สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - บทที่ 99.3 เป็นข้ารับใช้ของข้า ก็ต้องรักษากฎของข้า (3)
หลัวอี้เป็นพวกคนชอบสร้างผลงานชอบแหกกฎโดยไม่สนสิ่งใด มาวันนี้ก็เพียงเพราะไม่รู้ว่าเขาเป็นตายร้ายดีอย่างไรแน่ ฮ่องเต้ถึงได้เห็นแก่หน้าหลัวฮองเฮาเลยยังไม่คิดตัดสินโทษเขา ทั้งยังรับปากยินยอมว่าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก
ถึงแม้หลัวฮองเฮาจะมีเรื่องอยากพูดอยู่อีก แต่เห็นสีหน้าของฮ่องเต้เป็นแบบนี้ สุดท้ายจึงเก็บคำพูดนั้นเอาไว้ ลุกขึ้นทูลลา
เมื่อนางออกไปแล้ว สีหน้าของฮ่องเต้ก็ยิ่งคล้ำลงไปอีก จากนั้นหยิบจดหมายที่เพิ่งได้มาฟาดลงไปบนโต๊ะอีกครั้ง ด่าออกมาด้วยความโมโห “เดี๋ยวคนนั้นทีคนนี้ที ทำไมมีแต่เรื่องให้ข้าปวดหัว!”
เขาหยุดนิ่งลง ชายตามองหลี่รุ่ยเสียงแล้วถามว่า “ตรวจสอบแล้วรึว่าเจ้าเด็กบ้านสกุลซูคนนั้นก้าวพลาดจนจมน้ำตายจริง?”
“กระหม่อมให้คนไปสืบมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หลี่รุ่ยเสียงตอบ “เมื่อวานท่านหญิงซูกับคุณหนูหลัวอวี่ก่วนนั่งรถออกไปยังหอยลนทีด้วยกันจริงพ่ะย่ะค่ะ ท่านหญิงซูเป็นคนเหมาจ่ายสถานที่ไว้ ตกกลางคืนมีผู้คนไปมาอยู่ในละแวกนั้นมากโขตอนที่เกิดเรื่องขึ้น ก็มีผู้ที่เดินผ่านไปผ่านมาพบเห็นคนตกน้ำ องครักษ์ของจวนอ๋องฉางซุ่นก็ลงไปตามหาในแม่น้ำทั้งคืน เท่ากับว่าตอนนี้แทบไม่มีความหวังเหลือแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ผู้หญิงอย่างซูหว่านนั้น ฮ่องเต้คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีใครที่ไหนวางแผนทำร้ายนาง
ในเมื่อมีพยานอย่างซูหลินและหลัวอวี่ก่วนแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสืบสาวเรื่องราวต่อ
“งั้นจงใช้ชื่อของข้า นำข่าวร้ายไปแจ้งให้จวนอ๋องฉางซุ่นและทางทั่วป๋าไหวอันทราบเถิด” ฮ่องเต้กล่าว “ส่วนเรื่องพิธีจะทำอย่างไร ก็ให้สองฝั่งนั้นเขาปรึกษากันเอง อย่าเอาเรื่องนี้มาทำให้ข้าวุ่นวายอีก”
“พ่ะย่ะค่ะ!” หลี่รุ่ยเสียงรับราชโองการแล้วเดินออกไปอย่างรีบร้อน
—————————————————–
ณ จวนอ๋องหนานเหอ
หลังจากแต่งงานมาได้สามวัน ฉู่หลิงอวิ้นกลับจวนมาเยี่ยมครอบครัว
รถม้าของจวนติ้งเป่ยโหวค่อยๆ ทยอยเคลื่อนเข้ามาในตรอกที่จวนอ๋องหนานเหอตั้งอยู่ตั้งแต่เช้า
ฉู่หลิงอวิ้นเดินลงจากรถโดยมีสาวใช้คอยช่วยพยุงอยู่สองคน
