สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 107.3 ไร้ลูกหลานสืบสกุล (3)
นางลุกขึ้นยืนข้างโต๊ะด้วยสีหน้าเย็นชา สีหน้านางกลับคืนเป็นท่าทางสูงส่งเช่นปกติของนางแล้ว เพียงแต่ความโกรธแค้นและความมืดเหลือคณานับที่ลุกไหม้อยู่ในดวงตา ทำให้หญิงสูงศักดิ์ที่ผู้คนต่างชื่นชมท่าทางนั้นมาตลอดยิ่งดูเหมือนคนบ้าที่ลุ่มหลงอะไรบางอย่างจนเสียสติไปแล้ว
“แต่งเรื่องออกมาจนน้ำเสียงและการแสดงความรู้สึกจับใจคนได้มากขนาดนี้ เจ้าก็แค่อยากจะยุข้า อยากจะบีบให้ข้าไปหาพี่ห้า อยากจะบีบให้ข้าเข้าไปติดกับเอง แล้วก็ติดอยู่ในกับดักของเจ้าพร้อมกับพี่ห้า!” มุมปากของฉู่ซินรุ่ยยกโค้ง ทว่าในรอยยิ้มนั้นกลับเย็นเยียบและความโกรธยิ่งแฝงอยู่ในอารมณ์มากขึ้น “สวินหยาง เจ้าคิดว่าข้าหลอกง่ายขนาดนั้นจริงๆ หรือ? จะแข่งสติปัญญาและเล่นตุกติกกับข้าเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง เจ้ายังฝีมือไม่ถึง!”
“นั่นสิ ข้ายอมรับว่าข้ามีเจตนาไม่ดี ส่วนสุดท้ายจะเชื่อหรือไม่ ทั้งหมดนั้นก็ขึ้นอยู่กับเจ้าเองแล้ว” ฉู่สวินหยางอมยิ้มมองนางอย่างเฉยชาตลอด
เวลานี้ฉู่ซินรุ่ยรู้สึกเกลียดชังนางอย่างที่สุดจริงๆ เป็นครั้งแรก
เมื่อก่อนนางจะรู้สึกไม่สบายใจเวลาที่เห็นฉู่สวินหยางอยู่ด้วยกันกับเหยียนหลิงจวิน จวบจนถึงครั้งนี้ความรู้สึกแบบนั้นเพิ่งจะเริ่มขยายไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ผู้หญิงคนนี้ก็ถือว่าร้ายกาจยิ่งนัก
นึกไม่ถึงว่ามาถึงขั้นนี้แล้วยังจะซ้ำเติมกันและบีบให้นางไปรนหาที่ตายเอง
ความรู้สึกโกรธแค้นอย่างเข้มข้นและรุนแรงลุกไหม้ในดวงตาของฉู่ซินรุ่ย และจ้องฉู่สวินหยางอย่างไม่ละสายตา เหมือนอยากจะใช้ความโกรธแค้นอย่างที่สุดนี้เผานางให้กลายเป็นขี้เถ้าโดยสมบูรณ์
แต่ฉู่สวินหยางกลับไม่สะทกสะท้าน และไม่สนใจแม้แต่นิดเดียว
ฉู่ซินรุ่ยสบตากับนางเนิ่นนาน สุดท้ายก็ส่งเสียงเย็นชาออกมาอย่างช่วยไม่ได้ แล้วหันตัวพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
“คอยดูนางไว้ โยกย้ายองครักษ์ในเรือนด้านหลังทั้งหมดมาที่นี่ให้หมด ล้อมปิดตายเรือนนี้ซะ หากไม่ได้ข่าวจากข้ากับพี่ห้าก่อนฟ้ามืด…” ฉู่ซินรุ่ยเอ่ย นางเดินไปพลางสั่งไปพลาง “ก็ฆ่านางซะ!”
นางเดินเร็วมาก จนเสื้อผ้าท่อนล่างเลิกขึ้นทางด้านหลังและลอยสูงมาก
สองสาวใช้วิ่งเหยาะๆ ตามไปตลอดทาง แม้แต่เฉินซื่อก็เกือบจะตามฝีเท้านางไม่ทัน
“ท่านหญิง!” เฉินซื่อส่งสัญญาณมือสั่งให้พวกองครักษ์ที่อยู่ในลานบ้านไปจัดการตามที่สั่ง พลางเดินตามฝีเท้าของฉู่ซินรุ่ย
“ไปเตรียมรถ!” ฉู่ซินรุ่ยสั่งโดยไม่รอให้เขาถาม
“ท่านหญิงจะเข้าวังหรือขอรับ?” เฉินซื่อดีใจก่อนแล้วก็ตกใจแทบจะทันที
แต่สาวใช้สองคนของฉู่ซินรุ่ยกลับร้อนใจ และรีบร้องอย่างตกใจว่า “ท่านหญิง คิดทบทวนก่อนเจ้าค่ะ!”
