สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 101.2 สังหรณ์ว่าจะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น เขาลงมือแล้ว! (2)
- Home
- สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2
- บทที่ 101.2 สังหรณ์ว่าจะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น เขาลงมือแล้ว! (2)
“ไปเตรียมพระกายาหารเช้าเถอะ!” หลี่รุ่ยเสียงสั่งนางในที่ยืนอยู่ข้างๆ อย่างนอบน้อมทันทีที่เข้ามาในตำหนัก
“เจ้าค่ะ!” เหล่านางในก้มหน้าขานรับ แล้วเดินออกไปอย่างรวดเร็วและระมัดระวังมาก
เย่าสุ่ยถอดเสื้อคลุมบนไหล่ของฮ่องเต้ออก
หลี่รุ่ยเสียงส่งสายตาให้เขา เย่าสุ่ยเข้าใจและพยักหน้าเล็กน้อย แล้วก็รีบถอยออกไปเช่นกัน
ฮ่องเต้เดินไปนั่งลงข้างโต๊ะอย่างอ่อนแรง
หลี่รุ่ยเสียงยื่นน้ำอุ่นไปให้…
เพราะมีข้อห้ามเกี่ยวกับการกินยาเม็ด ช่วงนี้แม้แต่ชาฮ่องเต้ก็ดื่มน้อยมาก
ฮ่องเต้ดื่มน้ำไปอึกหนึ่งก็รู้สึกอุ่นในท้องแล้ว แต่ร่างกายกลับยังหนาวจนสั่น ความรู้สึกแบบนี้ทำให้เขารู้สึกไม่ดี และรู้สึกหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก
“หลี่รุ่ยเสียง!” ฮ่องเต้เอ่ยเสียงแหบแห้ง และเงยหน้ามองไปทางหลี่รุ่ยเสียง
“พ่ะย่ะค่ะ!” หลี่รุ่ยเสียงรู้ใจ และออกไปกวักมือเรียกนอกตำหนัก
กลายเป็นหัวหน้าองครักษ์ลับที่แต่งตัวเป็นองครักษ์เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว และคุกเข่าลงกับพื้นข้างเดียว “หม่อมฉันคารวะฝ่าบาท!”
“งานที่มอบหมายให้เจ้าไปจัดการเรียบร้อยหมดแล้วหรือ?” ฮ่องเต้ตรัสถาม ทว่าสายตากลับไม่ได้จับจ้องไปที่นาง แต่มองข้ามศีรษะของนางไปยังม่านฝนที่ตกไม่ขาดสายนอกตำหนัก
“เจ้าค่ะ!” คนนั้นตอบรับและไม่เงยหน้าขึ้นมาแม้แต่นิดเดียวตามหน้าที่ “บริเวณรอบจวนอ๋องทั้งหมดรวมถึงจวนอ๋องรุ่ยชินและวังบูรพาล้วนจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว ขอฝ่าบาทโปรดวางพระทัย เราควบคุมทุกอย่างเอาไว้แล้ว จะต้องไม่มีอะไรผิดพลาดอย่างแน่นอนเพคะ!”