ด้านหลังรถ จางอวิ๋นเจี่ยนก็โดนข้ารับใช้ลากตัวลงมาด้วย
เขายังคงไม่ได้สติ ดูแล้วยังมึนๆ งงๆ อยู่ ไม่ทักทายผู้คนไม่เอ่ยพูดคำใด บางครั้งยังโหวกเหวกโวยวายทำตัวเหมือนเด็กเจ็ดแปดขวบ
ฉู่หลิงอวิ้นเดินเข้าประตูไปโดยที่ไม่แยแสเขาเลยสักนิด
ฉู้อี้หมินไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้เป็นอย่างมาก จึงตอบรับคำเชื้อเชิญออกจากจวนไปตามเวลานัดตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อตั้งใจหลีกเลี่ยงเหตุการณ์นี้
การที่งานแต่งงานครั้งนี้ไม่ได้เป็นอย่างที่หวังไว้ รวมถึงเหตุการณ์บ้านเมืองที่ไม่สงบช่วงหลายวันมานี้ ทำให้พิธีการกลับมาเยี่ยมบ้านเกิดเรียบง่ายขึ้น ถึงขนาดไม่มีป้ายประกาศติดเลยด้วยซ้ำ
ฉู่หลิงอวิ้นเข้าไปยังเรือนหลักพูดคุยกับคนแซ่เจิ้งชายาเอกแห่งจวนอ๋องหนานเหอ จากนั้นคนแซ่เจิ้งก็จูงมือนางไป อดไม่ได้ที่จะเสียใจร้องไห้ออกมา พูดปลอบใจไม่หยุด
ฉู่หลิงอวิ้นนั่งฟังหน้านิ่งเฉย รู้สึกรำคาญที่นางเอาแต่พูดไร้สาระแบบนี้ เมื่อคิดว่าได้เวลาพอสมควรแล้วก็หันไปมองท้องฟ้าด้านนอก แล้วกล่าวว่า “ฉีเหยียนไม่สบายหรือเจ้าคะ? ตอนนี้ยังอีกนานกว่าจะถึงเวลาอาหารกลางวัน เดี๋ยวข้าไปหาเขาก่อนนะเจ้าคะ”
“ก็ดีนะ!” คนแซ่เจิ้งผงกหัว ยิ้มออกมาราวกับไม่มีความสามารถที่จะช่วยนางได้ พลางกุมมือของนางเอาไว้แน่น
ฉู่หลิงอวิ้นลุกขึ้นออกไปพร้อมกับสาวใช้อีกสองคน คนแซ่เจิ้งมองแผ่นหลังของนางเดินจากไป แล้วจู่ๆ ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“พระชายาเอกกังวลว่าท่านหญิงจะคิดไม่ได้สักทีหรือเจ้าคะ? ดูท่าทางนางตอนนี้ ท่านเองก็น่าจะวางใจได้แล้วนะเจ้าคะ!” แม่นมกู้ยื่นน้ำชามาให้พลางพูดปลอบ
คนแซ่เจิ้งรับน้ำชามาจิบหนึ่งคำ แต่ก็พูดออกมาอย่างอดไม่ได้ว่า “เจ้าไม่เข้าใจหรอก! แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ข้าจะสบายใจกว่านี้หากนางร้องไห้โวยวายเหมือนที่ผ่านมา ตอนนี้เห็นนางไม่สนใจตัวเองแบบนี้ ข้ากลับยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ”
เมื่อคิดถึงนิสัยและอารมณ์ของลูกสาวตนตั้งแต่เล็กจนโตแล้ว ใจของคนแซ่เจิ้งก็เต้นแรงยิ่งกว่าเดิม ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ จนสุดท้ายอดไม่ได้ที่จะไปจับมือของแม่นมกู้ แล้วพูดขึ้นอย่างหวาดกลัวว่า “แม่นมกู้ เจ้าว่ามันคงไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอกใช่ไหม?”
