สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - บทที่ 99.4 เป็นข้ารับใช้ของข้า ก็ต้องรักษากฎของข้า (4)
จื่อซวี่ที่อยู่ด้านนอกยกน้ำชาเข้ามาให้ จากนั้นเดินออกไปแล้วปิดประตูลงอย่างรู้ความ
ฉู่หลิงอวิ้นนึกคิดอยู่ชั่วครู่ ในใจยังมีความสงสัยอยู่หนึ่งอย่างที่คิดไม่ตกเสียที จึงถามฉู่ฉีเหยียนขึ้นอย่างลังเลอีกครั้งว่า “เรื่องของซูหว่าน…เจ้าว่านางพลาดท่าจริงๆ เหรอ เรื่องมันง่ายขนาดนั้นเลยงั้นรึ?”
“หากใช่แล้วมันจะยังไง? หากไม่ใช่แล้วจะอย่างไร? ไม่ว่าอย่างไรสุดท้ายแล้วผลลัพธ์ที่ได้มันก็เหมือนกัน กับอีแค่ผู้หญิงคนเดียวไม่คู่ควรแก่การพูดถึงหรอก!” ฉู่ฉีเหยียนเอ่ยขึ้นเสียงเย็นชา ยกถ้วยชาขึ้นกำลังจะดื่ม ก็เห็นภาพเหตุการณ์เมื่อคืนแวบขึ้นมาตรงหน้า ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกขยะแขยงน่ารังเกียจขึ้นมาทันที จึงวางถ้วยชาลง หลับตาแล้วเอนตัวลงพิงพนักเก้าอี้
ฉู่หลิงอวิ้นมองถ้วยชาตรงหน้าเขาด้วยแววตาสงสัยอย่างจับพิรุธ คิดว่าพฤติกรรมของเขาวันนี้แปลกไปจากทุกที ไม่นานนักนางถึงได้สติกลับมา แล้วพูดขึ้นต่อว่า “ทั่วป๋าอวิ๋นจีอาจจะออกจากเมืองหลวงในสองวันนี้แล้ว เจ้าคิดจะทำอะไรบ้าง?”
ฉู่ฉีเหยียนพิงพนักเก้าอี้ หลับตาลงไม่ตอบ
ฉู่หลิงอวิ้นก็ไม่สนใจ ดื่มชาเข้าไปหนึ่งคำแล้วพูดต่อ “จากที่ข้ารู้มา เหมือนว่าฉู่สวินหยางกับทั่วป๋าอวิ๋นจีมีการติดต่อกันส่วนตัว หากเป็นไปตามที่คาดไว้แล้วล่ะก็ นางน่าจะเดิมพันกับทั่วป๋าอวิ๋นจี ตอนนี้ทั่วป๋าไหวอันน่าจะกลับไปถึงแคว้นโม่เป่ยแล้วกระมัง? อย่างช้าคงไม่เกินเจ็ดวัน กว่าข่าวล่าสุดจากทางนั้นจะส่งกลับมาถึงเมืองหลวง ถึงตอนนั้นหากอ๋องโม่เป่ยไม่ตาย แถมอำนาจของแคว้นโม่เป่ยยังอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาอีก เจ้าเชื่อมั่น…ในตัวทั่วป๋าไหวอันจริงๆ ใช่ไหม?”
ฉู่ฉีเหยียนกระตุกมุมปาก รอยยิ้มนั้นแฝงไปด้วยความประชดประชัน แล้วกล่าวขึ้นว่า “ก็แค่คำสัญญาปากเปล่า เห็นว่ามีโอกาสทำประโยชน์ได้ก็พูดคุยตกลงกันง่ายอยู่แล้ว แต่เอาเข้าจริงถึงเวลาแก่งแย่งผลประโยชน์ขึ้นมา ใครที่ไหนจะรับประกันได้ว่าตนจะรักษาคำพูดโดยที่ไม่มีวันทรยศล่ะ?”
