สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 1.2 เล่ห์เหลี่ยม (2)
ฉู่ฉีเหยียนยิ้มเย็นชาเผยสีหน้ารู้ว่าเหตุการณ์นี้จะต้องเกิดขึ้น เขารวบเสื้อคลุมใหญ่ที่สวมอยู่แล้วขี่ม้าออกไปนอกตรอกพลางถามว่า “พวกเขามุ่งหน้าไปทางประตูไหน?”
“ประตูเมืองทางทิศใต้ขอรับ!” หลี่หลินตอบ
“ไป!” ฉู่ฉีเหยียนเอ่ย ควบม้าออกจากตรอกไปได้ไม่นานก็มุ่งหน้าไปทางประตูเมืองทิศใต้อย่างรวดเร็ว
——————————–
ภายใต้รัตติกาลแสงจันทราสาดแสงสว่างส่องลงมา
กำแพงประตูเมืองที่สูงตระหง่าน เกราะโลหะที่เหล่าทหารรักษาเมืองสวมใส่สะท้อนแสงเย็นออกมา ท่ามกลางค่ำคืนเหมันตฤดูยิ่งทำให้หนาวเหน็บเป็นทวีคูณ
ขณะนี้เป็นเวลายามหนึ่ง ทั้งในและนอกประตูเมืองว่างเปล่าไม่มีแม้แต่เงาผู้คน เหล่าทหารรักษาเมืองไม่กล้าประมาทเลินเล่อ คอยสังเกตความเคลื่อนไหวบริเวณโดยรอบอย่างกระตือรือร้นไม่กล้าละเลยแม้แต่น้อย
ในค่ำคืนอันเงียบสงบ ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าม้าที่คมชัดเหยียบย่ำพื้นดินที่หนาวเย็นเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ
ทหารรักษาเมืองรีบเข้าไปตรวจสอบ พอมองไปตามเสียงก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งแต่งกายด้วยชุดธรรมดากำลังมุ่งหน้ามายังประตูเมืองจากในเมือง
“นั่นใครจะออกจากเมืองดึกดื่น?” ทหารรักษาเมืองตะโกนถามอย่างไม่เกรงกลัว
ม้าเร็วตัวหนึ่งวิ่งแซงกองทหารมาก่อนอย่างรวดเร็ว
เจี่ยงลิ่วเตรียมป้ายอาญาสิทธิ์และโยนไปตรงหน้าเขาก่อนว่า “พวกข้าเป็นองครักษ์ของวังบูรพา ท่านจวิ้นอ๋องของพวกเราต้องการจะออกจากวัง หลีกทางให้บัดเดี๋ยวนี้!”
ใกล้ถึงช่วงกลางเดือนแล้ว พระจันทร์บนท้องฟ้าส่องสว่างจนเห็นป้ายอาญาสิทธิ์ได้อย่างชัดเจน ทหารรักษาเมืองคนนั้นรีบเข้าไปคืนให้
จากนั้นฉู่ฉีเฟิงที่อยู่ข้างก็เข้าไปใกล้ประตูแล้ว
“ข้าน้อยคำนับคังจวิ้นอ๋อง!” บรรดาทหารแสดงความเคารพ
“อืม!” ฉู่ฉีเฟิงนั่งอยู่บนม้าสูงเด่นเป็นสง่า โต้ตอบน้ำเสียงเฉยชา สายตาชำเลืองมองเล็กน้อยและปรายตามองรอบข้างว่า “ข้าจะออกไปนอกเมือง ไม่ต้องลั่นดาลประตู หากไม่ติดปัญหาอันใด ข้าจะกลับมาประมาณเที่ยงคืน”
“ขอรับ!” ทหารรักษาเมืองรีบรับคำสั่ง “ท่านจวิ้นอ๋องมีธุระก็ไปจัดการได้อย่างเต็มที่ คืนนี้ข้าเข้าเวร หากท่านต้องการสิ่งใดก็เรียกได้ตลอดขอรับ!”