เมื่อแม่นมกู้ได้ยินดังนั้น ใจของนางก็เต้นตึกตักไม่หยุด…
ท่านหญิงของตนเองท่านนี้เป็นคนที่มีความคิดมากที่สุด มาในวันนี้นางไม่มีความสุขกับการแต่งงานของตน แต่นางกลับยอมรับอย่างไม่สนใจ ไม่แน่…นางอาจจะวางแผนทำอะไรอยู่ก็เป็นได้
นางคิดแบบนั้น แต่เรื่องนี้แม่นมกู้ไม่กล้าพูดกับคนแซ่เจิ้งต่อหน้า นางเพียงยิ้มปลอบโยน “พระชายาเอกเจ้าคะ ท่านเป็นกังวลมากไปแล้วจึงได้คิดแบบนั้น เรื่องใหญ่แบบนี้ ท่านหญิงของเรารู้จักแยกแยะดี ท่านไม่ต้องคิดมากนะเจ้าคะ”
“หวังว่าจะเป็นแบบนั้นแล้วกัน!” คนแซ่เจิ้งพึมพำ ถึงแม้จะพูดแบบนั้นก็ตามที แต่อย่างไรก็ยังวางใจไม่ได้
ฉู่หลิงอวิ้นมุ่งตรงไปยังเรือนของฉู่ฉีเหยียน
ก่อนวันที่สิบห้า ฮ่องเต้หยุดออกว่าราชการ ช่วงเวลานั้นแต่ละครัวเรือนต่างฉลองปีใหม่กันอย่างสนุกสนานครึกครื้น ฉู่ฉีเหยียนก็ไม่จำเป็นต้องเข้าวัง จึงเลื่อนนัดของวันนี้ทั้งหมดโดยอ้างว่าป่วยเลยนอนอยู่บ้าน
ฉู่หลิงอวิ้นเดินก้าวเข้าไปในเรือน
ภายในตัวเรือนนั้นสังเกตเห็นได้ชัดเลยว่าข้ารับใช้ถูกไล่ออกไปทั้งหมด ไม่เห็นแม้แต่เงาคน
เรือนใหญ่กว้างขวาง มองแล้วรู้สึกเคร่งขรึมสง่างามและวังเวงยิ่งนัก
หลี่หลินที่เฝ้ายามอยู่เห็นนางแล้ว ก็รีบเดินเข้าไปต้อนรับ “ท่านหญิง!”
“อืม!” ฉู่หลิงอวิ้นพยักหน้าให้ หันมองไปรอบด้านด้วยแววตาไม่สบอารมณ์ “ฉีเหยียนเล่า? คนในเรือนนี้หายไปไหนกันหมด?”
“ซื่อจื่ออยู่ในห้องหนังสือขอรับ” หลี่หลินตอบ แล้วพานางไป “เขาบอกว่าจะคัดหนังสือ ไม่อยากให้พวกข้ารับใช้มารบกวน เลยสั่งข้าให้ไล่คนพวกนั้นกลับไป”
ฉู่หลิงอวิ้นเลิกคิ้วขึ้นสูง สัมผัสได้ถึงความผิดปกติอย่างชัดเจน
นางหยุดฝีเท้าลง หันกลับไปมองหลี่หลิน “เขาเป็นอะไร?”
“ไม่ได้เป็นอะไรขอรับ!” หลี่หลินตอบพลางก้มหน้าลง เขาหลบสายตาอย่างเห็นได้ชัดเลยว่าเขาไม่ยินยอมที่จะพูดถึงเรื่องนี้
ฉู่หลิงอวิ้นไม่ทนถามต่อ นางเปิดประตูห้องหนังสือของฉู่ฉีเหยียนเข้าไปทันที
ภายในห้องหนังสืออบอวลไปด้วยกลิ่นน้ำหมึก หลังโต๊ะด้านในสุดของห้องหนังสือนั้น เห็นฉู่ฉีเหยียนกำลังคัดหนังสืออยู่อย่างเคร่งครัดตามที่คาดไว้ ส่วนบนพื้นก็มีแต่ก้อนกระดาษที่ถูกขยำไว้เต็มไปหมด
เมื่อเท้าของฉู่หลิงอวิ้นก้าวข้ามประตูมาข้างหนึ่ง พลันเห็นเขาขมวดคิ้วแน่นเป็นปม แววตาของนางขยับเล็กน้อย แล้วก้าวเดินเข้ามาต่อ พลางเอื้อมมือไปด้านหลังปิดประตูลง
เดิมทีฉู่ฉีเหยียนกำลังทำสมาธิจรดพู่กันลงไป เมื่อได้ยินเสียงประตูเปิดรบกวน จู่ๆ มือก็ไม่นิ่งทันที
ถึงแม้ตัวอักษรนั้นจะมองไม่เห็นเลยว่ามีตำหนิ แต่เขากลับรู้สึกไม่พึงพอใจ หงุดหงิดจนขยำเป็นก้อนแล้วโยนทิ้ง หยิบกระดาษแผ่นใหม่มาจรดพู่กันลงอีกครั้ง
ก้อนกระดาษลอยไปตกลงบนปลายรองเท้าของฉู่หลิงอวิ้นพอดี
น้องชายของนางคนนี้ นิสัยหนักแน่นเคร่งขรึมมาแต่ไหนแต่ไร เป็นคนที่มีสมาธิใจเย็นที่สุดภายใต้สถานการณ์วุ่นวาย แต่ฉู่ฉีเหยียนผู้ที่หงุดหงิดอารมณ์เสียแบบนี้ ฉู่หลิงอวิ้นก็เพิ่งเคยเห็นครั้งแรกเหมือนกัน
นางขมวดคิ้วเดินเข้าไปหา แล้วจับข้อมือของเขาไว้ รั้งไม่ให้เขาเขียนต่อ แล้วถามขึ้นอย่างไม่พอใจว่า “นี่เจ้าเป็นอะไรไป? ทำไมอยู่ดีๆ ถึงได้อารมณ์เสียเยี่ยงนี้?”
