สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 102.3 เพียงเพื่อนางคนเดียว! (3)
“เมื่อคืนในวังเพิ่งจะเกิดเหตุร้ายครั้งใหญ่ไป ราชสำนักไม่มั่นคง หากเพียงแค่เผยแพร่ข่าวประชวรหนักเจียนตายของฝ่าบาทออกไปในเวลาที่ผู้คนกำลังรู้สึกหวาดหวั่นเช่นนี้ อย่างไรก็ต้องทำให้ขุนนางใหญ่ตื่นตระหนกถึงขั้นเกิดความวุ่นวายแน่” ในที่สุดหลี่รุ่ยเสียงก็เอ่ยปาก และเอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “ฝ่าบาทถือเรื่องนี้ที่สุด ยิ่งเวลานี้ก็ยิ่งประมาทจนเกิดความผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว”
ทว่าหัวหน้าองครักษ์ลับกลับไม่เชื่อใจเหยียนหลิงจวิน และเอาแต่ตีหน้านิ่งจ้องเขาอย่างไม่วางตา
เหยียนหลิงจวินก็ไม่พยายามจะอธิบายอะไรอีกเช่นกัน เขารวบเสื้อขนสัตว์นุ่มอุ่น และปล่อยให้นางจ้องไปอย่างไม่สะทกสะท้าน
หลี่รุ่ยเสียงเห็นทั้งสองคนเหมือนจะโมโห จึงจำใจก้าวเข้าไปยืนตรงหน้าเหยียนหลิงจวินและขวางสายตาของทั้งสองคนเอาไว้ว่า “ช่วงนี้ใต้เท้าเหยียนหลิงร่างกายไม่แข็งแรง ก็ไม่ต้องกลับไปสำนักหมอหลวงให้เหนื่อยแล้ว เดี๋ยวข้าจะจัดรถม้าส่งท่านกลับจวนเฉิน พรุ่งนี้เช้ามืดยังต้องเชิญท่านเข้าวังมาตรวจชีพจรให้ฝ่าบาทอย่างตรงเวลาอีก!”
สำนักหมอหลวงคนเยอะ จะทำอะไรก็ถูกจับได้ง่าย ถึงการเรียกเมื่อไรและค่อยมาเมื่อนั้นจะค่อนข้างสะดวก แต่หากทำให้เป็นเรื่องใหญ่ก็จะทำให้คนสงสัยได้ง่ายเช่นกัน
เทียบกันแล้ว สู้ให้คนไปเชิญมาจากจวนเฉินยังวางใจได้มากกว่า
เหยียนหลิงจวินยิ้มมุมปากเงียบๆ
หัวหน้าองครักษ์ลับยังรู้สึกไม่พอใจมากทีเดียว แต่ก็แค่จ้องเขาเขม็งโดยไม่ละสายตา
หลี่รุ่ยเสียงตัดสินใจเอ่ยอีกทันทีว่า “ข้าจะไปส่งใต้เท้าเหยียนหลิง ลำบากใต้เท้าแล้ว!”
เดิมทีเหยียนหลิงจวินก็ไม่ได้คิดจะทำให้ใครลำบากใจอยู่แล้ว พอได้ยินเช่นนั้นเขาก็ยิ้มเล็กน้อย และหันตัวเดินออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว
หัวหน้าองครักษ์ลับจ้องภาพเงาด้านหลังของเขาเขม็ง นางแอบกัดฟันและลังเลอยู่นานมาก แต่สุดท้ายก็ไม่ขัดขวางอีก
ถึงแม้ฝนด้านนอกจะเบาลงบ้างแล้ว ทว่าสายฝนพรำก็ยังตกปลิวว่อนอยู่ในอากาศ
ในลานตรงกลางนั้นล้วนเป็นเหล่าองครักษ์ลับที่ตั้งเป้าหมายไว้สูงแต่ความสามารถไม่ถึงและไว้ใจไม่ได้สักคน
เหยียนหลิงจวินรู้สภาพร่างกายในเวลานี้ของตนเองดีจึงไม่อวดเก่ง เขาเดินไปถึงใกล้ประตูและก้มตัวหยิบร่มขึ้นมากางไว้ แล้วเดินออกไปข้างนอกอย่างเยือกเย็น
สายตาของหัวหน้าองครักษ์ลับเกาะติดบนภาพเงาด้านหลังของเขาเหมือนกาว พลางส่งสัญญาณมือให้ลูกน้องที่ยืนอยู่อย่างนอบน้อมในตำหนักและสั่งเสียงทุ้มต่ำว่า “ไป ส่งคนไปเพิ่ม ล้อมจวนเฉินเอาไว้ให้แน่นหนา หากมีอะไรน่าสงสัยก็จับตัวไว้ให้หมดก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
“เจ้าค่ะ!”
ตอนนี้ก็ถือว่าเหยียนหลิงจวินรู้ตัวคนลึกลับที่อยู่ใกล้ชิดฮ่องเต้ที่สุดแล้ว องครักษ์ลับจะเคลื่อนไหวก็เป็นไปตามที่คาดเอาไว้อยู่แล้ว
เขาไม่สนใจว่าด้านหลังจะเกิดคลื่นใต้น้ำอย่างไรเช่นกัน เพียงแค่เดินอยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยวและเชื่องช้าท่ามกลางสายฝน แล้วออกไปทางประตูใหญ่ของตำหนักฮ่องเต้
หลี่รุ่ยเสียงก็ไม่คิดจะไปเร่งให้เขาเดินเหมือนกัน จึงกางร่มเดินอยู่ข้างหลังอย่างเยือกเย็น
พอออกมาจากประตูใหญ่แล้ว เขาก็สั่งองครักษ์ที่เฝ้าประตูให้ไปขับรถม้ามา แล้วตนเองก็เดินลงบันไดไปยืนนิ่งอยู่ข้างกายเหยียนหลิงจวิน
ทั้งสองคนต่างคนต่างกางร่ม ถึงแม้จะยืนอยู่ข้างกัน แต่ก็เว้นระยะห่างตรงกลางไว้สองก้าว
เหยียนหลิงจวินนิ่งไม่ขยับและไม่ชายตามองเขาเช่นกัน เพียงแค่ยกยิ้มอย่างชัดเจนมากจนดูเลยเถิด หลังจากที่เขาเดินมาแล้ว พลางเยาะเย้ยตนเองว่า “หัวหน้าขันทีตามออกมาเพราะอยากถามข้าว่าจะสิ้นพระชนม์ประมาณเมื่อไรหรือ?”
หลี่รุ่ยเสียงคิดไม่ถึงว่าเขาจะถามเช่นนี้ จึงเลิกคิ้วสูงทันที
เขาไม่ตอบ เหยียนหลิงจวินก็ไม่สนใจเขาเหมือนกัน พลางมองวิวที่เต็มไปด้วยไอน้ำตรงหน้าและเอ่ยต่อว่า “ถ้าข้าบาดเจ็บสาหัสหรือชะตาลิขิตมาแล้วว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน เช่นนั้นครั้งนี้เจ้าก็จะผลักข้าออกไปเป็นบันไดที่จะก้าวไปสู่ความก้าวหน้า แล้วหาคนที่พึ่งพาได้มากกว่าไปให้ท่านหญิงสวินหยางใหม่อีกหรือ?”
