ชายห้าพอดี ตอนนั้นพระชายาบอกว่าตนอารมณ์ไม่ดี อยากจะไปเดินเล่นกับหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่กล้าปฏิเสธ จึงเดินเล่นเป็นเพื่อนนางจนไปถึงหอยลนที พระชายาบอกว่าไปโม่เป่ยครานี้ไม่รู้จะได้กลับเมื่อไร นางดูเศร้าโศกเสียใจจนดื่มเข้าไปอีกหลายแก้ว หากรู้ว่าจะเกิดเรื่องขึ้นแบบนี้ ตอนนั้นหม่อมฉันน่าจะรั้งนางไว้ ไม่ปล่อยให้นางดื่มเสียมากมายขนาดนั้นเพคะ”
หลัวอวี่ก่วนพูดไปน้ำตาก็ค่อยๆ ไหลออกมาอย่างเสียใจในสิ่งที่ตนทำลงไป
“พอได้แล้ว เรื่องนี้ไม่โทษเจ้าหรอก!” หลัวฮองเฮากล่าวพลางโบกมือไล่พวกนางสองคน แล้วกล่าวขึ้นว่า “พวกเจ้ากลับไปก่อนไป ข้ามีธุระจะคุยกับฝ่าบาท!”
“เพคะ ฮองเฮา!” ทั้งสองคนถวายความเคารพก้มศีรษะคำนับฮ่องเต้แล้วเดินออกไป
เมื่อออกมาแล้ว หลัวอวี่ก่วนรอหลัวฮองเฮาอยู่ด้านนอก แต่ซูหลินกลับเดินออกจากวังไปโดยทันที
ระหว่างพวกเขาสองคนไม่มีใครพูดขึ้นมาสักประโยค ขนาดสบตามองกันยังไม่มี
เมื่อทั้งสองคนออกไปแล้ว หลัวฮองเฮาจึงหันไปมองฮ่องเต้ที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะทรงอักษร แล้วกล่าวขึ้นว่า “แบบนี้ก็ดี พวกคนบ้านสกุลซูกระทำไม่ดีจนได้เรื่องแบบนี้ เจ้าเด็กนั่นจะได้ไม่ต้องแต่งย้ายไปอยู่โม่เป่ยแล้วสร้างเรื่องอะไรมาอีก”
เดิมทีแล้วฮ่องเต้เองก็รู้สึกไม่ชอบใจที่จวนอ๋องฉางซุ่นกับแคว้นโม่เป่ยเกี่ยวดองกันอยู่แล้ว พูดได้เลยว่าการตายของซูหว่านครั้งนี้เป็นไปตามที่ตนหวังไว้พอดี
“ช่างเถิด!” ฮ่องเต้เผยใบหน้าอ่อนล้าออกมา จากนั้นพูดขึ้นอีกว่า “วันนี้ทั่วป๋าอวิ๋นจีเข้าวังมาเข้าเฝ้าตั้งแต่เช้า บอกว่าจะกลับแคว้นโม่เป่ยวันรุ่งขึ้น ดูท่ากลับไปครั้งนี้จะปล่อยให้นางกลับไปมือเปล่าไม่ได้ สองสามวันนี้เจ้าไม่สบายอยู่ เดี๋ยวไปบอกหรงเฟยแล้วกันว่าเจ้าจะใช้ของอะไรบ้าง แล้วสั่งให้นางไปจัดการให้แทน!”
“เพคะ!” หลัวฮองเฮาพยักหน้า จากนั้นก็ทำหน้าหวาดกลัวขึ้นราวกับว่าคิดอะไรบางอย่างออก พูดขึ้นว่า “ฝ่าบาทเพคะ! ที่หม่อมฉันมาในวันนี้ หม่อมฉันมีเรื่องอยากขอให้ฝ่าบาทช่วยเพคะ!”
ฮ่องเต้ปรายตามองนาง เขารู้อยู่แล้วจึงพูดขึ้นว่า “อี้อันไปจัดการให้ เจ้าวางใจได้เต็มที่ เมื่อวานเพิ่งมีคนส่งข่าวมาบอกว่า เขาพาตัวหมอหลวงไปยังเมืองฉู่แล้ว เขาต้องพาหลัวอี้กลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอน”
หลัวฮองเฮาขอบตาร้อนผ่าว นางรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าซับที่หางตา แล้วพูดว่า “ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท!”
“ข้ายังมีสาส์นต้องอ่านอีกหลายฉบับ หากเจ้าไม่มีธุระอะไรแล้ว ก็รีบกลับไปพักเสียเถิด!” ฮ่องเต้กล่าวด้วยสีหน้าที่แฝงไปด้วยความรู้สึกไม่สบอารมณ์
——————————-