“หากเป็นเมื่อก่อนก็ช่างมันปะไร แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบครั้งนี้ขึ้น ทั่วป๋าอวิ๋นจียินยอมอยู่ต่อในเมืองหลวงเพื่อช่วยเขาหลอกลวงผู้อื่น ช่วยเขาหาความลับแล้วกลับไปยังแคว้นโม่เป่ยในช่วงเวลาที่ได้ผลประโยชน์มากที่สุด ตั้งแต่นี้ต่อไป เราจะมองข้ามการมีอยู่ของทั่วป๋าอวิ๋นจีที่อยู่เคียงข้างเขาไม่ได้เลยเด็ดขาด” ฉู่หลิงอวิ้นกล่าว พลางทอดมองไปยังต้นไห่ถังที่วางอยู่ตรงมุมห้อง “หากนางกับฉู่สวินหยางร่วมมือกัน ทั่วป๋าอวิ๋นจีอยู่ข้างกายทั่วป๋าไหวอันคอยพูดใส่สีตีไข่ คาดว่าหากวันเวลาผ่านไป อนาคตจุดยืนของทั่วป๋าไหวอันก็ไม่แน่นอนแล้ว”
ฉู่ฉีเหยียนอุตส่าห์เชื่อมสัมพันธ์จนได้ทั่วป๋าไหวอันมาเป็นพันธมิตร แต่ฉู่สวินหยางกลับใช้ทั่วป๋าอวิ๋นจีมาเล่นงานเนี่ยนะ…
จากคำของฉู่หลิงอวิ้นแล้ว เมื่อมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น สถานะของทั่วป๋าอวิ๋นจีในราชสำนักโม่เป่ยตอนนี้ยิ่งใหญ่กว่าเมื่อก่อนมากนัก มีนางคอยช่วยปกป้องทั่วป๋าไหวอันด้วยชีวิต อีกอย่างนางเองก็เป็นถึงน้องสาวร่วมสายเลือดเพียงคนเดียวของเขา ฉู่สวินหยางมีนางเป็นสายลับอยู่ข้างกายทั่วป๋าไหวอัน อนาคตเรื่องจะเป็นอย่างไรก็ยากที่จะคาดการณ์ได้
ฉู่ฉีเหยียนเคาะนิ้วลงบนที่วางแขน ยังคงหลับตาสนิท ใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ พูดเอื่อยเฉื่อยขึ้นว่า “ท่านพี่หมายความว่า…”
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นกาลกิณี!” ฉู่หลิงอวิ้นรีบเอ่ยปากตอบ น้ำเสียงเฉียบคม “เพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน เราต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามปล่อยให้นางกลับแคว้นโม่เป่ยไปเด็ดขาด!”
ฉู่ฉีเหยียนไม่ปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้ตอบรับ ริมฝีปากยกขึ้นราวกับยิ้ม แต่ก็เหมือนไม่ได้ยิ้ม
“อย่ารีรอมากท่า เรื่องนี้ต้องตัดสินใจเสียแต่เนิ่นๆ!” ฉู่หลิงอวิ้นเห็นเขาไม่พูดไม่จา น้ำเสียงของนางจึงยิ่งร้อนรนขึ้น
ฉู่ฉีเหยียนเลยเงยหน้าขึ้นมองนาง แล้วพูดว่า “รู้แล้ว เรื่องนี้ข้าจัดการเอง ท่านพี่เลิกเป็นห่วงได้แล้ว”
เรื่องใหญ่แบบนี้ ฉู่หลิงอวิ้นรู้ว่าเขาต้องให้ความใส่ใจมากอยู่แล้ว แต่เมื่อคิดทบทวนแล้วก็ยังไม่วางใจ จึงพูดขึ้นว่า “ในเมื่อวังบูรพาใช้ทั่วป๋าอวิ๋นจีเป็นหมากตัวสำคัญ ดูท่าก็คงเตรียมการป้องกันไว้แล้ว ไว้ถึงเวลานั้นเจ้าให้หลี่หลินพาคน…”
“ไม่จำเป็นหรอก!” แววตาของฉู่ฉีเหยียนลุ่มลึก จู่ๆ ก็ยกมือขึ้นพูดแทรกนาง
เขาลุกขึ้นนั่งตัวตรง ทอดมองไปยังแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างด้วยแววตาดุดัน เอ่ยปากพูดขึ้นอย่างชัดเจนทุกถ้อยคำว่า “เรื่องนี้ข้าจัดการเอง!”
พันธมิตรอย่างทั่วป๋าไหวอันนั้นได้มาไม่ง่าย เขาไม่มีทางปล่อยให้เกิดอะไรผิดพลาดขึ้นแน่นอน
ฉู่หลิงอวิ้นมองประกายไฟรุ่มร้อนในแววตาของเขา ไม่ปล่อยให้เสียเวลาตกใจ นางเอ่ยคัดค้านขึ้นว่า “ก็แค่ผู้หญิงคนเดียว หาได้จำเป็นต้องใช้ผู้คนเยอะแยะเพื่อการนั้นไม่!”
ฉู่ฉีเหยียนยิ้มหัวเราะ ไม่แสดงท่าทีปฏิเสธแต่ก็ไม่เห็นด้วย
ในตอนนี้เขาได้ตัดสินใจแล้ว ฉู่หลิงอวิ้นรู้ดีว่าพูดไปก็เปล่าประโยชน์ จึงปล่อยไปไม่พูดถึงอีก
เมื่อพูดคุยเรื่องธุระเสร็จเรียบร้อย ฉู่หลิงอวิ้นก็ขอตัวกลับไปก่อน
ฉู่ฉีเหยียนไม่ได้ไปส่งนาง นางเดินออกไปคนเดียว เมื่อหันหลังกลับไปมองประตูห้องหนังสือที่ปิดแน่นสนิทนั้น ก็รู้สึกว่าวันนี้ฉู่ฉีเหยียนแปลกไป ดูผิดจากปกติมากพอสมควร
“ท่านหญิง เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ? ไม่กลับหรือเจ้าคะ?” จื่อซวี่เอ่ยถามขึ้นอย่างระมัดระวัง
ฉู่หลิงอวิ้นเม้มปากคิดอยู่พักใหญ่ พลางพูดขึ้นว่า “ข้ารู้สึกเหมือนว่าเขามีเรื่องอะไรบางอย่างอยู่ในใจ!”
“ในช่วงนี้บ้านเมืองไม่ค่อยสงบนัก ซื่อจื่อเป็นกังวลก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ท่านหญิงคิดมากไปหรือเปล่าเจ้าคะ?” จื่อเหวยพูดปลอบเสียงเบา
“ก็คงจะเป็นแบบนั้นล่ะมั้ง!” ฉู่หลิงอวิ้นคิดไม่ตก ลังเลอยู่ชั่วครู่ แต่ก็เอ่ยปากสั่งการว่า “จื่อซวี่ เจ้าไปสืบมาหน่อยว่าช่วงสองวันนี้ในจวนมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง โดยเฉพาะเรือนของซื่อจื่อนี้ มีเรื่องอะไรผิดปกติหรือเปล่า”
พูดจบก็เสริมขึ้นอีกประโยคว่า “อย่าไปยุ่งกับคนของหลี่หลินเข้าล่ะ!”
“เจ้าค่ะ ข้าน้อยเข้าใจแล้ว!” จื่อเหวยขานตอบ แล้วรีบเดินจากไป
ฉู่หลิงอวิ้นยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน สายตาเอียงมองไปยังบานประตูที่เพิ่งซ่อมขึ้นใหม่เอี่ยม แล้วนึกคิดอยู่นานโข แต่สุดท้ายคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกเลยส่ายศีรษะไม่คิดอะไรมาก จากนั้นกลับไปหาคนแซ่เจิ้งพร้อมกับจื่อเหวย
งานเลี้ยงของจวนอ๋องหนานเหอจัดขึ้นตอนเที่ยงวัน แต่เนื่องด้วยสถานการณ์พิเศษ ที่จริงแล้วจะนับว่าเป็นงานเลี้ยงก็ไม่ได้ ฉู่อี้หมินไม่อยู่จวน คนแซ่เจิ้งเองก็ไม่ได้เรียกลูกสาวของฮูหยินรองและคนอื่นๆ มา นางเพียงรับประทานอาหารกลางวันกับฉู่หลิงอวิ้นกับฉู่ฉีเหยียนกันสามคนเท่านั้น
เมื่อทานข้าวกันเสร็จยังรั้งฉู่หลิงอวิ้นให้นั่งพูดคุยกันต่อในห้องโถงไม่ยอมปล่อยให้นางกลับ นั่งคุยกันทีก็ปาเข้าไปครึ่งชั่วยาม[1] พ่อบ้านที่อยู่ด้านนอกเข้ามาแจ้งข่าว “พระชายา ท่านหญิง ซื่อจื่อแห่งจวนติ้งเป่ยโหวมาแล้วขอรับ เขาบอกว่ามารับท่านหญิงกับสามีกลับจวนขอรับ!”
“ยุ่งไม่เข้าเรื่อง!” คนแซ่เจิ้งหน้าบึ้งลงทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
ในสายตาของนางแล้ว สถานะครอบครัวของจวนติ้งเป่ยโหวนั้นไม่เหมาะกับลูกสาวสุดที่รักของตนเลยแม้แต่น้อย เพราะฉะนั้นนางเลยไม่ชอบพอทุกคนในบ้านของสกุลจางสักคน
พ่อบ้านก้มหน้าก้มตา ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
ฉู่หลิงอวิ้นจึงยิ้มหัวเราะขึ้น ตบหลังมือของคนแซ่เจิ้งเบาๆ แล้วกล่าวว่า “เวลาก็เย็นมากแล้ว ข้าเองก็ถึงเวลากลับแล้วเจ้าค่ะ อย่างไรเมืองหลวงก็ใหญ่แค่นี้เอง ไว้วันหลังอย่างไรเราก็ได้เจอกันอยู่ดีเจ้าค่ะ ไว้ข้ามาเยี่ยม มาคุยเป็นเพื่อนท่านแม่บ่อยๆ ก็ได้”
คนแซ่เจิ้งได้ยินดังนั้นสีหน้าพลันดีขึ้นมาพอสมควร พยักหน้าแล้วพูดว่า “ก็ดี! ดูท่าคนบ้านสกุลจางก็ไม่กล้าทำอะไรเจ้า หากเจ้าขาดเหลือสิ่งใด ก็ใช้ให้คนมาบอก เดี๋ยวแม่เตรียมไว้ให้!”
“เจ้าค่ะ!” ฉู่หลิงอวิ้นผงกหัว พูดคุยกับคนแซ่เจิ้งต่ออีกสองประโยค จากนั้นพ่อบ้านก็พาจางอวิ๋นอี้ซื่อจื่อติ้งเป่ยโหวเดินเข้ามาด้านใน
———————————————————-
[1] หนึ่งชั่วยามมี 2 ชั่วโมง ครึ่งชั่วยามจึงเท่ากับ 1 ชั่วโมง