สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 107.2 ไร้ลูกหลานสืบสกุล (2)
ฉู่สวินหยางเดินเข้าไปพยุงไหล่นางและกดนางให้นั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง ถึงอมยิ้มเอ่ยว่า “ท่านอาหญิง อย่ารีบไป ข้าไม่ได้ต้องการสิ่งอื่นใด แต่เพราะก่อนหน้านี้ท่านอาอยู่จึงไม่สะดวก เวลานี้ฉวยโอกาสที่เขาไม่อยู่พอดี ข้าก็จะได้พูดเรื่องส่วนตัวกับท่านสักหน่อย!”
“เรื่องส่วนตัว?” ฉู่ซินรุ่ยหัวเราะเยาะเหมือนได้ยินเรื่องตลก แล้วหันหน้าหนีไปด้านข้าง
“ใช่แล้ว!” ฉู่สวินหยางกลับไม่ถือสาท่าทางของนางแม้แต่น้อย และหันไปมองแสงแดดงดงามด้านนอก พูดต่อว่า “ตอนนั้นท่านมาหาข้าอย่างโมโหเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนั้น ข้าคาดว่าท่านต้องรู้แผนการของท่าอาแล้วแน่ เช่นนั้นตอนนี้ล่ะ? ท่านคิดว่าอย่างไรอีก? หรือว่า…ท่านคิดจะทำอะไรอีก?”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” ฉู่ซินรุ่ยเอ่ย สีหน้าไม่พอใจอย่างชัดเจน พลางยกมือจะผลักนางออก
หลังจากฉู่สวินหยางกดนางให้นั่งลงไปแล้วก็ยังคงโน้มตัวไปข้างหน้าเช่นเดิม สองมือกดอยู่บนไหล่นาง
แน่นอนว่าฉู่ซินรุ่ยสู้แรงนางไม่ได้ ดังนั้นผลักไปก็ไร้ผล จึงพาลโกรธทันที
ทว่าฉู่สวินหยางกลับไม่สนใจนาง และแค่ก้มลงสบตานาง ริมฝีปากแดงอ้าเล็กน้อยและค่อยๆ เอ่ยอย่างชัดเจนว่า “เดิมทีท่านอาเดินทางมาครั้งนี้ก็คิดว่าต้องตายอยู่แล้ว หลายปีนี้ความแค้นในอดีตพวกนั้นค่อยๆ ทำให้เขาสูญเสียสติไปตามกาลเวลา และไม่คิดจะกลับตัวกลับใจอีกแล้ว แต่เวลานี้เขากลับเตรียมทางหนีทีไล่ไว้ให้พวกท่านแม่ลูกเรียบร้อย และเข้าวังไปจบเรื่องนี้เพียงคนเดียว หากท่านไปเช่นนี้แล้ว วันหน้าอาจจะรู้สึกไม่สบายใจ?”
หลังจากฉู่อี้เจี่ยนไปแล้วฉู่ซินรุ่ยก็คอยปลอบใจตนเองตลอด บอกตนเองว่าเขาวางแผนมาหลายปีจะต้องทำได้สำเร็จแน่นอน
และตอนนี้ที่นางต้องไปจากจวน ก็แค่หลบไปชั่วคราวเท่านั้น
ทว่าจำเป็นต้องยอมรับว่า…
ลึกๆ แล้วใจจริงนางกลับคิดไปทางที่ฉู่สวินหยางพูดมากกว่า บางที…
ฉู่อี้เจี่ยนไปครั้งนี้อาจจะเป็นการจากกันตลอดไปจริงๆ และกลับมาไม่ได้อีกแล้ว
“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกันแน่?” ฉู่ซินรุ่ยเอ่ย แล้วดึงมือฉู่สวินหยางอย่างไม่พอใจอีก
แต่ครั้งนี้ฉู่สวินหยางปล่อยมือไม่แข่งกำลังกับนาง แล้วถอยห่างไปด้านหลัง
“ข้าแค่กังวลว่าต่อไปท่านจะเสียดายที่ตอนนี้ทำเช่นนี้ลงไป ข้าจึงตั้งใจเรียกท่านมาเตือนโดยเฉพาะ” ฉู่สวินหยางเอ่ย “เวลานี้ท่านหลอกตนเองให้ทอดทิ้งไม่สนใจเขาได้ แต่ในขณะเดียวกันทุกย่างก้าวของเขากลับวางแผนให้ท่านไว้หมดอย่างรอบคอบที่สุด ท่านคิดว่าวันนี้เขาจะทำเช่นนั้นไปทำไม ทั้งที่รู้ดีว่ามีองครักษ์ลับแอบสะกดรอยตามอยู่ข้างหลังก็ยังออกจากเมืองไปจับตัวข้ากับฉู่ฉีเหยียนกลับมาอย่างโจ่งแจ้ง? เพื่อจะกวาดล้างคนในตระกูลฉู่ทั้งหมดให้เกลี้ยงหรือ?”
