สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 107.4ไร้ลูกหลานสืบสกุล (4)
“ด้านหน้าเป็นถนนหลักแล้ว ลงมือที่นี่แล้วกัน หลังจากจัดการพวกเขาแล้ว คิดหาทางส่งคำสั่งลับให้องครักษ์ลับที่ดักซุ่มอยู่รอบจวนอ๋อง ให้พวกเขาถอนรากถอนโคน ปิดปากคนที่ค้างอยู่ในจวนอ๋องรุ่ยชินให้หมด เหลือไว้ไม่ได้แม้แต่คนเดียว!” ฉู่ซินรุ่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ทว่ากลับปนหนาวสะท้านและเหี้ยมโหด
สองสาวใช้ได้ยินแล้วต่างรู้สึกหวาดกลัวอย่างที่สุด และมองนางด้วยสายตาแปลกประหลาด…
ผู้หญิงคนนี้ ตั้งแต่วันไหว้พระจันทร์นั้นจนมาถึงวันนี้ ท่าทางของนางล้วนน่ากลัวเกินไปแล้วจริงๆ ลบล้างภาพจำที่พวกนางมีต่อเจ้านายของตนเองหลายปีนี้ไปโดยสิ้นเชิง
ท่านหญิงฉางหนิงที่เคยอ่อนโยน นิ่งเงียบ และสูงส่งมาก เป็นผู้หญิงน่ากลัวที่ฆ่าคนโดยไม่กะพริบตาเช่นนี้ได้อย่างไร
ไม่ต้องพูดถึงสองสาวใช้ แม้แต่เฉินซื่อก็ตกใจไม่น้อยและอึ้งไปครู่ใหญ่เหมือนกัน
“เหยียนหลิงจวินกับฉู่สวินหยาง คนหนึ่งก็ไม่ให้พี่ห้าได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ส่วนอีกคนก็พยายามบีบให้ข้าไปตายทุกวิถีทาง มีแต่พวกเขาที่ทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ แต่กลับห้ามข้าทำงั้นหรือ?” ฉู่ซินรุ่ยเอ่ย น้ำเสียงเย็นชาจนเหมือนจะเหี้ยมโหด “ข้าแค่จะจัดการฉู่สวินหยางเท่านั้น นางทุ่มเทสุดกำลังอยากจะยุให้ข้าเข้าไปติดกับเองไม่ใช่หรือ? แต่เกรงว่านางจะไม่มีชีวิตอยู่คอยดูข้าโชคร้ายก็ต้องตายด้วยดาบของปู่นางก่อนแล้ว ลูกหลานของฉู่เป้ย คนไหนตายก็ถือว่าสมควรแล้วทั้งนั้น!”
ฉู่ซินรุ่ยพูดจบก็ดึงผ้าม่านลงอีกครั้ง เพราะไม่อยากเผชิญหน้ากับสายตาไม่คุ้นเคยของสาวใช้ทั้งสองคน แล้วก็หลับตาอย่างไม่สนใจ
ถึงอย่างไนก็มาถึงวันนี้แล้ว ฉู่สวินหยางตายไปสักคน จะเป็นอะไรไป?
แต่สำหรับเหยียนหลิงจวิน…
ทำให้เขาเสียใจอย่างที่สุดแบบที่ตายไปยังดีกว่ามีชีวิตอยู่!
รถม้ามุ่งหน้าไปอย่างปลอดภัย ฉู่ซินรุ่ยไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมาเลย ราวกับนี่ก็เป็นแค่การออกเดินทางตามปกติ และไม่ต่างจากที่เคยเป็นมา
สองสาวใช้นั่งอยู่ตรงข้ามนาง แต่กลับหวาดหวั่นและไม่สบายใจมาก พวกนางก้มหน้าจับฝ่ามือให้ตนเองใจเย็น พลางเหลือบมองฉู่ซินรุ่ยเป็นระยะ
จวนอ๋องรุ่ยชินไม่ถือว่าอยู่ใกล้พระราชวังหลวง ปกติค่อยๆ เดินเท้าไปทีละนิด อย่างน้อยก็ต้องเกือบหนึ่งชั่วยาม แต่วันนี้ฉู่ซินรุ่ยกลับเดินทางเร็วมาก เพียงแค่ครึ่งชั่วยาม พระราชวังหลวงก็พลันปรากฏอยู่ด้านหน้าไกลๆ
“ท่านหญิง!” เฉินซื่อขี่ม้าตามเข้ามาหาจากด้านหลัง
ฉู่ซินรุ่ยนิ่งไม่ขยับ แค่เอ่ยถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง?”
“สำเร็จแล้วขอรับ!” เฉินซื่อตอบโดยมีรถม้ากั้นกลาง
ฉู่ซินรุ่ยได้ยินแล้วก็ยกยิ้มมุมปากอย่างพอใจ ทว่าขณะที่นางกำลังจะพูดนั้นกลับได้ยินเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น และแผ่นดินสั่นไหวในเวลาเดียวกัน รถม้าทั้งคันแกว่งตามไปด้วยอย่างรุนแรง
ม้าตื่นตกใจ จนเริ่มร้องเสียงดัง และอยากจะวิ่งหนี
“คุมไว้ คุมไว้เร็วเข้า!” เฉินซื่อเอ่ยเสียงดัง ด้านนอกวุ่นวายไปหมดในชั่วพริบตา
ฉู่ซินรุ่ยสามารถแยกแยะเสียงเมื่อครู่ได้อย่างชัดเจนมาก นั่นเป็นเสียงที่ดังออกมาเวลาดินปืนระเบิด
พอคิดถึงฉู่อี้เจี่ยนที่ยังไม่รู้สถานการณ์ ฉู่ซินรุ่ยก็รู้สึกกังวลมากในชั่วพริบตา นางจึงไม่มีเวลาไปสนใจว่ารถม้าคันนี้แกว่งไกวไม่มั่นคง แล้วเปิดประตูรถและยื่นศีรษะมองออกไปทันที
หมู่พระตำหนักแสนโอ่อ่าตระการตาพลันปรากฏอยู่ด้านหน้าไกลๆ ทว่าเพราะถูกกำแพงวังสูงมากบดบัง จึงมองไม่เห็นสภาพรายละเอียดด้านใน เพียงแต่มองไปไกลๆ ประตูวังด้านหน้าเปิดกว้างทั้งบาน หน้าประตูเลือดไหลเป็นแม่น้ำ ศพขององครักษ์วังหลวงและจวนอ๋องนอนอยู่นับไม่ถ้วน
กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นและรุนแรงเตะจมูก ชิงเกอกับฮวนเกอต่างรีบดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาปิดปากและจมูกเอาไว้ และไม่กล้ามองอะไรมากนัก
ฉู่ซินรุ่ยฝืนกดความรู้สึกไม่สบายที่ปั่นป่วนในกระเพาะลงไปแล้วเงยหน้าขึ้น แต่กลับเห็นควันหนาลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าตลอดจากที่ไหนสักแห่งในกำแพงวังนั้น และยังมีแสงไฟปะปนอยู่ด้วยเล็กน้อย
“องค์ชายลงมือแล้วขอรับ!” เฉินซื่อนั่งลงบนม้าศึกอย่างมั่นคงและเอ่ยเสียงทุ้ม
ฉู่ซินรุ่ยกระวนกระวายใจจนฝ่ามือเต็มไปด้วยเหงื่อ นางออกแรงหยิกฝ่ามือของตนเองไม่ให้ตนเองเผยความรู้สึกลนลานออกไปและสั่งว่า “เร็วเข้า เข้าวัง!”
“ขอรับ!” เฉินซื่อขานรับและช่วยคุมม้าที่ลากรถ แต่พอเห็นคบขับรถม้าเหนื่อย เขาก็กระโดดขึ้นไปบนที่นั่งคนขับทันทีและขับรถเข้าประตูวังไปด้วยตนเอง
เวลานี้ทั้งวังยุ่งเหยิงไปหมดตั้งนานแล้ว นางในและขันทีวิ่งหนีสะเปะสะเปะทุกหนทุกแห่ง ส่วนองครักษ์มุ่งหน้าไปรวมตัวกันล้อมรอบตำหนักของฮ่องเต้ที่เสียงดินปืนระเบิดดังขึ้นเหมือนรังผึ้ง
ทว่ากลับไม่มีใครขัดขวางรถม้าของฉู่ซินรุ่ย ทั้งยังปล่อยให้นางผ่านประตูวังหลายแห่งติดต่อกันโดยไม่ขวางทางแม้แต่นิดเดียว จนขับเข้าไปในวังหลังได้โดยตรง
ตำหนักของฮ่องเต้นั้น มีคนฝังดินปืนจำนวนไม่น้อยรอบตำหนักที่เขานอน เพียงแค่ไฟไหม้ลุกลาม ทั้งตำหนักก็พังลงมาเสียงดังสนั่น แสงไฟลุกลามไปถึงตำหนักข้างๆ ที่เชื่อมต่อกัน จนทั้งตำหนักของฮ่องเต้ตกอยู่ท่ามกลางทะเลเพลิงแล้ว
บริเวณโดยรอบทั่วทุกที่เต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องบ้างตกใจกลัวบ้างเจ็บปวด
ตอนที่ฉู่ซินรุ่ยมาถึงนั้นก็เห็นฉู่อี้เจี่ยนยืนเอามือไพล่หลังอยู่หน้าทะเลเพลิงควันหนานั้นพอดี เขามองซากปรักหักพังของตำหนักข้างหน้าเงียบๆ
เพราะหันหลังมาทางนี้ จึงไม่มีใครมองเห็นว่าเขามีสีหน้าแบบไหนกันแน่
แสงไฟส่องสะท้อนบนตัวเขา ชุบขอบทองให้เสื้อคลุมสีขาวของเขาทั้งตัว มองไปไม่เหมือนอยู่ในโลกมนุษย์ กลับเหมือนภาพโครงร่างเงาที่บินออกไปนอกโลกแล้ว
ฉู่ซินรุ่ยยื่นศีรษะออกมาจากในรถ พอเห็นเขาสบายดีทุกอย่างถึงค่อยวางใจ ทว่าในขณะที่กำลังจะลงจากรถก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่มีพลังอย่างมากเข้ามาใกล้ทางด้านหลัง ตามด้วยเสียงพูดแหบแห้งหมือนออกมาจากกล่องสูบลมพังๆ “อะไรกัน? เกิดอะไรขึ้นที่นี่!”
เสียงฮ่องเต้!
เขาไม่เป็นไร!
ฉู่ซินรุ่ยมือเท้าเย็นยะเยือกทันที นางลังเลเล็กน้อย บนทางเดินเล็กที่เยื้องกันนั้นฮ่องเต้มาถึงพร้อมพาองครักษ์จำนวนมากมาด้วย และยังมีฉู่อี้อันติดตามมาด้วยตนเองอีก
“ฝ่าบาท! ฝ่าบาทแย่แล้วพ่ะย่ะค่ะ! เหมือนมีคนจุดดินปืน ตำหนักของฝ่าบาทโดนระเบิดพังทั้งหลังแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” เย่าสุ่ยวิ่งเข้ามาหาอย่างหวาดกลัวมากและล้มลงไปกับพื้นทันที ทั้งยังสั่นไม่หยุดว่า “ทำอย่างไรดี? ทำอย่างไรดีพ่ะย่ะค่ะ? ท่านอ๋องแต่ละท่านที่มาเยี่ยมไข้ล้วนถูกขังอยู่ข้างในหมดแล้ว ฝ่าบาท! ฝ่าบาท!”
เย่าสุ่ยตกใจมากจริงๆ
ตอนที่พวกฉู่อี้ชิงมานั้นฮ่องเต้มีธุระไปท้องพระโรงพอดีจึงไม่อยู่ แล้วพวก ‘ลูกหลานกตัญญู’ นี้ก็รออยู่ที่ตำหนักของเขากันหมด
แต่ใครจะคิดว่าอยู่ดีๆ จะเกิดเหตุร้ายขึ้นเช่นนี้!
ฮ่องเต้ได้ยินแล้วก็เดินโซซัดโซเซ หน้ามืด และเกือบจะเป็นลมหมดสติไป
“ฝ่าบาท!” หลี่รุ่ยเสียงรีบพยุงเขาเอาไว้ แล้วยัดยาเม็ดใส่ปากเขา
ฮ่องเต้ค่อยๆ อาการดีขึ้น จึงลืมตาอีกครั้ง มองไฟร้อนแรงที่ลุกโชนอยู่ตรงหน้า ทว่าเปลวไฟที่ลุกไหม้อยู่ในดวงตากลับน่ากลัวยิ่งกว่า
เขาก้าวไปข้างหน้าอีกก้าว แล้วดึงตัวเย่าสุ่ยขึ้นมา กล้ามเนื้อข้างแก้มกระตุกไม่หยุด พลางเอ่ยเน้นชัดเจนทุกคำว่า “ใคร? ใครเรียกพวกเขาเข้าวังมา?”
จะบังเอิญขนาดนั้นได้อย่างไน? เขาเพิ่งจะฟื้นได้หนึ่งชั่วยาม จะบังเอิญขนาดลูกชายของเขาทุกคนต่างรีบมาเยี่ยมไข้พอดีได้ที่ไหนกัน? และ…
เขายังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย
เย่าสุ่ยน้ำมูกน้ำตาอาบหน้า ทว่าตอนที่กำลังไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรนั้น ฉู่อี้เจี่ยนที่ยืนอยู่นอกทะเลเพลิงข้างหน้ากลับหันมาแล้วค่อยๆ ยิ้ม พลางเอ่ยเสียงเฉยชาอย่างหมดอาลัยตายอยากว่า “เสียดายจริงๆ ที่เจ้าไม่ได้อยู่ข้างในนั้น!”