“อืม!” ฮ่องเต้ฟังแล้วก็ไม่ถามรายละเอียดอะไรต่ออีกเช่นกันและค่อยๆ ยกมือขึ้นมาโบก
คนนั้นลุกขึ้นมาค้อมตัวคารวะและถอยออกไป นางเดินออกไปนอกตำหนักแล้วหายตัวไปอย่างรวดเร็ว
ฮ่องเต้ประคองน้ำอุ่นถ้วยนั้นไว้ไม่ห่างมือตลอดและดื่มไปอีกอึกใหญ่ เหมือนจะใช้อุณหภูมิของน้ำนี้ทำให้ตนเองที่ตอนนี้หนาวตลอดจนร่างกายอยากจะสั่นอุ่น
เขาพยายามรักษาสีหน้าเยือกเย็นไว้อย่างสุดความสามารถ แต่หลี่รุ่ยเสียงมองเห็นนิ้วมือที่เขาซ่อนไว้ใต้แขนเสื้อกว้างครึ่งหนึ่งต่างกำลังสั่นเล็กน้อยได้อย่างชัดเจน
ลองคิดดูแล้วฮ่องเต้ถูกพิษและกินยาเม็ดมาได้ประมาณครึ่งปีแล้ว ต่อให้ถ่วงเวลาไปอีกเช่นนี้ก็เหลือเวลาไม่นานแล้ว
หลี่รุ่ยเสียงแอบชั่งใจอยู่เงียบๆ แต่ปากกลับเอ่ยถามอย่างชัดเจนว่า “ในเมื่อฝ่าบาทตัดสินแล้วว่ารุ่ยชินอ๋องเป็นคนวางแผนร้าย ทำไมไม่ฉวยโอกาสกวาดล้างให้หมดและจบเรื่องนี้ในครั้งเดียว? แทนที่จะปล่อยไปอีกพ่ะย่ะค่ะ? ถึงแม้จะมีองครักษ์ลับคอยคุ้มครอง แต่ก็คงต้องเตรียมรับมือเหตุไม่คาดฝันเอาไว้ก่อน!”
ฮ่องเต้ฟังเขาพูดอย่างเงียบๆ จนกระทั่งเขาหยุดพูดแล้ว ถึงจะเงยหน้ามองเขาจากถ้วยนั้นตรัส “เจ้าก็คิดว่าข้าแก่แล้วไม่เอาไหนหรือ? ถึงต้องมาแกล้งโง่ตบตาต่อหน้าข้า?”
“กระหม่อมไม่กล้าพ่ะย่ะค่ะ!” ทว่าหลี่รุ่ยเสียงกลับไม่ตกใจกลัว และยิ้มมุมปากอย่างเยือกเย็น
ฮ่องเต้ไม่โมโห
หลี่รุ่ยเสียงก็ไม่พูดอะไรอีกเช่นกัน
ถึงแม้ฉู่ซินรุ่ยจะปฏิเสธท่าเดียวครั้งแล้วครั้งเล่า แต่แค่จากที่หยางอวิ๋นชิงชี้ตัวนั้นก็สามารถตัดสินได้แล้วว่าเรื่องนี้ต้องเป็นฝีมือของจวนอ๋องรุ่ยชิน
กล้าลงมือสังหารเขาซึ่งๆ หน้าเช่นนี้?
แน่นอนว่าฮ่องเต้ต้องรู้สึกเกลียด แต่ว่า…
แค่คำให้การของหยางอวิ๋นชิง หลักฐานนี้ยังไม่แน่นหนาพอ
เขามีชื่อเสียงดีมาตลอดชีวิต จะมาเสียชื่อตอนแก่เพราะระแวงมากเกินไปจนใส่ร้ายน้องชายของตนเองไม่ได้
ดังนั้นเขาจึงไม่เคลื่อนไหวและรอโอกาส แค่…
กำลังรอจังหวะบีบให้ทางรุ่ยชินอ๋องลงมือก่อนเท่านั้น
หลี่รุ่ยเสียงเงียบไปพักหนึ่งด้วยเช่นกัน แล้วถึงจะเอ่ย “ทางองค์รัชทายาท…”
นิ้วมือของฮ่องเต้ที่ประคองถ้วยชาอยู่พลันชะงักไป สีหน้าก็เคร่งขรึมตามไปด้วยในชั่วพริบตา แต่กลับโบกมือว่าไม่อยากพูดอีก
หลี่รุ่ยเสียงก็หุบปากอย่างรู้ดีว่าอะไรควรไม่ควรเช่นกัน
ไม่นานนักเหล่านางในก็ถือถาดเงินแสนประณีตส่งอาหารมื้อเช้าเข้ามา
ฮ่องเต้ไม่เจริญอาหารมานานมากแล้ว ถึงแม้กลิ่นหอมจะลอยฟุ้งไปทั่วตำหนัก แต่ก็ไม่รู้สึกอยากอาหารสักเท่าไร ทว่าเรื่องนี้เขากลับไม่เคยขี้เกียจและบังคับให้ตนเองกินมากหน่อยทุกครั้ง
หลี่รุ่ยเสียงรู้ใจเขาดี…
แค่ยิ่งใกล้ช่วงเวลาคอขาดบาดตายที่สุดก็ยิ่งกลัวตายเท่านั้น!