ฉู่ซินรุ่ยได้ยินแล้วท่าทางสับสนงุนงง
แต่วันนี้ฉู่อี้เจี่ยนก็ท่าทางผิดปกติไปหมดจริงๆ ถึงแม้นางจะเตือนตนเองในใจครั้งแล้วครั้งเล่าว่าอย่าฟังคำพูดเหลวไหลมั่วซั่วที่ไม่มีมูลความจริงของผู้หญิงอย่างฉู่สวินหยาง ทว่าใต้เท้ากลับเหมือนหยั่งรากลึกแล้ว จึงแค่นั่งนิ่งเงียบและมองนางอย่างเย็นชา
“ไม่ใช่งั้นหรือ?” ฉู่ซินรุ่ยลองหยั่งเชิงถามด้วยน้ำเสียงเหมือนระมัดระวังเป็นอย่างมาก
“ไม่ใช่แน่นอน!” ฉู่สวินหยางส่ายหน้า นางเอ่ยเสียงเด็ดขาด “เขากำลังปูทางให้ท่าน!”
“ปูทางให้ข้า?” ฉู่ซินรุ่ยเผลอพูดซ้ำอย่างเหม่อลอย
“หากเขาเพียงเพื่อกวาดล้างสายเลือดของราชวงศ์ให้สิ้นซาก ก็น่าจะลงมือฆ่าข้าไปพร้อมกับฉู่ฉีเหยียนด้วยมือของตนเองตั้งแต่ตอนที่อยู่นอกเมืองแล้ว ต่อไปจะได้ไม่ยุ่งยาก” ฉู่สวินหยางเอ่ย “แต่เขาไม่ทำ และกลับเสี่ยงพาพวกเรากลับมาในเมืองอีก เขาทำเช่นนี้ไม่ได้ต้องการสิ่งใด นอกจากยุให้ฉู่ฉีเหยียนลงมือ วันนี้ท่านไม่ได้ออกไปข้างนอกทั้งวัน ท่านอาจจะไม่รู้ว่าระหว่างทางที่ท่านอาคุมตัวข้ากับฉู่ฉีเหยียนกลับเมืองหลวงนั้น คนของฉู่ฉีเหยียนเตรียมแฝงตัวเข้ามาจับตัวท่านในจวนอ๋องรุ่ยชินของท่านแล้ว จะได้ใช้ท่านบีบบังคับให้เขายอมจำนน!”
ฉู่ซินรุ่ยเพิ่งได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ทว่าก็แค่มองนางอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
ฉู่สวินหยางยิ้มตามไปด้วยและยักไหล่ว่า “ท่านไม่จำเป็นต้องมองข้าด้วยสายตาสงสัยเช่นนั้น เพราะข้าไม่มีความจำเป็นต้องหลอกท่าน และที่ตอนนี้ท่านนั่งอยู่ที่นี่อย่างปลอดภัยไร้กังวล ไม่ใช่เพราะข้ากำลังพูดจามั่วซั่วหลอกลวงท่านโดยไม่คำนึงถึงความจริง แต่ก่อนที่คนของฉู่ฉีเหยียนจะทันลงมือ ข้าให้คนสกัดความเคลื่อนไหวของเขาไว้แล้ว”
ฉู่ซินรุ่ยที่คิดว่าตนเองเป็นคนมีไหวพริบคนหนึ่ง ก็ยังค้นพบเป็นครั้งแรกว่า…
ถึงแม้ตนเองจะพยายามคิดทุกวิถีทางแล้วก็ยังมีบางคำที่ฟังไม่เข้าใจอยู่ดี
ฉู่สวินหยางเห็นสีหน้าทั้งระแวดระวังและสับสนของนางก็แค่รู้สึกสนุก พลางเอ่ยเตือนและชี้แนะอย่างอารมณ์ดีว่า “ถึงฝ่าบาทหมดสติ แต่ในวังก็มีท่านพ่อกับพี่ชายของข้ารักษาการณ์ด้วยตนเอง ท่านคิดว่าท่านอาที่คิดว่าตนเองต้องตายแน่แล้วจะทำได้สำเร็จแน่นอนจริงหรือ? หากเขาทำไม่สำเร็จ เช่นนั้นท่านที่ถือว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของเขาจะมีจุดจบแบบไหน? เรื่องนี้คงไม่จำเป็นต้องให้ข้าบอกอะไรมากนักใช่หรือไม่? แต่หากพวกเราลองมองจากอีกมุมหนึ่ง ถ้าหากท่านถูกคนของฉู่ฉีเหยียนลักพาตัวไป และถูกพาไปยังสถานที่ที่ผู้คนมากมายรวมตัวกัน ใช้ท่านข่มขู่และบีบบังคับให้ท่านอาหมดหนทางต่อต้านและยอมโดนจับ ถึงเวลานั้นสถานการณ์จะเป็นแบบไหนกัน?”
