สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 101.3 สังหรณ์ว่าจะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น เขาลงมือแล้ว! (3)
- Home
- สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2
- บทที่ 101.3 สังหรณ์ว่าจะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น เขาลงมือแล้ว! (3)
หลี่รุ่ยเสียงยืนอยู่กลางตำหนักและไม่มองใครทั้งนั้น แต่เทกระบอกไม้ไผ่ที่เล็กมากออกมาจากในแขนเสื้อและดึงจุกออก งูเขียวตัวเล็กเลื้อยออกมาจากข้างในและเลื้อยออกไปทางร่องประตูอย่างรวดเร็ว
หลี่รุ่ยเสียงยืนนิ่งอยู่กลางตำหนักใหญ่ด้วยสีหน้าเช่นเดิม
งูเล็กนั้นเลื้อยออกไปได้ไม่ถึงครึ่งถ้วยชา[1] เงาคนเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่อยู่ทุกที่เหมือนภูตผีสิบกว่าร่างก็บุกเข้ามาจากด้านนอก
“ฝ่าบาทเรียกหาข้าและคนอื่นด่วน มีพระราชโองการอะไร?” คนชุดดำคนหนึ่งเอ่ยถาม
“ฝ่าบาทถูกพิษ” หลี่รุ่ยเสียงเอ่ย
คนนั้นตกใจจนวิ่งเข้าไปตรวจดูในตำหนักโดยไม่ฟังคำอธิบาย และกลับมาหลังจากนั้นชั่วครู่ พลางจ้องหลี่รุ่ยเสียงอย่างจริงจังว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
“ไม่รู้ พระกายาหารน่าจะมีปัญหา” หลี่รุ่ยเสียงเอ่ย หน้าตาของเขานิ่งเฉย แต่นัยน์ตากลับฉายแววร้อนใจมากและค่อนข้างกังวล “ข้าสั่งคนไปเชิญใต้เท้าเหยียนหลิงมาแล้ว เมื่อครู่ลองตรวจชีพจรของฝ่าบาทดู ตอนนี้เหมือนไม่น่าจะเป็นอะไร แต่เรื่องนี้ยังไม่เหมาะที่จะแพร่งพรายออกไปในเวลานี้”
“อืม!” คนนั้นพยักหน้าและไม่รอฟังเขาพูดต่ออีก นางโบกมือให้ลูกน้องที่มาด้วยกันกับตนเองว่า “คุมตัวข้ารับใช้ที่นี่ทั้งหมดไปขังไว้ก่อนชั่วคราว และเปลี่ยนเป็นคนของเราเองให้หมดทั้งในและนอกตำหนัก ทุกเรื่องรอฝ่าบาทฟื้นแล้วค่อยว่ากัน”
“เจ้าค่ะ!” องครักษ์ลับรับคำสั่ง และพานางในกับขันทีในตำหนักทั้งหมดที่ตัวสั่นตั้งนานแล้วออกไปอย่างรวดเร็ว
ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป[2] ทั้งในและนอกตำหนักก็เปลี่ยนเป็นหน้าใหม่ทั้งหมด
ทว่าหลี่รุ่ยเสียงกลับไม่ได้ปรึกษาอะไรกับคนพวกนี้มากนัก เขาแค่ปล่อยให้พวกนางจัดการไป
ฮ่องเต้วางพิษร้ายไว้ในตัวของคนพวกนี้ เพื่อให้ควบคุมได้สะดวก ถึงแม้จะไม่มีใครสงสัยมาถึงเขา แต่จะทำทุกเรื่องเกินหน้าเกินตาไปไม่ได้ ไม่งั้น…
องครักษ์ลับพวกนี้ต่างรับมือยากไม่ใช่เล่น
หัวหน้าองครักษ์ลับจัดการสับเปลี่ยนคนอย่างเป็นระเบียบ แล้วถึงจะหันมาหาเขาอีกว่า “พอจะรู้สาเหตุที่ฝ่าบาทถูกพิษบ้างหรือไม่?”