ฉู่ฉีเหยียนโดนนางห้ามไว้ แต่เขาก็ไม่คิดจะสลัดมือนางออก
แขนเสื้อสะบัดไปโดนแท่นหมึกพอดี ทำให้เลอะน้ำหมึกมาเล็กน้อย
เขาเงยหน้ามองฉู่หลิงอวิ้น จากนั้นยิ้มขึ้นด้วยสีหน้านิ่งเฉยเหมือนอย่างปกติ เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ สะบัดแขนเสื้อ แล้วพูดขึ้นว่า “ไม่มีอะไรหรอก แค่อักษรตัวเดียวยังเขียนให้ดีไม่ได้ ก็เลยรู้สึกหงุดหงิดน่ะ แล้วท่านพี่มาถึงเมื่อไร?”
“มาได้สักพักหนึ่งแล้ว ก่อนหน้านี้คุยกับท่านแม่อยู่น่ะ!” ฉู่หลิงอวิ้นตอบ จ้องไปที่เขาด้วยใบหน้าที่แฝงไปด้วยความรู้สึกไม่สบอารมณ์ เดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ด้านข้าง แล้วถามเขาว่า “ได้ยินพ่อบ้านบอกว่าเจ้าไม่สบาย?”
แต่สภาพฉู่ฉีเหยียนตอนนี้ไม่เหมือนเลยสักนิด
“ไม่ถึงขนาดนั้น แต่เมื่อคืนข้านอนดึก วันนี้เลยรู้สึกไม่ค่อยสบาย ก็เลยเลื่อนนัดออกไปน่ะ” ฉู่ฉีเหยียนตอบอย่างไม่สนใจ เอาแต่ก้มหน้าก้มตาดูแขนเสื้อที่เลอะน้ำหมึกอยู่
ฉู่หลิงอวิ้นมองเขาอย่างสงสัย พูดโพล่งออกไปตรงๆ ว่า “เจ้าคงได้ยินเรื่องของซูหว่านแล้วใช่ไหม?”
“อืม!” ฉู่ฉีเหยียนพยักหน้าอย่างนิ่งเฉย ไม่เผยอารมณ์ใดให้เห็น
ฉู่หลิงอวิ้นสังเกตพฤติกรรมของเขาตลอดเวลา เห็นเขาเป็นแบบนี้ มากน้อยอย่างไรก็รู้สึกโมโหอยู่ดี แล้วจู่ๆ ก็ถามเขาด้วยสีหน้าเย็นชาขึ้นว่า “ข้าได้ยินมาว่า ตอนที่ซูหว่านเกิดเรื่องตอนนั้น มีคนเห็นเจ้าอยู่ที่ริมแม่น้ำ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่? เรื่องซูหว่านนั่น คงไม่ใช่…”
“ท่านพี่คิดไปไกลถึงไหน?” ในที่สุดฉู่ฉีเหยียนก็เงยหน้ามองนาง พูดขึ้นอย่างไม่พอใจว่า “นางผู้หญิงคนนั้นไม่ควรค่าแก่การที่ข้าลงมือหรอก ข้าไม่ได้ว่างขนาดไปทำเรื่องไร้สาระพวกนั้น”
“ไม่เกี่ยวกับเจ้าก็ดีแล้ว!” ฉู่หลิงอวิ้นถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ
——————————-