สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 104.2 พาลโกรธ (2)
“คนของข้าไม่พอ จึงรบกวนองค์รัชทายาทเรียกคนมาช่วยขุดน่ะสิ!” ฉู่สวินหยางเอ่ย “ไม่แน่ว่าอาจจะยังช่วยชีวิตแม่นางฮั่วเอาไว้ได้!”
เฟิงเหลียนเซิ่งได้ยินก็หน้าดำคร่ำเครียดอีก
ก่อนหน้านี้ฉู่สวินหยางบอกว่านางขาดคนไปไล่ตามคนร้ายด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเด็ดขาด ตอนนั้นเขาจึงไม่ได้คิดอะไรมาก ทว่าเวลานี้ถึงรู้สึกตัวว่า…
หากฉู่ฉีเหยียนจะทำเรื่องนี้ เขาจะไม่จัดการปัญหาทั้งหมดที่จะตามมาให้เรียบร้อยได้อย่างไร?
จับตัวคนได้สิถึงแปลก!
ผู้หญิงคนนี้อยู่ดีๆ ก็เกิดอยากให้เขาถูกหลอกขึ้นมา!
เฟิงเหลียนเซิ่งสีหน้าไม่ดีนัก
ฉู่สวินหยางแค่มองเขาอย่างเยือกเย็น “เร็วหน่อยเถอะ ชีวิตคนสำคัญมากนะ องค์รัชทายาท!”
ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ ถึงจะกำจัดสถานการณ์ที่ยุ่งเหยิงออกไปจนหมดก็ไม่มีผู้รอดชีวิตแล้ว ดังนั้นทุ่มเททำไปก็ไร้ประโยชน์
ทว่าชื่อเสียงของเขาวางอยู่ตรงนั้น ทำให้แม้เขาอยากจะเฝ้าดูอยู่เฉยๆ ก็ทำไม่ได้
เฟิงเหลียนเซิ่งยังคงยิ้มอย่างลำบากใจพอสมควร แต่สุดท้ายเขาก็โบกมือให้หลี่เหวย “จัดคนไปช่วย!”
“ขอรับ องค์ชาย!” หลี่เหวยรีบขานรับ แล้วสั่งการองครักษ์ที่ติดตามมาให้ไปค้นหาและช่วยเหลือคนของตระกูลฮั่วในกองหินเกะกะข้างหน้า
“เฉี่ยนลวี่ เจ้ากลับเมืองหลวงไปแจ้งข่าวจวนอ๋องหนานเหอเดี๋ยวนี้ บอกว่าแม่นางฮั่วประสบอุบัติเหตุ ลองถามชายาอ๋องหนานเหอดูว่าจวนอ๋องหนานเหอของพวกเขาจะส่งคนมาหรือจะให้แจ้งขุนนางมาจัดการไปเลย” ฉู่สวินหยางหันไปสั่งเฉี่ยนลวี่
แต่เฉี่ยนลวี่กลับเหลือบมองเฟิงเหลียนเซิ่ง เห็นได้ชัดว่านางไม่ไว้ใจคนนี้เสียเท่าไร
“ไปเถอะ!” ฉู่สวินหยางเร่ง “มีองค์รัชทายาทเหลียนเซิ่งอยู่ ข้าปลอดภัยดี!”