บรรยากาศในตำหนักเงียบมาก หลี่รุ่ยเสียงคีบอาหารให้ฮ่องเต้ด้วยตนเอง…
หลายปีนี้ฮ่องเต้ไว้ใจเขาเพียงคนเดียว
ฮ่องเต้กินอาหารเช้าที่วางเต็มโต๊ะอย่างจืดชืดไร้รสชาติเหมือนเคี้ยวเทียน สีหน้าไม่มีความสุขแม้แต่น้อย
บรรยากาศในตำหนักเงียบมาก แต่ด้านนอกกลับฝนตกเสียงดัง
หลี่รุ่ยเสียงตักข้าวต้มเกือบครึ่งถ้วยส่งให้ถึงมือของฮ่องเต้
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วประคองถ้วยข้าวต้มและค่อยๆ กลืนคำเล็กๆ พลางมองภาพเดิมอย่างไม่ได้สนใจใครทั้งนั้น
ทางหลี่รุ่ยเสียงเพิ่งจะพับแขนเสื้อขึ้นจะเอื้อมไปคีบฮะเก๋าที่วางอยู่กลางโต๊ะ แต่กลับได้ยินเสียงคายอาหารออกมาจากทางด้านหลัง
“อ๊ะ! ฝ่าบาท!” นางในบางคนที่อยู่ยืนไม่ไกลปิดปากร้องอย่างตกใจ
หลี่รุ่ยเสียงรีบหันกลับมา
ทว่ากลับเห็นฮ่องเต้ยังประคองถ้วยข้าวต้มนั้นอยู่ในมืออย่างตกตะลึง รอยเลือดค่อยๆ หยดกระจายบนข้าวต้ม และติดหนวดเคราของฮ่องเต้ไปด้วย แต่เลือดกลับเป็นสีแดงคล้ำ และคิดไม่ถึงว่าไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืนก็ดูเหมือนจะยิ่งทำให้บรรยากาศอึมครึมมากขึ้นเช่นนี้
“นี่…นี่มัน…” หลี่รุ่ยเสียงตกใจ เขายังตั้งตัวไม่ทัน ฮ่องเต้ที่พยายามยันร่างไว้ได้ครู่หนึ่งก็ยากที่จะประคองร่างไว้ได้อีกต่อไป ถ้วยกระเบื้องในมือร่วงหล่น คนก็เหมือนจะล้มตามไปด้วย
“ฝ่าบาท!” หลี่รุ่ยเสียงรีบวิ่งเข้าไปหา
ฮ่องเต้คว้าแขนเขาไว้แน่นและจ้องเขาเขม็งด้วยสีหน้าหม่นหมอง ริมฝีปากขยับตลอดเหมือนรีบร้อนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับอ่อนแรงมาก จนส่งเสียงไม่ออกแม้แต่คำเดียว
“ท่านอาจารย์!” เย่าสุ่ยกับขันทีอีกหลายคนได้ยินเสียงแล้วต่างก็รีบวิ่งกันเข้ามา
พอเห็นภาพตรงหน้า ทุกคนต่างทำอะไรไม่ถูก
“นี่…นี่…เหมือนฝ่าบาทถูกพิษ!” เย่าสุ่ยตกใจจนตัวสั่นทันที ใบหน้าซีดเผือด ขาทั้งสองข้างต่างเริ่มสั่น
เหล่านางในและขันทีที่ตกตะลึงจนตัวแข็งทื่ออยู่ข้างๆ ยิ่งหน้าซีดไร้สีเลือดกันทุกคน
ฮ่องเต้ถูกคนวางยาพิษใต้จมูกของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นอันตรายถึงชีวิตหรือไม่ คนพวกนี้ก็ต้องถูกลงโทษด้วยแน่นอน
เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ตอนแรกบางคนยังตั้งตัวไม่ทัน เวลานี้นางในบางคนก็อยากจะร้องไห้โฮในทันใด