พูดไปสองคนก็แยกกันดึงแขนเสื้อนางซ้ายขวาคนละข้างแล้วคุกเข่าลงไป
ฉู่ซินรุ่ยถูกขัดขวางทางที่จะไปจึงหยุดฝีเท้า ทว่านางกลับหัวเราะอย่างน่ากลัว แล้วก้มลงเหลือบมองทั้งสองคน พลางย้อนถามว่า “คิดทบทวนอะไร? เวลานี้ยังมีทางเหลือให้ข้าเลือกอีกหรือ?”
พูดจบก็ไม่สนใจที่สาวใช้ทั้งสองคนขอร้องอีก และแค่เอ่ยกับเฉินซื่อว่า “มัวอึ้งอยู่ทำไม? ยังไม่รีบไปอีก?”
เฉินซื่อมองใบหน้านางที่จริงจังมากอย่างเห็นได้ชัด แต่อย่างไรก็ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าเหยเก ความรู้สึกมากมายกลับปะปนอยู่ในใจไปชั่วขณะ…
“ขอรับ!” เข้าใจเจตนาของฉู่ซินรุ่ยแล้ว เฉินซื่อก็อุ่นใจ เขาคุกเข่าข้างเดียวลงกับพื้นและคำนับนางอย่างยิ่งใหญ่ว่า “ข้าขอบคุณท่านหญิงที่เห็นใจแทนองค์ชายขอรับ!”
ถึงจะพ่อเดียวกันแต่คนละแม่ ทว่าดูจากแค่นี้กลับไม่เสียแรงที่องค์ชายรักและเอ็นดูท่านหญิงแล้ว
ฉู่ซินรุ่ยมองสีหน้าซาบซึ้งใจอย่างมากของเขา แต่กลับเอาแต่ฝืนยิ้มอยู่ในใจครั้งแล้วครั้งเล่า…
ไม่ใช่ว่านางมีเมตตาแค่ไหน ทว่าหากฉู่อี้เจี่ยนเกิดเรื่อง ต่อให้นางพยายามรักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่มีประวัติความผิดครั้งนี้แล้ว ต่อไปนางก็จะกลายเป็นแกะดำในวงชนชั้นสูง
แทนที่จะกลัวจนตัวสั่นและร้องขอชีวิตอยู่ใต้สายตาที่มองมาอย่างดูถูกของคนอื่นแบบนั้น สู้ทุ่มเดิมพันหมดหน้าตักกับการเสี่ยงเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ ดีกว่า ไปช่วยฉู่อี้เจี่ยนสักครั้ง…
ถึงแม้ชีวิตจะบีบบังคับให้ต้องเร่ร่อนไปทุกหนทุกแห่งก็ตาม อย่างน้อยที่สุด…
ความผูกพันของพี่ชายกับน้องสาวที่ฉู่อี้เจี่ยนมีต่อนางก็เป็นของจริง มีเขาอยู่ข้างกาย นางก็จะใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจหน่อย
เฉินซื่อคำนับแล้วก็ลุกขึ้นรีบไปเรือนด้านหน้า
ฉู่ซินรุ่ยกลับห้องของตนเองแล้วก็เปลี่ยนกลับไปแต่งตัวตามปกติของนางอีกครั้ง พอแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็พาสองสาวใช้เดินไปเรือนด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
เวลานี้เฉินซื่อพาคนไปเตรียมรถม้าไว้เรียบร้อยแล้ว
“ท่านหญิง จะไปเดี๋ยวนี้เลยหรือขอรับ?” เฉินซื่อเอ่ยถาม
“เวลาไม่คอยท่า ก็ไปเถอะ!” ฉู่ซินรุ่ยเอ่ย นางถกกระโปรงขึ้นแล้วเหยียบที่รองเท้าขึ้นรถ แต่ในสมองกลับคิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน นางนึกถึงอะไรบางอย่างและเลิกคิ้วส่งสายตาให้เฉินซื่อว่า “เจ้าไปเรือนหลัก ให้คนพาตัวท่านพ่อมา!”
เฉินซื่อคาดไม่ถึง จึงได้ยินแล้วอึ้งไปก่อน แต่หลังจากเห็นฉู่ซินรุ่ยยิ้มเยาะก็เข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายทันที เขารีบขานรับและไปจัดการอย่างแทบจะปิดความดีใจในใจไว้ไม่มิด
เขาลงมือเร็วมาก ผ่านไปชั่วครู่ก็แบก ‘รุ่ยชินอ๋อง’ ที่ไม่รู้สึกตัวและกำลังหมดสติมาต่อหน้าคนรับใช้ และวางไว้ในรถอย่างระมัดระวัง
แล้วฉู่ซินรุ่ยก็ตามขึ้นรถไป
ประตูใหญ่ของจวนอ๋องรุ่ยชินเปิดกว้างอย่างกะทันหัน และภาพที่ออกมาก็ไม่ใช่เล็กๆ องครักษ์ทั้งกลุ่มคุ้มกันรถม้าของเจ้านายในจวนออกเดินทาง
เหล่าองครักษ์ลับที่แอบอยู่ในที่มืดก็ตื่นตัวขึ้นมาทันที
“นี่พวกเขาจะทำอะไร?”
“รถม้าคันนี้น่าจะเป็นของท่านหญิงฉางหนิง”
“ทำอย่างไรดี? ขวางไว้หรือไม่?”
“เอ่อ…”
เพราะไม่ได้รับคำสั่งแบบปิดผนึก หัวหน้าจึงลังเลอยู่ตรงนั้น ทว่าตอนที่กำลังลังเลก็ได้ยินเฉินซื่อที่คุ้มกันรถม้าออกมาพูดเสียงต่ำดังๆ ว่า “ทุกคนหนักแน่นหน่อย ออกจากตรอกด้านขวาแล้ว ท่านหญิงรีบเข้าวัง ให้ติดตามอย่างใกล้ชิดทุกคน”
ในเมื่อจะเข้าวัง เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องตัดสินใจเองแล้ว
“ปล่อยพวกเขาไป พาคนตามไปเพิ่มอีกหน่อย ถ้าพวกเขาเข้าวังจริงก็ไม่ต้องสนใจ แต่หากไม่ใช่…” หัวหน้าครุ่นคิดเล็กน้อยและออกคำสั่งอย่างใจเย็น พูดไปก็พาดมือตรงซอกคอและลากมาเล็กน้อย
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ!” ลูกน้องรับคำสั่ง ขานรับและไปจัดการทันที
พอรถม้าของฉู่ซินรุ่ยจากไป ในตรอกก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
ฉู่ซินรุ่ยพิงตัวรถและหลับตาพักผ่อน จนกระทั่งเลี้ยวผ่านไปสองซอยแล้ว จู่ๆ นางก็หันไปเลิกผ้าม่านออกและเรียกให้เฉินซื่อมาหา
“ท่านหญิง มีอะไรจะสั่งอีกหรือขอรับ?” เฉินซื่อเอ่ยถาม
“มีคนคอยจับตาดูพวกเราอยู่ใช่หรือไม่? มากันกี่คน?” ฉู่ซินรุ่ยเอ่ยถาม
“น่าจะ…สิบกว่าคนขอรับ!” เฉินซื่อไม่ได้มองรอบๆ แค่ตอบเสียงต่ำ
ฉู่ซินรุ่ยเม้มมุมปากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ทันใดนั้นก็ถามอีก “มั่นใจว่าจะจัดการได้หรือไม่?”
เฉินซื่อชะงักและตั้งตัวไม่ทันไปชั่วขณะ
ฉู่ซินรุ่ยสนใจแต่จะพูดว่า “พวกเขาน่าจะพกอุปกรณ์ติดต่อสื่อสารติดตัวด้วย มีความมั่นใจแค่ไหนว่าจะจัดการพวกเขาได้?”
ถึงแม้เฉินซื่อไม่รู้ว่านางจะทำอะไรกันแน่ ทว่าในใจกลับเหมือนจะรู้ดี เขาชั่งใจอย่างถี่ถ้วนครู่หนึ่งแล้วก็พยักหน้าว่า “กองทหารติดอาวุธทั้งหมดของพวกเราต่างถอนกำลังออกจากจวนไปก่อนแล้ว ช่วงนี้ต่างก็รอคำสั่งอยู่บริเวณรอบจวนอ๋อง และเวลานี้ก็คอยติดตามอยู่ข้างหลัง ดังนั้นจะจัดการพวกเขาก็ง่ายมากขอรับ”