“แค่เสวยพระกายาหารเช้าไปเท่านั้น!” หลี่รุ่ยเสียงเอ่ย แล้วก็ค่อยๆ ถอนหายใจออกมา “ข้าแค่หมายความว่าคอยจับตาดูทุกคนที่แตะต้องพระกายาหารเช้าไว้ก่อนก็พอ เจ้าก็รู้ว่าเวลานี้สถานการณ์ในราชสำนักเป็นยังไง รอดูว่าฝ่าบาทจะฟื้นได้เมื่อไรก่อนเถอะ!”
คนนั้นเหมือนจะชั่งใจ แต่ก็คิดว่าตนเองก็ตัดสินใจแทนฮ่องเต้โดยพลการไม่ได้เหมือนกัน จึงพยักหน้าเห็นด้วย
เย่าสุ่ยออกจากวังแล้วก็รีบวิ่งไปที่จวนของเฉินเกิงเหนียน แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะคว้าน้ำเหลว
เฉินเกิงเหนียนอยู่บ้าน เพียงแต่เรื่องครั้งนี้สำคัญมาก หลี่รุ่ยเสียงสั่งให้เขาไปหาเหยียนหลิงจวิน เขาก็ไม่กล้าบอก
เฉินเกิงเหนียนแม้แต่คำเดียว แล้วก็หันหน้าวิ่งไปยังวังบูรพาอีก
เวลานี้เหยียนหลิงจวินอยู่ที่เรือนจิ่นฮว่าของฉู่สวินหยาง เขาวางยาดองขวดหนึ่งไว้ใกล้มือ และทายาตรงตาตุ่มที่บวมแดงให้นางด้วยตนเอง
“เจ็บไม่เจ็บ?” เขานวดไปพร้อมกับเอ่ยถามเหมือนหยอกล้อ
ฉู่สวินหยางขดตัวอยู่ในผ้าห่มผืนบางบนเตียง นางถอดแค่รองเท้ากับถุงเท้า และโผล่ขาออกมาข้างหนึ่งตรงหน้าเขา พอได้ยินแล้วก็ทั้งหงุดหงิดทั้งขำจนจะยกขาถีบเขา “บวมจนเป็นแบบนี้ไปหมดแล้ว เจ้าว่าเจ็บไม่เจ็บ!”
เหยียนหลิงจวินเห็นนางยังดื้อ ก็รู้ว่านางไม่เป็นไรจริงๆ แต่เขาก็ไม่ปล่อยให้นางทำสำเร็จเช่นกัน และหยุดนางด้วยการจับน่องขาวเนียนเกลี้ยงเกลาของนางเอาไว้ แล้วขมวดคิ้วมองนางว่า “เป็นแบบนี้แล้วยังดื้ออีก จะต้องทำตัวร้ายให้ได้งั้นหรือ?”
เขาพูดไปก็เทยาดองใส่ฝ่ามือมากอีกหน่อย พอนวดจนนิ่มแล้ว เขาก็นวดตรงที่นางบาดเจ็บอย่างเบามือ
ทว่าเวลานี้ฉู่สวินหยางกลับว่านอนสอนง่ายไม่น้อย นางปล่อยให้เขาจดจ่ออยู่กับการทายาให้ตนเองอย่างว่าง่าย พลางมองท่าทางพิถีพิถันจริงจังของเขา ทันใดนั้นก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ แล้วเงยหน้ามองใบหน้าด้านข้างของเขา “อยู่ดีๆ เจ้ามาได้อย่างไร?”
“ข้า?” พอนึกถึงนิสัยแปลกๆ ของฉู่ฉีเฟิง เหยียนหลิงจวินก็อดที่จะหัวเราะเยาะออกมาไม่ได้ว่า “เดิมทีข้ายังคิดว่าพี่รองของเจ้าอยากจะให้เท้าเจ้ารักษาไม่หายเสียอีก!”