“หุบปากให้หมด!” หลี่รุ่ยเสียงมองไปด้วยแววตาแข็งกร้าว พลางเรียกเย่าสุ่ยให้เข้ามาช่วยพยุงฮ่องเต้เข้าไปในตำหนักและเตือนอย่างเฉียบขาดว่า “ห้ามใครส่งเสียงอะไรทั้งนั้น คุกเข่าอยู่ในตำหนักนี้ให้หมดทุกคน ใครกล้าเปิดเผยออกไปให้คนรู้แม้แต่คำเดียว ข้าจะประหารเก้าชั่วโคตร”
ทุกคนได้ยินแล้วก็ยิ่งตกใจมากจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง ปิดปากและลนลานคุกเข่าลง ไม่กล้าส่งเสียงร้องไห้ออกมาอีก
ฮ่องเต้ฟังที่เขาพูดแล้ว หน้าตาก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก หลี่รุ่ยเสียงกับเย่าสุ่ยพยุงร่างผอมแห้งเข้าไปในตำหนักกันสองคน
จวนอ๋องรุ่ยชินและลูกหลานของเขาทุกคนล้วนจ้องจะตะครุบบัลลังก์ของเขากันทั้งนั้น หากเวลานี้ปล่อยข่าวออกไปว่าเขาถูกพิษจนเป็นอันตรายถึงชีวิต…
ผลลัพธ์คงเลวร้ายมากจนไม่กล้าคิด
พอเห็นว่าหลี่รุ่ยเสียงรู้ใจของเขาแล้ว ฮ่องเต้ที่ฝืนครองสติมานานมากก็หลับตาลงและหมดสติไปทันที
“ฝ่าบาทหมดสติไปแล้ว!” เย่าสุ่ยเอ่ย ถึงแม้จะไม่กล้าเสียงดังเอะอะเพราะหลี่รุ่ยเสียงเตือนแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็อายุยังน้อยจึงทนไม่ไหว และเอ่ยเสียงปนร้องไห้อย่างชัดเจน “ท่านอาจารย์ ตอนนี้ทำอย่างไรดีขอรับ? ต้องเรียนให้องค์
รัชทายาทให้เขาออกหน้าควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดหรือไม่?”
“ห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป!” หลี่รุ่ยเสียงเอ่ย พลางหันกลับไปมองฮ่องเต้ที่อยู่บนเตียงครั้งหนึ่ง แล้วถึงจะส่งสายตาให้เขาว่า “ข้าปลีกตัวไปจากที่นี่ไม่ได้ เจ้าไปเรียกใต้เท้าเหยียนหลิงจวินเข้าวังมาเดี๋ยวนี้ เรื่องอื่นห้ามแพร่งพรายออกไป บอกไปว่าฝ่าบาทเรียกเขาเข้าวังมาตรวจชีพจรปกติ เข้าใจหรือไม่?”
เฉินเกิงเหนียนกับเหยียนหลิงจวินเป็นคนตรวจอาการป่วยของฮ่องเต้มาตลอด เย่าสุ่ยไม่สงสัยอะไรทั้งนั้น เขารีบขานรับแล้ววิ่งเหยาะๆ ออกไป
หลี่รุ่ยเสียงมองฮ่องเต้อีกครั้ง แล้วถึงจะหยิบถ้วยที่อยู่บนโต๊ะเล็กข้างๆ มารินน้ำ เขาละลายผงที่แทบจะไร้สีในเล็บนิ้วก้อยมือซ้ายทิ้ง แล้วเปิดหน้าต่างสาดน้ำออกไป
ด้านนอกฝนตกหนักมาก จนไหลรวมกันเหมือนลำธารบนพื้นตั้งนานแล้ว และไหลทะลักลงสู่ที่ต่ำอย่างรวดเร็ว
พอปิดหน้าต่างแล้วก็วางถ้วยกลับไปบนโต๊ะเล็กนั้นอีกครั้ง แล้วหลี่รุ่ยเสียงก็เดินออกไปจากตำหนักอย่างรวดเร็ว
เวลานี้เหล่าข้ารับใช้ยังคุกเข่าอยู่นอกตำหนักอย่างหวาดกลัวจนตัวสั่นงันงก และไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา