สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 105.2 ตัวปลอมสวมรอย กลอุบายหุ่นเชิด (2)
ทีแรกฉู่อี้เจี่ยนก็ไม่ได้คิดจะสนใจ ทว่ายิ่งฟังต่อไปก็ยิ่งหน้าตาเคร่งเครียดจนขมวดคิ้วแน่นในท้ายที่สุด พายุหนาวยะเยือกพัดอยู่ในดวงตาอย่างเลือนราง
สายตาของเขาพลันเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบในทันใด เขาจับจ้องฉู่สวินหยางไม่วางตา เหมือนอยากจะมองลึกเข้าไปถึงในใจของนาง
แต่จ้องมองอย่างเงียบๆ นานมากแล้ว สุดท้ายก็ไม่เห็นเบาะแสแม้แต่นิดเดียว
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?” เดิมทีฉู่อี้เจี่ยนไม่ได้อยากถาม แต่เขาอดทนมานานแล้ว ในที่สุดก็ทนไม่ไหวจนต้องเอ่ยปาก
“ท่านอา มีเล่ห์เหลี่ยมเพียงแค่นี้จริงๆ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางเอ่ยปากถามเองหรอก”
ฉู่สวินหยางได้ยินแล้วก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
นางไม่สบตาฉู่อี้เจี่ยนแม้แต่น้อยและเอาแต่มองเส้นทางบนภูเขาที่ขรุขระข้างหน้า พลางเอ่ยอย่างเฉยชาอีกว่า “หลังจากกลับมาจากเมืองฉู่ พี่รองของข้าก็ให้คนไปตรวจสอบเบื้องหลังของท่านมาแล้ว!”
ฉู่อี้เจี่ยนได้ยินแล้วพลันตกใจจนหันหน้าไปมองนางอีกครั้งทันที
ริมฝีปากของเขาขยับ สายตาเหมือนจะฉายแววยุ่งยากใจ แต่เขาลังเลจนไม่ได้พูดออกมา
ครั้งนี้ฉู่สวินหยางกลับเป็นฝ่ายมองเขาเอง นางตีหน้านิ่งและเอ่ยชัดเจนทุกคำว่า “ข้ารู้เรื่องทั้งหมดแล้ว”
“เหอะ…” ฉู่อี้เจี่ยนหัวเราะออกมาเพียงนิดเดียวเหมือนฟังเรื่องตลก ทว่าสีหน้าของเขากลับเหมือนมีน้ำแข็งที่ยังไงก็ไม่ละลายเกาะอยู่บนหน้าชั้นหนึ่ง
ฉู่สวินหยางมองเขา แล้วเอ่ยต่อไปอีกว่า “สองคนนั้นที่ข้าส่งกลับมาให้ท่านจากเมืองฉู่ล้วนไม่ใช่ฉู่ซิ่น พวกเขาต่างเป็นตัวแทนและหุ่นเชิดที่ท่านใช้ตบตาคนอื่น สิบปีก่อนฉู่ซิ่นเคยติดโรคระบาดร้ายแรงตามฤดูกาลครั้งหนึ่งจนเกือบตาย ถึงขั้นไม่ได้เข้าวังมาเข้าเฝ้าสองปีเต็มๆ หากเบาะแสที่พี่รองของข้าได้มาไม่ผิดพลาดล่ะก็ ความจริงแล้วตั้งแต่ตอนที่รุ่ยชินอ๋องเข้ามาอยู่ในสายตาของทุกคนอีกครั้งในสองปีให้หลังนั้นก็ไม่ใช่ตัวเขาเองแล้ว ต้องยอมรับว่าตัวแทนสองคนที่ท่านหามานั้นต่างหน้าตาเหมือนเขามาก และยังใช้ประโยชน์จากสองปีที่เขาอยู่ห่างไกลราชสำนัก เลียนแบบท่าทางและนิสัยทั้งหมดของเขาจนสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ ไม่มีพิรุธแม้แต่นิดเดียว พูดถึงเรื่องนี้ถึงแม้จะเหลือเชื่อ แต่ขอเพียงท่านมีความตั้งใจจริง อันที่จริงก็ทำได้ไม่ยากเช่นกัน”
“เจ้าเห็นพิรุธได้อย่างไร?” ฉู่อี้เจี่ยนถาม
ในเมื่อฉู่สวินหยางกล้าพูด นั่นก็แสดงว่านางมีหลักฐานแน่นหนาแล้วจริงๆ
และเวลานี้มาถึงขั้นนี้แล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรอีกเหมือนกัน
“ตอนนั้นฉู่ซิ่นป่วยเป็นโรคร้ายแรง ภายนอกถือว่าผ่านหายนะครั้งใหญ่และความเป็นความตายไปแล้วครั้งหนึ่ง เวลาสองปีนั้นถึงตัวแทนที่ท่านหามาจะคล้ายเขาแค่แปดส่วน ก็สามารถอ้างมั่วๆ ไปว่าเขาป่วยหนักได้ อย่างไรก็ไม่มีใครคาดคิดว่าท่านจะกล้าใช้ตัวปลอมสวมรอย แอบสับเปลี่ยนตัวชินอ๋องที่เป็นขุนนางระดับสูงในรัชสมัยปัจจุบัน” ฉู่สวินหยางอธิบายอย่างละเอียดและคล่องปาก โดยไม่สนใจจิตสังหารที่เขาแผ่ออกมาทั่วร่าง “ภูมิหลังของตัวแทนสองคนนั้นของท่านก็ถูกท่านลบทิ้งไปหมดตั้งนานแล้ว ข้าก็สืบหาชื่อแซ่ของพวกเขาไม่ได้แล้วเช่นกัน แต่ต่อให้ท่านฝึกฝนพวกเขาอีกแค่ไหน สุดท้ายของปลอมก็ยังเป็นของปลอม สันดานของคนๆ หนึ่งไม่ได้เปลี่ยนกันง่ายๆ ด้วยการอบรมสั่งสอนตลอดหลายปีนี้ อย่างเช่นตอนที่ลุ่ยชินอ๋องตกอยู่ในกำมือข้าที่เมืองฉู่ ก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าเขาจะลืมตัวด่าเสียงดัง ทั้งที่ตัวรุ่ยชินอ๋องเองมาจากตระกูลผู้มีความรู้และได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดี ต่อมายังช่วยฝ่าบาทใช้กำลังยึดอำนาจและกรีธาทัพออกรบมาตลอดชีวิต สงครามไหนไม่เคยเจอ? เขารั้งตำแหน่งระดับสูงมานาน บางเรื่องเขาก็รู้ดีมาก ในเมื่อรู้ว่าหมดหนทางและทุกสิ่งทุกอย่างแก้ไขไม่ได้แล้ว จะทำลายฐานะของตนเองอีกงั้นหรือ แถมยังระเบิดโทสะและพูดจาข่มขู่ทิ้งท้ายต่อหน้าข้ากับท่านพี่อีก?”