ในสมองของฉู่ซินรุ่ยสับสนวุ่นวาย นางพยายามฝืนตนเองตั้งสติคิดทบทวนอย่างถี่ถ้วน
ทว่าตอนนี้ฉู่สวินหยางกลับไม่มีเวลากับนางอีกต่อไป จึงเอ่ยต่ออีกว่า “ถึงตอนนั้นท่านอาต้องไม่ยอมจำนนแน่นอน ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่กำลังจ้องมอง หากเขาพูดจาข่มขู่ส่งเดชเพียงไม่กี่ประโยค…”
ฉู่สวินหยางพูดแตะประเด็นเพียงเล็กน้อย แต่ก็ทำให้อีกฝ่ายเข้าใจเจตนาของตนเอง นางเอ่ยพลางยิ้มอย่างลุ่มลึกมากขึ้น
ฉู่ซินรุ่ยฟังถึงตรงนี้ ในสมองก็วูบไปชั่วครู่เหมือนโดนฟ้าผ่า
นั่นสิ! หากตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น เพียงแค่ฉู่อี้เจี่ยนพูดจาหยาบคายใส่คนอื่นอย่างเด็ดขาดแล้ว…
ถึงเวลานั้นนางแสร้งทำเป็นโต้เถียงอย่างไม่รู้เรื่องอะไรเลยอีกไม่กี่ประโยค เช่นนั้น…
จุดยืนของนางก็จะเปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์ตามไปด้วยเช่นกัน
ถึงแม้ในใจของฮ่องเต้จะไม่เชื่อ ทว่าตอนที่เผชิญกับอันตราย และยังอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายเช่นนั้น…
สุดท้ายฉู่อี้เจี่ยนทำได้สำเร็จ แน่นอนว่าฉู่ซินรุ่ยก็กลายเป็นปลอดภัยไปด้วย
แต่หากฉู่อี้เจี่ยนโชคไม่ดีล้มเหลว ถึงเวลานั้นฉู่ซินรุ่ยก็สามารถขีดเส้นแบ่งกับเขาได้อย่างชัดเจนเช่นกัน ไม่ว่าฮ่องเต้ตายหรือไม่ แค่พุ่งเป้าไปที่ท่าทีแตกหักกันของนางกับพี่ชายต่อหน้าทุกคน ต่อไปราชสำนักก็จำเป็นต้องเลี้ยงดูนาง และนางก็ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบเรื่องนี้เหมือนฉู่อี้เจี่ยน
งานที่ฉู่อี้เจี่ยนวางแผนอย่างตั้งใจมากนี้ ไม่ว่าในมุมมองของใครต่างก็ประทับใจจนออกนอกหน้า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฉู่ซินรุ่ยที่เป็นน้องสาวแท้ๆ ที่พึ่งพาอาศัยกันมาหลายปีกับเขา
หากเป็นก่อนหน้านี้ฉู่ซินรุ่ยยังสามารถฝืนปลอบใจตนเองได้ด้วยการพูดออกไปว่าฉู่อี้เจี่ยนต้องทำได้สำเร็จแน่นอน นางแค่ต้องรอข่าวอย่างสงบก็พอ ทว่าเวลานี้…
งานที่อีกฝ่ายวางแผนอย่างตั้งใจมากเช่นนั้น นางกลับใจเย็นและเฝ้าดูอยู่เฉยๆ ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
สีหน้าของฉู่ซินรุ่ยเดี๋ยวดำเดี๋ยวขาว นิ้วมือจับที่วางแขนของเก้าอี้ไว้แน่น สีหน้านางสับสนอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดีอยู่นานมาก
ฉู่สวินหยางก็ไม่รบกวนนางอีกเช่นกัน เพียงแค่คอยมองอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ
ฉู่ซินรุ่ยยังคงเหม่อลอยอยู่เนิ่นนานเช่นเดิม สุดท้ายนางก็ค่อยๆ ใจเย็นลงได้
นางค่อยๆ หันหน้ามาทีละนิด พลางสบตาฉู่สวินหยางและกัดฟันเอ่ยว่า “ทำไมเจ้าต้องมาพูดเรื่องพวกนี้กับข้าด้วย?”
ฉู่สวินหยางยิ้ม…
ฉู่ซินรุ่ยเป็นคนฉลาดที่หาตัวจับได้ยากคนหนึ่ง คำตอบของบางคำถามไม่จำเป็นต้องให้นางไปบอกให้รู้ด้วยตนเอง
ฉู่ซินรุ่ยแค่รู้สึกขัดตารอยยิ้มบนหน้านาง ทันใดนั้นก็กวาดชุดน้ำชาที่อยู่ใกล้มือร่วงหล่นลงพื้นในทีเดียวทันที