เนื่องจากเรื่องของทั่วป๋าไหวอันทำให้ฮ่องเต้ทรงกริ้วไม่น้อยและต่อว่าต่อขานฉู่อี้อัน ช่วงเวลานี้ทหารรักษาเมืองกลับไปยึดนโยบายเดิม โดยให้กองพลทหารราบและกองกำลังรักษาพระนครผลัดกันรับผิดชอบ แม้ว่าคนของกองพลทหารราบจะเป็นคนเข้าเวรรักษาเมืองในคืนนี้ ทว่าสำหรับฉู่ฉีเฟิง ท่านจวิ้นอ๋องที่ฮ่องเต้โปรดปรานมากนั้น ทุกคนก็พยายามประจบประแจงกันอย่างเต็มที่
ฉู่ฉีเฟิงพยักหน้าเล็กน้อย เจี่ยงลิ่วก็หยิบเงินแท่งจากในอกเสื้อโยนไป “สองวันนี้อากาศหนาว สหายทั้งหลายเวรยามกลางคืนคงลำบากแย่ เจ้าไปซื้อเหล้ามาดื่มคลายหนาวเสียเถอะ!”
“ขอบพระคุณคังจวิ้นอ๋องขอรับ!” ทหารรักษาเมืองรับแล้วคำนับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ฉู่ฉีเฟิงชำเลืองมองเจี่ยงลิ่วสายตาเย็นชา พอกำลังจะออกคำสั่งให้ออกจากเมืองหลวง ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าม้าอย่างรวดเร็วมาจากในเมืองทางด้านหลัง
ทุกคนนิ่งงันและหันไปมองตามเสียงอย่างพร้อมเพรียงกัน ไม่นานฉู่ฉีเหยียนก็มาถึง
“ซื่อจื่อ?” ทหารรักษาเมืองประหลาดใจ เผลอสติไปชั่วขณะรีบคำนับพลางกล่าว “ค่ำคืนดึกดื่นเช่นนี้ซื่อจื่อก็จะออกนอกเมืองเหมือนกันหรือขอรับ?”
เขายิ้มเล็กน้อย แต่ไม่พูดอะไร จากนั้นก็ควบม้าผ่านทหารรักษาเมืองแล้วตรงไปยังฉู่ฉีเฟิงพลางเอ่ย “ฉีเฟิง!”
“ซื่อจื่อ!” ฉู่ฉีเฟิงผงกหน้ายิ้มพลางตอบเขาด้วยอารมณ์สงบนิ่ง “ไม่คิดว่าดึกดื่นเช่นนี้จะเผอิญเจอเจ้าที่นี่!”
“นั่นน่ะสิ ข้าก็นึกไม่ถึงเช่นกัน!”ฉู่ฉีเหยียนตอบพลางชำเลืองมองรถม้าที่อยู่ในขบวนของเขาแล้วถามว่า “ใครนั่งอยู่บนรถ ดึกดื่นยามค่ำคืนเช่นนี้จะออกจากเมืองรึ?”
เรื่องของทั่วป๋าไหวอันก็ผ่านไปแล้ว สองสามวันมานี้ทหารรักษาเมืองจึงเริ่มผ่อนปรนความเข้มงวด เพราะเป็นรถม้าวังบูรพา อีกทั้งหลานแท้ๆ ที่ฮ่องเต้ให้ความสำคัญที่สุดเป็นผู้พาออกมา ทหารรักษาเมืองนายนั้นจึงไม่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียด
ครั้งนี้เขาถูกฉู่ฉีเหยียนหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา จึงตระหนกเสียจนเหงื่อไหลโชก เกรงว่าฉู่ฉีเหยียนจะหาข้ออ้าง…
แม้นระหว่างฉู่ฉีเฟิงและฉู่ฉีเหยียนจะไม่มีเรื่องบาดหมางกัน แต่ใครๆ ต่างก็รู้ว่าองค์รัชทายาทและอ๋องหนานเหอไม่ถูกกัน
ทหารรักษาเมืองคนนั้นเกรงว่าจะถูกดึงเข้าไปเกี่ยวพันกับการต่อสู้ของทั้งสองฝ่าย จึงก้มหน้าปิดปากสนิททันที
แต่ฉู่ฉีเฟิงกลับไม่เคยรู้สึกหงุดหงิดเพราะฉู่ฉีเหยียนทำลายแผนการของเขา ขณะที่ฟังก็กวาดสายตามองเขาด้วยสีหน้าปกติแล้วหันไปมองรถม้าคันนั้น “ข้าก็ไม่มีอะไรแอบแฝง เพียงแต่มารดาของข้าหลังจากเทศกาลตรุษจีนก็เป็นหวัด ไม่มีวี่แววว่าจะหายดี ข้ากังวลจึงนำยาสมุนไพรและเครื่องนุ่งห่มไปเยี่ยมนางสักหน่อย”
“อ้อ อย่างนั้นรึ? เช่อเฟยกำลังป่วยรึ?” ฉู่ฉีเหยียนยึ้มมุมปาก และก้มหน้าลูบแส้ม้าในมือสองครั้ง
ฉู่ฉีเหยียนจงใจเอ่ยอย่างช้าๆ ฟังดูเหมือนไม่ได้ใส่ใจมากนัก
ฉู่ฉีเฟิงมองเขาด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนไม่เปลี่ยน แต่สายตากลับแวววาวดุจหิมะขาวและยังคงแหลมคม
หากฉู่ฉีเหยียนก่อเรื่องขึ้นตอนนี้ เช่นนั้นก็จะต้องเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นอย่างแน่นอน
ทั้งหลี่หลินและเจี่ยงลิ่วต่างระมัดระวัง ไม่กล้าประมาทแม้แต่วินาทีเดียวและรอคอยสัญญาณหรือคำสั่งจากเจ้านายของตนเอง
ทางด้านฉู่ฉีเหยียนแสร้งยิ้มพลางหันกลับไปถามอย่างกะทันหันว่า “คิดไปคิดมาข้าก็ยังไม่มีโอกาสไปพบเช่อเฟยเลย วันนี้ข้าไม่มีธุระพอดี ด้านนอกก็ดึกมากแล้ว งั้นข้าไปเป็นเพื่อนเจ้าดีกว่า ไปพร้อมกันเลย!”
ฉู่ฉีเฟิงแสร้งยิ้มมองเขาโดยไม่คัดค้านหรือปฏิเสธแต่อย่างใด
ฉู่ฉีเหยียนไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนพลางถามว่า “ทำไมรึ? เจ้าไม่สะดวกอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่ใช่!” ฉู่ฉีเฟิงตอบแล้วค่อยๆ ถอนหายใจ “เพียงแต่นิสัยท่านแม่ของข้า เจ้าคงรู้ดีว่าเป็นเช่นไร นางถือศีลมาหลายปี นางยังไม่คุ้นชินกับการถูกคนรบกวน หากดูแลซื่อจื่อไม่ทั่วถึงล่ะก็…”
“ไม่เป็นไรหรอก!” ฉู่ฉีเหยียนยังดึงดันจะไปพร้อมเขา ไม่รอให้เขาพูดจบก็พูดตัดบทไปว่า “ปลายปีนี้ทั้งนอกและในเมืองหลวงเกิดเรื่องวุ่นไม่หยุดหย่อน หากเช่อเฟยไม่สะดวกพบข้าก็ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรก็ตามเจ้าเดินทางกลางค่ำกลางคืนเยี่ยงนี้ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้าดีกว่า เช่นนี้เจ้าจะปลอดภัยมากกว่า”
ฉู่ฉีเฟิงรู้ว่าฉู่ฉีเหยียนเตรียมการไว้แล้ว จะเสียเวลาอยู่ที่ประตูเมืองนานไปก็ไม่ดี เขาชั่งใจเล็กน้อยสุดท้ายก็ถามอย่างประนีประนอมว่า “ข้าไม่ได้ทำให้เจ้าเสียเวลาจริงหรือ?”
“ข้าก็แค่อยากไปดื่มเหล้าที่เรือนมีสุขเท่านั้นเอง!” ฉู่ฉีเหยียนก็ใช้แส้ม้าในมือชี้ไปยังเรือนมีสุขที่อยู่ไม่ไกล
แม้ว่าทั้งสองจะรู้ดีแก่ใจว่าเป็นเพียงข้ออ้าง แต่เรื่องก็มาถึงขนาดนี้แล้วพูดมากไปก็เท่านั้น
“ซื่อจื่อช่างมีน้ำใจยิ่งนัก ข้าจะเสียมารยาทได้อย่างไร” ฉู่ฉีเฟิงกล่าว ยิ้มมุมปากเล็กน้อยและยกมือหลีกทาง “เช่นนั้นก็ไปพร้อมกันเถิด!”
“เราเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ฉีเฟิงเจ้าเกรงใจเกินไปแล้ว” ฉู่ฉีเหยียนพูด รอยยิ้มยังคงสงบนิ่งและเย็นชา ขี่ม้าออกไปนอกเมืองก่อน
เดิมทีกลุ่มของฉู่ฉีเฟิงก็พาคนไปเกือบยี่สิบคนแล้ว รวมกับคนของฉู่ฉีเหยียนเข้าด้วยกัน ขบวนที่มุ่งหน้าไปยังอารามเมตตาจึงค่อนข้างใหญ่โต
มองตาม “ลูกพี่ลูกน้อง” ทั้งสองคนจากไปอย่างสามัคคีกลมเกลียวพูดคุยหัวเราะแล้ว ทหารชั้นผู้น้อยคนหนึ่งที่ขดตัวอยู่ในมุมมาตลอดก็เดินออกมาแล้วถอนหายใจไม่หยุด พลางเอ่ยเสียงเบาว่า “ทุกคนต่างพูดกันว่าความสัมพันธ์ระหว่างวังบูรพา และจวนอ๋องหนานเหอไม่สู้ดีนัก ดูเหมือนว่าข่าวลือนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องจริง”
ทหารรักษาเมืองคนนั้นมองตาขวางพลางตำหนิ “เรื่องนี้เจ้ากล้าวิจารณ์ส่งเดชรึ? เจ้าอยากตายหรืออย่างไร?”
ประสบการณ์ของเขามากกว่าทหารที่อยู่ใต้บังคับบัญชา สีหน้าคังจวิ้นอ๋องและซื่อจื่อของหนานเหอดูเหมือนรักใคร่สามัคคี ความจริงภายใต้คำพูดหยอกล้อมีเจตนาแอบแทงข้างหลังอยู่ก็ได้?
“รับไป!” ทหารรักษาเมืองคิดไปก็ส่ายหน้า แล้วเก็บเงินแท่งของเจี่ยงลิ่วไป แล้วค้นหาเศษเงินที่เก็บไว้ในผ้าผูกเอวออกมาโยนให้ทหารผู้น้อยพลางพูด “ไปซื้อเหล้าที่เรือนมีสุขมาสองกา ให้ทุกคนดื่มอบอุ่นร่างกาย!”
“ครับ!” ทหารคนนั้นยิ้มหน้าบาน ขานรับแล้ววิ่งไปลิ่วๆ
ฉู่ฉีเหยียนและฉู่ฉีเฟิงออกจากเมืองไปพร้อมกัน มุ่งหน้าไปตามทางโดยไม่ได้พูดอะไรตลอดทาง จนกระทั่งถึงทางแยกแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปเจ็ดลี้ ฉู่ฉีเฟิงถึงค่อยๆ ดึงบังเหียน และหันไปมองเขาพูดว่า “เจ้าคงจะไม่ได้ตามข้าไปจนถึงอารามเมตตาจริงๆ ใช่หรือไม่?”
ฉู่ฉีเหยียนก้มหน้ามองพื้นด้านหน้าเล็กน้อยตลอด เขาได้ยินแล้วแต่ก็ไม่ละสายตาหันไปมอง และแค่ย้อนถามว่า “ทำไม? เจ้าจะไปอารามเมตตาไม่ใช่หรือ?”
แววตาฉู่ฉีเฟิงเย็นเยือกพลางค่อยๆ ถอนหายใจกล่าวว่า “เจ้ามีเรื่องอะไรก็พูดมาตามตรง ระหว่างเจ้ากับข้า ยังจำเป็นต้องเล่นลูกไม้เดากันไปกันมาด้วยหรือ?”
ฉู่ฉีเหยียนยิ้ม ในที่สุดเขาก็ดึงสายตากลับมามองเขา
ทั้งสองคนสบตากัน
ทั้งคู่แสร้งยิ้มส่งสายตาอย่างมีเลศนัย คนหนึ่งเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง อีกคนลุ่มลึกปานมหาสมุทร ทำให้รู้สึกราวกับคมมีดที่เฉียบแหลมพุ่งทะยานออกมาทุกสารทิศ ใบหน้าทั้งสองถูกปกคลุมไปด้วยไอหมอกน้ำแข็ง
ต่างฝ่ายต่างส่งสายตาหยั่งรู้ได้ถึงความรู้สึกนึกคิดของอีกฝ่ายอย่างไม่ลดละ เพียงแต่ไม่ได้แพร่งพรายออกมาเท่านั้น
——————————–