เพราะแบบนี้ ฉู่สวินหยางกับฉู่ฉีเฟิงจึงเริ่มสงสัยตัวตนของฉู่ซิ่นตอนอยู่ที่เมืองฉู่
ฉู่อี้เจี่ยนแค่ฟังพลางเม้มมุมปากแน่น และไม่ออกความเห็น
ฉู่สวินหยางไม่สนใจเขาเช่นกัน ถึงอย่างไรระหว่างทางก็น่าเบื่อ นางจึงถือโอกาสพูดแต่ละอย่างที่ตนเองรู้ออกไปให้หมดเสียเลยและให้เขาได้คิดทบทวน “เรื่องการสร้างหลักฐานอย่างละเอียดรอบคอบ ไม่มีใครเทียบท่านอาได้ ต่อมาหลังจากกลับมาเมืองหลวงแล้วท่านพี่แอบให้คนไปสืบความลับในจวนอ๋องรุ่ยชินของท่าน หลายปีมานี้จวนอ๋องรุ่ยชินจะแต่งอนุภรรยาเข้าจวนบ้าง เพื่อเล่นละครตบตากับหุ่นเชิดที่อยู่ในเมืองหลวงจริงๆ จะได้ไม่มีพิรุธ เพราะหากอยู่ดีๆ ฉู่ซิ่นไม่ลุ่มหลงในความงามของอิสตรีแล้ว คนรับใช้ในจวนก็จะซุบซิบนินทากันง่ายมากและทำให้คนสงสัย แต่ผลที่ท่านพี่แอบสืบมากลับเป็น…แปดปีมานี้คนที่ฉู่ซิ่นรักและไว้ใจล้วนเป็นอนุภรรยาที่แต่งเข้ามาทีหลัง และเมินอนุภรรยาสองคนก่อนของเขา ถึงแม้ทางรุ่ยหวางเฟยจะมีช่วงเวลาที่ทั้งสองคนนอนห้องเดียวกัน แต่จำนวนครั้งก็น่าสนใจมาก ดังนั้นพวกเราจะคิดว่าความจริงแล้วรุ่ยหวางเฟยก็รู้เรื่องนี้เช่นกันได้หรือไม่ ทั้งสองคนอยู่ห้องเดียวกันแต่ไม่นอนเตียงเดียวกัน ก็แค่เพื่อตบตาคนอื่นและปิดบังความจริง?”
ฉู่อี้เจี่ยนได้ยินแล้วก็เหมือนจะกระอักกระอ่วนขึ้นมาทีละน้อย
เขาคุมตัวแทนสองคนนั้นอย่างเข้มงวดมาก ทุ่มเททำจนทุกอย่างไร้ช่องโหว่ และถึงขั้นสั่งหุ่นเชิดที่อยู่ในเมืองหลวงให้รับอนุภรรยา เพื่อไม่ให้ใครสังเกตเห็นความผิดปกติในจวนอ๋อง
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าเขาคิดอย่างถี่ถ้วนมากแล้วก็ยังสะเพร่าไปจุดหนึ่ง จนฉู่ฉีเฟิงมองเห็นเบาะแสจากจุดนี้
ตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องปฏิเสธแล้ว จึงแค่ส่งเสียงเย็นชาออกไปและหันไปทางอื่น
ทว่าฉู่สวินหยางกลับรู้สึกสนุกขึ้นมา นางยังคงเอ่ยต่อไปว่า “ดังนั้นข้าถึงได้เดาว่าทั้งจวนอ๋องรุ่ยชินตกอยู่ในกำมือของท่านนานแล้ว แต่อันที่จริงก็ยังมีอีกสาเหตุ!”
“หือ?” ฉู่อี้เจี่ยนขานรับตามปกติ
“นั่นก็คือฉู่ซินรุ่ย!” ฉู่สวินหยางเอ่ย “เรื่องที่นางทำเท่ากับฝากชีวิตของตนเองและครอบครัวไว้ในมือท่านหมดแล้ว ลองถามว่าหากฉู่ซิ่นยังเป็นคนดูแลจวนอ๋องรุ่ยชิน ทำไมนางจะต้องทำเช่นนั้นด้วย? ท่านเคียดแค้นชิงชังฉู่เป้ยก็เพราะการตายของแม่ท่านกับเรื่องที่ทั้งตระกูลฉู่ถูกฆ่าในตอนนั้น แต่ฉู่ซินรุ่ยไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ใช่หรือไม่? ทว่านางกลับเหมือนเคียดแค้นและชิงชังศัตรูคนเดียวกับท่าน ถึงขั้นไม่เสียดายที่จะใช้ชีวิตของตนเองและครอบครัวทั้งหมดไปกับการวางแผนร้ายทำเรื่องนี้ด้วยกันกับท่าน ทั้งที่ในใจของนางเองก็รู้ดีมากว่าหากเรื่องนี้ล้มเหลว นางก็จะตกที่นั่งลำบากมากตามท่านไปด้วยและตายอย่างอนาถไม่มีที่ฝัง ถ้าไม่เพราะจำเป็นจริงๆ นางจะโง่ขนาดนั้นหรือ?”
