สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 108.1 ชีวิตของพวกเจ้าล้วนขึ้นอยู่กับข้า (1)
“น่าเสียดายจริงๆ ที่ท่านไม่อยู่ข้างในนั้นด้วย!” ฉู่อี้เจี่ยนทอดถอนหายใจ
เบื้องหลังนั้นปรากฏแสงไฟสะท้อนขึ้นไปบนท้องฟ้า ทำให้ใบหน้าของเขาปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงร้อนระอุที่สั่นไหว
และในเวลานี้ แววตาของเขาก็คล้ายกับถูกเคลือบด้วยหิมะ ให้ความรู้สึกเยือกเย็นอย่างถึงที่สุด
“เจ้า…” ฮ่องเต้ที่มองเห็นเขา ยังคงคาดไม่ถึงอยู่บ้าง คล้อยหลังเมื่อเห็นองครักษ์ที่เตรียมตัวตั้งรับอยู่รอบกายเขา ก็คิดอะไรบางอย่างออกทันที
“เป็นฝีมือของเจ้างั้นรึ?” โกรธจนลมตีขึ้นหน้า จู่ๆ ฮ่องเต้ก็ผลักมือหลี่รุ่ยเสียงออกไป ฝีเท้านั้นโซซัดโซเซไปด้านหน้าสองสามก้าว
เพราะว่าที่นี่คือวังหลวง เขาอยู่ในตำแหน่งที่ไม่อาจมีใครมาเทียบเคียงได้หลายปี เดิมทีจะไปไหนมาไหนในวังก็แทบไม่เคยต้องระมัดระวังตัวอันใด
เมื่อฮ่องเต้ก้าวออกไป ฉู่อี้เจี่ยนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็ประกายตาสั่นไหว ยกมือขึ้นฉับพลันอย่างไม่มีใครทันได้คาดคิด
ทุกคนต่างก็คาดไม่ถึงว่าเขาจะกล้าลงมือกับฮ่องเต้ท่ามกลางสายตาผู้คนมากมายเช่นนี้
“ฝ่าบาทระวังพ่ะย่ะค่ะ!” พวกองครักษ์ต่างก็พากันอุทานออกมาด้วยความตกใจ
ฮ่องเต้ก็ตกตะลึงไปเช่นกัน ดวงตานั้นมองเห็นประกายแสงวาบจากลูกธนูพุ่งเข้ามา ชั่วขณะนั้นเลือดก็เย็นเฉียบไปทั้งสรรพางค์กาย ตัวแข็งทื่อจนทำอะไรไม่ถูก
ช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายนั้น ฉู่อี้อันที่ซ้อนอยู่ด้านหลังเขาก็อาศัยจังหวะก้าวขึ้นมา ดึงชายแขนเสื้อเขาก่อนจะหมุนตัว ดึงตัวฮ่องเต้มาหลบโดยใช้ตนเองเป็นกำบังด้านหน้า
ทางฉู่อี้เจี่ยนที่เกลียดชังฮ่องเต้จนซึมลึกถึงกระดูก หลังจากที่ปล่อยลูกธนูครั้งแรกแล้ว เพื่อที่จะมั่นใจว่าจะไม่เกิดเรื่องผิดพลาด ก็ขึ้นสลักอีกครั้ง ปล่อยลูกธนูอีกลูกตามมา
ฉู่อี้อันที่ดึงฮ่องเต้หลบไปด้านข้างอย่างทุลักทะเล ไม่ทันได้ตั้งตัวดีลูกธนูที่สองก็พุ่งตามเข้ามาแล้ว
“ฝ่าบาท!” หลี่รุ่ยเสียงตะโกนออกไป อดขมวดคิ้วขึ้นไม่ได้
กระนั้นก็ยังช้าไป ฉู่อี้อันเพิ่งเหวี่ยงฮ่องเต้ออกไป ร่างกายยังไม่มั่นคงนักเดิมทีก็มิอาจหลบหลีกได้ ลูกธนูอาบยาพิษนั่นจึงแฉลบผ่านไหล่ด้านซ้ายเขาไปอย่างพอดี
แขนเสื้อฉีกขาดออก ก่อนเลือดสีดำจะกระเซ็นในอากาศ
ฮ่องเต้หันศีรษะกลับไป จึงถูกเลือดอุ่นนั้นสาดลงบนใบหน้าอย่างพอดิบพอดี
ฉู่อี้อันโซเซไปเล็กน้อย แขนเสื้อที่ฉีกขาดเผยให้เห็นผิวหนังรอบๆ บาดแผลนั้นค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำอย่างรวดเร็ว
คิดไปถึงพวกลูกๆ ที่กำลังจะตายในเปลวเพลิง ทั้งยังเห็นลูกชายคนโตถูกลูกธนูอาบยาพิษเพราะช่วยเขาอยู่ตรงหน้า ในใจของฮ่องเต้ก็เกิดความตื่นตระหนกที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รีบกล่าวออกไปอย่างตกใจ
“เร็วเข้า! หมอหลวง รีบตามหมอหลวงมาเดี๋ยวนี้!”