หลี่รุ่ยเสียงคนนี้ แม้แต่ฮ่องเต้ก็หนีไม่พ้นเงื้อมมือเขา…
เขากล้าทำทุกอย่างจริงๆ
ถึงแม้น้ำเสียงตอนที่เหยียนหลิงจวินพูดนั้นจะนุ่มนวล ทว่าทุกคำกลับโจมตีโดนตรงจุดสำคัญเข้าพอดีอย่างน่าตกใจ
หลี่รุ่ยเสียงไม่สนใจเช่นกันว่าเขาจะคอยสืบและคาดเดาเจตนาของตนเองไปถึงไหน และไม่แม้แต่จะหันไปมองเขาอย่างจริงจังสักครั้งด้วยซ้ำ แต่มองไอน้ำที่บดบังภาพตรงหน้าจนมองเห็นไม่ชัดแทน และเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ตอนที่จำเป็น ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะทำอะไรได้อีกแค่ไหนแล้ว”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง!” เหยียนหลิงจวินยิ้มเล็กน้อย น้ำเสียงดีใจ “ในสายตาของหัวหน้าขันทีหลี่ ชีวิตของทุกคนใต้หล้านี้ล้วนเป็นเหมือนต้นหญ้าเล็กๆ ที่ไม่มีค่าแม้แต่น้อย เพียงเพื่อนางคนเดียว ดูเหมือนเจ้าจะไม่เสียดายที่จะทำลายมันเลย!”
หลี่รุ่ยเสียงเม้มมุมปากและไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
เหยียนหลิงจวินรออีกครู่หนึ่ง เมื่อไม่ได้ยินเขาเอ่ยปากเองสักที จึงหันหน้าไปมองเขาในที่สุด
หลี่รุ่ยเสียงสีหน้าเรียบเฉยเหมือนเดิม สมบูรณ์แบบและไม่แยแส ไม่มีพิรุธแม้แต่นิดเดียว
เขายืนอยู่ใต้ร่มด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เม็ดฝนกลิ้งหล่นลงมาจากบนร่มตลอด บางทีก็ทำให้ใบหน้าของเขาดูเหมือนไม่จริง
เหยียนหลิงจวินมองเขา รอยยิ้มในดวงตาค่อยๆ เลือนหายไปโดยไม่รู้ตัว และเอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “เจ้าวางแผนเพื่อนางมากมายอยู่เบื้องหลัง เรียกได้ว่าจัดการทุกเรื่องอย่างไม่มีขาดตกบกพร่องทุกฝีก้าว แต่ตอนที่นางอยากเจอเจ้า เจ้ากลับไม่ยอมท่าเดียว ถึงอย่างไรทุกสิ่งทุกอย่างนี้ก็ต้องมีสาเหตุสักอย่าง เจ้าแอบจับตามองนางมานานขนาดนั้น ก็น่าจะรู้ว่า…ของขวัญลึกลับเช่นนี้ นางไม่มีทางรับได้อย่างสบายใจ!”
หลี่รุ่ยเสียงเงียบไปชั่วครู่ ในที่สุดเขาก็ค่อยๆ ดึงสายตากลับมาจากที่ไกล และหันไปมองด้วยท่าทีเรียบเฉยเช่นเดิมของเขาว่า “ฉู่เป้ยถูกพิษไปมากแล้ว อย่างไรก็ไม่มีทางฝืนได้เกินปีหน้า ก่อนที่จะถึงตอนนั้นต้องกวาดล้างอุปสรรคทั้งหมดให้วังบูรพา ให้องค์รัชทายาทขึ้นครองราชย์อย่างราบรื่น ส่วนที่ฉู่อี้เจี่ยนก่อกวนนั้นก็เป็นเพราะเจ้า ดังนั้นให้เรื่องจบที่เจ้าก็เป็นหนึ่งในงานที่ควรทำเช่นกัน ในเมื่อเจ้าดูออกหมดแล้ว งั้นข้าจะหลีกทางให้เจ้าชั่วคราวและรอฟังข่าวจากเจ้า”
น้ำเสียงของเขาเฉยชา แต่ฟังแล้วกลับมีพลังที่ทำให้รู้สึกหวาดกลัวได้ทุกคำ
“นี่คือการข่มขู่? หรือการขอความช่วยเหลือ?” เหยียนหลิงจวินย้อนถาม
ทว่าหลี่รุ่ยเสียงกลับไม่พูดอะไรอีก และหันไปมองทางอื่นอย่างเฉยเมยอีกครั้ง