ฉู่ซินรุ่ยก็ถือว่าเป็นผู้หญิงที่เจ้าเล่ห์เช่นกัน นางรู้เรื่องผลประโยชน์ทั้งหมดเป็นอย่างดี
ผู้หญิงเพียงคนเดียวอย่างนางจะอยากได้สิทธิมากแค่ไหนกัน ถึงต้องไปช่วยท่านพี่วางแผนเรื่องสำคัญอย่างการถล่มใต้หล้านี้ให้ได้?
สิบปีก่อนฉู่ซินรุ่ยเพิ่งจะอายุเท่าไร? เด็กผู้หญิงอายุหกเจ็ดขวบ คนที่นางพึ่งพาได้ก็มีแค่พ่อและพี่ชายของนางเท่านั้น
นางจะร่วมมือกับฉู่อี้เจี่ยนทำภารกิจให้สำเร็จ โดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เพราะมีจุดยืนร่วมกันตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
และด้วยท่าทีที่ฉู่ซินรุ่ยมีต่อฉู่อี้เจี่ยนก็สามารถยืนยันได้อีกขั้นว่า…
คนสองคนที่นางจับได้ก่อนหน้านี้ที่เมืองฉู่ล้วนไม่ใช่ฉู่ซิ่น
ช่วงนี้ทั้งจวนอ๋องรุ่ยชินเงียบสงบและปลอดภัย ไม่เกิดความโกลาหลเพราะเจ้าของบ้านเสียชีวิตแม้แต่นิดเดียว ด้วยเหตุนี้เพียงได้รู้เรื่องมาเล็กน้อยก็สามารถคาดเดาเรื่องทั้งหมดได้
“เจ้าฉลาดมาก เรื่องอะไรก็สืบมาได้หมดทุกซอกทุกมุม” ฉู่อี้เจี่ยนฟังนางพูดจบแล้วก็หมดความสงสัยในที่สุด
หลายปีนี้เขาทำแต่เรื่องที่ไม่อาจบอกใครได้ เขาวางแผนลับหลังและทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างเต็มที่
ตั้งแต่ขาทั้งสองข้างใช้การไม่ได้ เขาก็ถูกมองว่าเป็นคนพิการแล้ว
ถึงแม้จะเป็นอุปสรรคต่อฐานะของเขา แต่ภายนอกก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร ทว่าลับหลังกลับถูกคนเยาะเย้ยและนินทา
ไม่มีใครรู้ว่าเขาก็มีความรู้กว้างขวางและความจำดีเช่นกัน แต่เขารู้ดีอยู่แก่ใจ
เขาแอบวางแผนร้ายใหญ่ขนาดนี้ เพื่อรักษาความร่ำรวยและอำนาจของทั้งจวนอ๋องรุ่ยชินให้คงอยู่ ดังนั้นก็พอจะเห็นได้ว่าเขามีความอดทนแค่ไหน
แต่อย่างไรเรื่องพวกนี้ต่างก็เป็นเรื่องที่แพร่งพรายออกไปไม่ได้
จนกระทั่งวันนี้ความลับที่เก็บซ่อนไว้ก็ถูกฉู่สวินหยางเอ่ยออกมาทีละอย่าง
ฉู่อี้เจี่ยนโกรธก็โกรธ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกสบายใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน…
ในที่สุดก็มีคนรับรู้ว่าเขามีตัวตนแล้ว ในที่สุดก็มีคนยอมรับสิ่งที่เขาทำมาตลอดแล้ว
เหมือนนักเดินทางที่เดินอยู่ในความมืดมาครึ่งชีวิตแล้วมองเห็นพระอาทิตย์โผล่ขึ้นมาอย่างกะทันหัน ความรู้สึกแบบนั้น…
ความจริงแล้วก็ไม่เลวนัก
สีหน้าของฉู่อี้เจี่ยนที่เคร่งขรึมและเย็นชาก่อนหน้านี้กลับเปลี่ยนเป็นสีหน้าสบายใจและดีใจเล็กน้อย
————————————————–