ถึงแม้เฉี่ยนลวี่จะรู้สึกไม่เห็นด้วย แต่นางก็ยังพยักหน้าตอบรับและรีบวิ่งไปตามทางที่มา
ฉู่สวินหยางยืนมองและเอามือไพล่หลังอยู่ตรงนี้ไม่ใกล้ไม่ไกล
เฟิงเหลียนเซิ่งถูกนางยั่วโมโหอีก จึงไม่มีอารมณ์คุยแล้ว เขายืนรออยู่ตรงนี้กับนางด้วยสีหน้าเย็นชา
เฟิงเหลียนเซิ่งไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน มีดที่องครักษ์ของเขาพกติดตัวก็ใช้ประโยชน์ได้ไม่เท่าไร คนทั้งกลุ่มย้ายก้อนหินในกองดินโคลนที่ค่อนข้างชื้นด้วยมือเปล่า ไม่นานบนตัวแต่ละคนก็เละเทะไปหมดจนทนดูไม่ได้
เฟิงเหลียนเซิ่งเห็นกับตา สีหน้าของเขายิ่งหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อยๆ
ฉู่สวินหยางเหลือบเห็นสีหน้าของเขาก็ยิ้มมุมปากอย่างชั่วร้าย
ถึงแม้เฟิงเหลียนเซิ่งคนนี้จะร้ายไปบ้าง แต่อย่างไรอย่างน้อยที่สุดทุกอย่างที่เขาทำมาตลอดจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยล้ำเส้นนางอย่างจริงจัง แม้ว่าครั้งนั้นที่เมืองฉู่…
เขาจะเล่นตุกติกชิงตัวไปอย่างไร้ยางอาย สุดท้ายเขาก็แค่คิดจะควบคุมสถานการณ์การรบทางนั้น
สงครามตัดสินด้วยความถูกผิดไม่ได้ แต่ไหนแต่ไรมาสงครามก็ตัดสินด้วยแพ้หรือชนะเท่านั้น
ดังนั้นถึงแม้นางจะไม่ชอบคนๆ นี้ แต่กลับไม่ถึงขั้นเกลียดสุดชีวิต
ทั้งสองคนยืนอยู่เกือบครึ่งชั่วยามด้วยสีหน้าต่างกันมาก ฉู่สวินหยางแอบคำนวณในใจคร่าวๆ ก็รู้สึกว่าจวนจะได้เวลาแล้วจึงหันตัวเดินไปยังปากทางเข้าหุบเขา
แน่นอนว่าเฟิงเหลียนเซิ่งรู้ว่านางทำไปเพื่ออะไร เขาจึงฝืนสะกดกลั้นอารมณ์ไว้และเดินตามกลับไปด้วยกัน
พอมองเห็นปากทางเข้าหุบเขาอยู่ไกลๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังมาก่อน
ฉู่สวินหยางยิ้มและรีบเดินไปอย่างรวดเร็ว
เหมือนฉู่ฉีเหยียนไม่ได้คิดจะเข้ามาในหุบเขาตั้งแต่แรก เขาขี่ม้ามาถึงปากทางเข้าหุบเขาแล้วดึงบังเหียนรออยู่ตรงนั้น พลางมองฉู่สวินหยางและเฟิงเหลียนเซิ่งทยอยเดินเข้าไปใกล้ข้างหน้า
เขารู้สึกแปลกใจกับการปรากฏตัวของเฟิงเหลียนเซิ่งมากทีเดียว นัยน์ตามืดมนกวาดสายตามองอีกฝ่ายแล้วถึงจะหันไปทางอื่นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ข้าคิดว่าชายาอ๋องหนานเหอจะมาเสียอีก!” ฉู่สวินหยางเอ่ยปากก่อน พลางมองฉู่ฉีเหยียนที่อยู่บนหลังม้าตรงหน้าด้วยสีหน้าเย็นชา
ตั้งแต่รู้ใจเขาอย่างทะลุปรุโปร่งในวังวันนั้น ใจจริงนางก็ไม่อยากเจอกับคนนี้ซึ่งๆ หน้า
หากไม่ใช่ว่าครั้งนี้จำเป็นจริงๆ นางก็จะไม่เจอเขาอีกแน่นอน
ฉู่ฉีเหยียนมองหุบเขาที่อยู่ด้านหลังนางด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เปล่งเสียงเย็นชาว่า “เจ้าอยากรักษาชีวิตของฮั่วชิงเอ๋อร์เอาไว้ก็ไปบอกข้าสักนิดก็พอแล้ว ทำไมต้องทำให้เรื่องยุ่งยากเช่นนี้?”
ฉู่สวินหยางฝืนยิ้มในใจ เอ่ยด้วยสีหน้านิ่งเฉยว่า “ระหว่างเจ้ากับข้าไม่จำเป็นต้องพูดจากันอย่างมีพิธีรีตองที่ไม่จริงใจแบบนั้นแล้ว ว่ากันตามจริงก็คือ…ข้าไม่จำเป็นต้องขอความเห็นใจจากคนนอก เพียงแต่เวลานี้แม่นางฮั่วประสบอุบัติเหตุจนตาย เจ้าคิดว่าตนเองจะหลุดพ้นจากเรื่องนี้ไปได้จริงๆ หรือ?”