ฉู่สวินหยางอึ้งไป เหมือนฟังไม่ค่อยเข้าใจ สายตาสับสน
เหยียนหลิงจวินนวดตาตุ่มให้นางไปพร้อมกับยกยิ้มอย่างชั่วร้ายว่า “หากเจ้ากลายเป็นคนพิการ และถึงเวลานั้นแต่งงานออกไปไม่ได้แล้ว เขาก็จะมีเหตุผลที่จะเก็บเจ้าไว้ใต้จมูกแล้ว”
ฉู่สวินหยางรอนานมาก แต่สุดท้ายเขากลับวกมาพูดเรื่องนี้ จึงจ้องเขา พูดว่า “เขาเป็นพี่รองของข้า ทำไมเจ้าถึงชอบไปขัดขวางเขา?”
“มีด้วยหรือ?” เหยียนหลิงจวินเอ่ย พลางอมยิ้มมุมปาก แต่กลับทำให้รู้สึกหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก
ฉู่สวินหยางถูกเขาจ้องจนเหมือนจะรู้สึกกลัว
แต่เขายิ้มอย่างเป็นธรรมชาติแบบนั้น นางจึงคิดว่าตนเองแค่คิดมากไป แล้วก็ขมวดคิ้วแน่นจ้องเขาเขม็ง
ทว่าเหยียนหลิงจวินกลับไม่พูดอะไรอีก เขาเทยาดองและนวดตาตุ่มให้นางต่อไป
จนกระทั่งใช้ยาดองไปเกินครึ่งขวดแล้ว ยาก็ออกฤทธิ์ บวกกับเขาคอยนวดให้ตลอด พอเลือดไหลเวียนได้สะดวก ฉู่สวินหยางถึงรู้สึกว่าตรงที่บาดเจ็บที่เคยชาค่อยๆ มีความรู้สึกขึ้นมา และเลือดข้างในก็เหมือนเดือดพล่าน ตาตุ่มร้อนจนแทบทนไม่ไหว
เหยียนหลิงจวินเห็นนางขมวดคิ้วถึงหยุดมือ และผลักขวดยาดองไปข้างๆ ว่า “ครึ่งเดือนนี้อยู่เฉยๆ อย่างว่าง่ายเถอะ หากเจ้ายังไปยุ่งวุ่นวายอีก เกรงว่าจะสมใจเจ้าเด็กฉู่ฉีเฟิงนั่นแล้วจริงๆ”
วันนี้เขาพูดถึงฉู่ฉีเฟิงหลายครั้ง ทันใดนั้นฉู่สวินหยางถึงรู้สึกผิดปกติ และตั้งใจคิดทบทวน แต่หน้าตากลับเย็นชาทันที และหันหน้าไปตะโกนเรียกทางนอกประตูว่า “เจี๋ยหง เฉี่ยนลวี่ พวกเจ้าเข้ามา!”
พอเหยียนหลิงจวินเห็นนางโกรธ สายตาก็ทอประกายวาบ เขาโถมตัวไปข้างหน้าทันทีและยกมือจะปิดปากนาง
เขาเริ่มเข้ามาใกล้ ฉู่สวินหยางก็ได้กลิ่นยาดอง นางถอยไปข้างหลังอย่างหวาดกลัวทันที และเอียงคอหลบให้พ้นมือของเขา
แต่เหยียนหลิงจวินกลับไม่ยอม เขาชูมือสองข้างขึ้น ร่างกายเซไปเซมา และล้มทับลงไปบนตัวนาง
ฉู่สวินหยางยืดคอไปด้านข้างเพื่อหลบให้ห่างจากมือของเขาอย่างรังเกียจว่า “รีบไปล้างซะ!”
เหยียนหลิงจวินมองตามสายตานางไปยังมือของตนเอง แล้วก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ เขาแกล้งยื่นมือไปจะบีบจมูกนาง “เท้าของเจ้าเอง ข้ายังไม่รังเกียจเจ้า แล้วเจ้าจะหลบทำไม!”
ฉู่สวินหยางเห็นเขาคิดมิดีมิร้าย จึงรีบดึงผ้าห่มผืนบางมาปิดหน้าตนเองไว้และบ่นอุบว่า “เจ้าอย่ากวน ตอนนี้ข้าไม่มีอารมณ์!”
ทว่าเหยียนหลิงจวินกลับไม่สนใจนาง เขากอดนางทั้งผ้าห่มเต็มอ้อมกอด แล้วพลิกตัวนอนหงาย พลางวางนางไว้บนอกและกอดไว้
พอเห็นเขาไม่ขยับแล้ว ฉู่สวินหยางถึงดึงผ้าห่มออกแล้วโผล่ศีรษะออกมา พลางจัดผมที่ทำยุ่งเล็กน้อยด้วยหน้าตาอึดอัดจนแดงก่ำ
เหยียนหลิงจวินเงยหน้ามองนาง แล้วถึงจะเตือนอย่างมีเหตุผลและจริงจังว่า “ต่อให้เป็นพี่ชายของเจ้า แต่ชายหญิงต่างกัน ต่อไปก็คอยอยู่ให้ห่างเขาหน่อยแล้วกัน!”
ฉู่สวินหยางเบ้ปาก และเดาออกตั้งนานแล้วว่าเขาทำเพื่อเรื่องนี้
เหยียนหลิงจวินเห็นนางไม่ตอบ รอยยิ้มบนใบหน้าก็เลือนหายไปด้วย สายตาจับจ้องนางอย่างไม่วางตา
ฉู่สวินหยางไม่อยากจะอะไรอธิบายให้เขาฟัง….
ความจริงเมื่อเช้านั้นนางแค่อารมณ์ไม่ดีจึงยั้งสติไว้ไม่อยู่ พอเจอฉู่ฉีเฟิงก็ลืมตัวจนควบคุมตนเองไม่ได้
ฉู่ฉีเฟิงเป็นพี่ชายฝาแฝดในนามของนาง และในใจของนางก็เห็นเขาเป็นญาติที่สนิทที่สุดมาตลอดเช่นกัน ดังนั้นถึงได้เอาแต่ใจแบบนั้นอย่างไม่เกรงกลัว
เหยียนหลิงจวินจะถือสา นางก็เข้าใจ
ทว่าเวลานี้เขามาถามเช่นนี้ อาจจะไม่ได้โกรธจริง แต่แค่คิดจะเตือนเท่านั้นจริงๆ
ฉู่สวินหยางสบตากับเขาเหมือนไม่ได้ตั้งใจ แล้วกลับยิ้มอย่างจริงครึ่งไม่จริงครึ่ง “ในเมื่อเจ้าไม่ชอบให้ข้าอยู่ที่เดียวกันกับท่านพี่ ทำไมยังอยู่ที่นี่มาตลอดล่ะ?”
ทีแรกเหยียนหลิงจวินเตรียมใจไว้แล้วว่านางจะต้องเอ่ยปากปกป้องฉู่ฉีเฟิง จึงตกใจที่ได้ยินนางพูดเช่นนนี้ และอึ้งจนทำตัวไม่ถูกไปชั่วครู่
เมื่อก่อนเขาอยากจะพานางไปมาตลอด ทว่านางกลับอาลัยอาวรณ์พ่อและพี่ชายของตนเอง
แต่อยู่ดีๆ นางกลับเปลี่ยนท่าทีไปเช่นนี้แล้ว
“ซินเป่า…” เหยียนหลิงจวินอดที่จะสูดหายใจเล็กน้อยไม่ได้ ทว่าตอนที่เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่างนั้นก็ได้ยินเสียงชิงเถิงกำลังเคาะประตูจากด้านนอกว่า “ใต้เท้าเหยียนหลิง มีคนมาจากในวัง บอกว่าฝ่าบาทเรียกท่านเข้าเฝ้าเจ้าค่ะ!”
—————————————————
[1] เวลาหนึ่งถ้วยชา = 10-15 นาที
[2] เวลาหนึ่งก้านธูป = 30 นาที