“ไม่งั้นล่ะ?” ฉู่ฉีเหยียนเอ่ย เขามองนางด้วยสีหน้าเย็นชา และพูดพลางยิ้มเยาะว่า “สวินหยาง ระหว่างเจ้ากับข้าไม่จำเป็นต้องมาเล่นตุกติกกันแบบนี้ ดังนั้นอย่าได้เล่นลูกไม้แบบนี้อีก!”
ระหว่างที่พูดนั้นเขาก็กวักมือเรียก
หลี่หลินยิงธนูที่ซ่อนไว้ในแขนเสื้อเยื้องไปทางด้านหลัง
ฉู่สวินหยางระวังตัวขึ้นมาทันที นางรีบตั้งสติและมองไปทางถนนเล็กที่อยู่ด้านหลัง
ไม่นานนักรถม้าคันหนึ่งก็แล่นจากสุดถนนเล็กนั้นมาอย่างรวดเร็ว ทว่าพอรถม้าขับเข้ามาใกล้กลับปรากฏตราประจำตระกูลหลัวของจวนหลัวกั๋วกงประทับอยู่บนรถม้า
ฉู่สวินหยางสีหน้าเย็นชาในชั่วพริบตา
แต่ฉู่ฉีเหยียนยังคงสีหน้าเย็นยะเยือกเช่นเดิม พอเขายกมือ องครักษ์ก็เดินไปเปิดประตูรถทันทีและดึงหญิงสาวสองคนลงมาจากข้างใน
สองคนนั้น คนหนึ่งคือหลัวซืออวี่ที่แต่งตัวหรูหรา ส่วนอีกคนคือฮั่วชิงเอ๋อร์ที่แต่งตัวเป็นสาวใช้และสวมชุดสีขาวทั้งตัว
“นางไม่ได้ไปร่วมแห่ศพฮูหยินฮั่วด้วยซ้ำ!” ฉู่ฉีเหยียนเอ่ย เขาก้มหน้าลูบบังเหียนในมือและยกยิ้มแลดูเย็นเยียบ “เจ้ารู้แต่แรกแล้วไม่ใช่หรือ? วันนี้เช้ามืดแม่นางหลัวซืออวี่จะคุ้มกันนางออกจากเมืองโดยอ้างว่าเดินทางออกจากเมืองไปไหว้พระ แต่เจ้ากลับจะร่วมมือกับพวกนางมาเล่นละครตบตาที่นี่อีก? นี่สรุปแล้วเจ้าปล่อยให้แม่นางฮั่วตายไม่ได้จริงๆ หรือว่ามีแผนร้ายอื่นอีกกันแน่?”
ฮั่วกังกับฮูหยินฮั่วเสียชีวิตไล่เลี่ยกัน ฮั่วชิงเอ๋อร์ต้องเสียใจมากอย่างแน่นอน
วันนี้แห่ศพฮูหยินฮั่ว นางต้องแต่งตัวไว้ทุกข์ แค่จงใจดึงปีกหมวกลงต่ำปิดหน้าร้องไห้มาตลอดทาง อยากจะหลอกลวงทุกคนก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
เดิมทีฮั่วชิงเอ๋อร์กำลังดิ้น ทว่าพอได้ยินคำพูดของฉู่ฉีเหยียน นางก็เงยหน้ามองฉู่สวินหยางที่อยู่ตรงหน้าทันที
อย่างไรก็เป็นเพื่อนกันมาหลายปี ถึงแม้ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองตระกูลจะเลวร้ายถึงขั้นที่ไม่มีทางชดเชยได้ แต่สำหรับฉู่สวินหยางแล้ว…
ความรู้สึกในใจนางกลับซับซ้อนยิ่งนัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังมีฉู่ฉีเฟิงแทรกกลางอยู่เช่นนี้
ทว่าฉู่สวินหยางกลับไม่แม้แต่มองนาง และแค่มองฉู่ฉีเหยียนอย่างเย็นชาว่า “แม่นางฮั่วยังแล้วไป แต่ว่าแม่นางหลัวซืออวี่เป็นบุตรสาวของจวนหลัวกั๋วกง เจ้าลักพาตัวนางมาเช่นนี้ ไม่กลัวว่าเดี๋ยวจวนกั๋วกงสืบหาสาเหตุขึ้นมาจะอธิบายไม่ได้หรือ?”
“ใครอยากสืบก็เชิญตามสบาย!” แต่ฉู่ฉีเหยียนกลับเอ่ยเหมือนไม่ใส่ใจแม้แต่นิดเดียว “สรุปแล้วเจ้าอยากจะทำอะไรกันแน่? บอกข้ามาให้ชัดเจนเถอะ!”
ฉู่สวินหยางเม้มปาก นางก้มหน้าและเงยหน้าอีก แล้วถึงจะมองฮั่วชิงเอ๋อร์และเอ่ยอย่างจนใจว่า “ช่างเถอะ ถือว่าเจ้าพูดถูกแล้ว เพื่อแม่นางฮั่ว ชายาอ๋องหนานเหอหูตาไม่กว้างขวางและไม่รู้เบื้องหลัง แต่เจ้าก็น่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าเรื่องของฉู่หลิงอวิ้นทั้งหมดไม่เกี่ยวข้องกับคนของตระกูลฮั่ว ด้วยนิสัยของเจ้าแล้ว มันไม่คุ้มค่าที่จะทำให้ฮั่วชิงเอ๋อร์ลำบาก และยังต้องชดใช้นางด้วยชื่อเสียงของเจ้าเองอีก? ทำไมต้องเสียแรงเปล่าไปกับเรื่องเช่นนั้นด้วย?”
ฉู่ฉีเหยียนมองนาง แต่กลับไม่แสดงท่าทีอยู่นาน
ฉู่สวินหยางขมวดคิ้ว “เจ้าอยากให้ข้าเปิดโปงเรื่องทั้งหมดออกมาให้ชัดเจนจริงหรือ? หากเป็นเช่นนั้นแล้ว เจ้าคงเปลืองแรงเปล่า เพื่อผู้หญิงตัวเล็กๆ เพียงคนเดียวที่ไม่มีค่าพอจะเอ่ยถึง ทำไมเจ้าต้องทำเช่นนั้นด้วย? ฉู่ฉีเหยียน เจ้าเป็นคนฉลาดและเก่งกาจ คงไม่ต้องให้ข้าบอกเจ้าอย่างชัดเจนทุกอย่างใช่หรือไม่?”
ระหว่างที่พูดนั้นนางก็มองเฟิงเหลียนเซิ่งกับหลัวซืออวี่และคนอื่นๆ เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง
ฉู่ฉีเหยียนสมคบคิดกับฮั่วกังฆ่าหลัวอี้ เรื่องนี้เงียบหายไปนานแล้ว หากเปิดเผยออกมาจริงก็เกินกว่าที่เขาจะรับมือไหวเช่นกัน
“เจ้าขู่ข้า?” ฉู่ฉีเหยียนเอ่ยและจ้องหน้านางเขม็งอย่างจริงจัง
“ทีแรกข้าก็ไม่อยากยุ่งเรื่องนี้เหมือนกัน แต่สถานการณ์บังคับ และตอนนี้ข้าก็ไม่อยากยุ่งกับเจ้าอีกต่อไปแล้วด้วย แค่เจ้าพูดมาให้ชัดเพียงประโยคเดียว…สรุปแล้วเจ้าจะปล่อยตัวหรือไม่ปล่อย?” ฉู่สวินหยางเอ่ยพลางโบกมือ
หลี่หลินตกใจมากและรีบหันกลับไปมอง
ทันใดนั้นกลับเห็นเหล่านักธนูโผล่ออกมาจากด้านหลังเนินดินทั้งสองฝั่งทางเข้าหุบเขาที่พังทลายไปครึ่งหนึ่งเสียมากมายทั้งยังรวดเร็วว่องไว