ทว่าปฏิกิริยาของฉู่อี้อันก็ยังนับว่ารวดเร็ว เมื่อรู้ว่าพิษที่อาบบนลูกธนูนั้นย่อมไม่ใช่พิษที่ธรรมดา ก็รีบสกัดกั้นบาดแผลที่ไหล่ของตัวเองเอาไว้อย่างทันที
แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่สิ่งที่เขาทำได้ทันก็มีเพียงแค่นี้เท่านั้น ก่อนเบื้องหน้าจะเต็มไปด้วยภาพสีดำ ร่างล้มลงพื้นไปด้านหน้าอย่างทันที
“หมอหลวง! รีบไปตามหมอหลวงมา!” เวลานี้ฮ่องเต้ได้ยืนอยู่ด้านหน้าเขา เมื่อได้สติก็ยกมือขึ้นรับเขาโดยทันที แต่กระนั้นตัวเขาเองก็มีอายุมากทั้งยังมีโรครุมเร้า เมื่อถูกร่างสูงใหญ่ของฉู่อี้อันล้มมาชนก็แทบจะล้มไปอยู่ที่พื้นด้วยกันอยู่รอมร่อ
องครักษ์ที่อยู่ด้านข้างรีบตามขึ้นมาด้านหน้า ช่วยประคองทั้งสองคนเอาไว้
หลี่รุ่ยเสียงเห็นบาดแผลของฉู่อี้อันมีเลือดสีดำไหลออกมา ก็รีบออกคำสั่งกับเย่าสุ่ยไป “หมออาวุโสเฉิน ยามนี้น่าจะยังไม่ทันได้ออกจากวัง รีบตามไปเร็วเข้า!”
“อ่อ!” เย่าสุ่ยตกใจจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไปตั้งนานแล้ว เมื่อตั้งสติได้ก็รีบเร่งฝีเท้าออกไป
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเคราะห์กรรมอันใด พวกท่านชายคนอื่นๆ ก็ล้วนติดอยู่ในที่ประทับของฝ่าบาท ทั้งยิ่งไม่ต้องพูดถึงอนุภาพของดินปืนพวกนั้นแน่นอนว่าเพียงพอที่จะฝังทุกคนทั้งเป็น เพียงแค่มองเห็นกองเพลิงที่ลุกกระหน่ำอยู่ตรงหน้า…
นั่นก็แทบจะเดาได้ว่าไม่อาจมีใครมีชีวิตเหลือรอดออกมาได้อย่างแน่นอน
เวลานี้หากเกิดอะไรกับองค์รัชทายาทขึ้นมา…
ราชสำนักนี้ก็ย่อมต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่อย่างไม่ต้องพูดถึง!
เย่าสุยเพียงรู้สึกว่าตนเองกำลังจมดิ่งอยู่ในฝันร้ายเท่านั้น ในหัวนั้นหลงเหลือแต่ความว่างเปล่า มีเพียงฝีเท้าที่ก้าวถลาออกไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
ทางฮ่องเต้ที่เห็นลูกชายคนโตล้มลงไปอย่างแรง ก็ตกตะลึงไปพักใหญ่
ท้ายที่สุด เขาจึงใช้แววตาที่เต็มไปด้วยเพลิงโทสะ เงยไปมองฉู่อี้เจี่ยนที่อยู่ด้านตรงข้าม
ฉู่อี้เจี่ยนแทบจะคิดไม่ถึงว่าลูกธนูที่ตัวเองยิงติดต่อกันออกไปล้วนพลาดเป้าทั้งหมด เวลานี้จึงขมวดคิ้วแน่น ก้มหน้าลูบหน้าไม้เล็กๆ ที่มัดติดกับปลายแขนด้วยความเสียดาย
“ฉู่อี้เจี่ยน!” ฮ่องเต้เอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบพร่า แทบจะคำรามออกมาอย่างสุดกำลัง “ข้าดูแลจวนอ๋องรุ่ยชินของพวกเจ้ามาตั้งแต่ไหนแต่ไร เจ้ากลับมีใจอาฆาตมาดร้าย ลอบใช้ดินปืนมาระเบิดที่ประทับของข้า วางแผนสังหารลูกหลานของข้า ทั้งยังลงมือกับข้าต่อหน้าผู้คนเช่นนี้ เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังทำอะไรอยู่? เจ้าเสียสติไปแล้วรึ?”
“จะเป็นไปได้อย่างไร?” ฉู่อี้เจี่ยนกล่าว ริมฝีปากกระตุกขึ้นเยียบเย็นอย่างได้รูป คำพูดเพิ่งจะหลุดออกไป ไม่รีรอให้ฮ่องเต้ได้กล่าว ก็เลิกคิ้วเปลี่ยนไปพูดอีกเรื่อง “อันใดที่เรียกว่าเสียสติ? คนที่เสียสติหรือจะไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร แล้วข้าจะเสียสติได้อย่างไร? เห็นได้ชัดว่าข้าฟั่นเฟืองเพราะความเสียใจ ท่านดูไม่ออกอย่างนั้นรึ?”
คนปกติที่ไหน จะใช้คำพูดที่เลวร้ายเช่นนี้มาอธิบายตัวเองกัน?
เดิมทีฮ่องเต้ก็หลุดปากก่นด่าเพราะความโกรธที่มี ยามนี้จู่ๆ กลับตกตะลึงในใจ…
คนผู้นี้ไม่ใช่ว่าจะเสียสติไปแล้วจริงๆ?
ฉู่อี้เจี่ยนเห็นเขานิ่งงันไป แววตาก็ประกายเสียดสีมากขึ้นไปอีก
เขาจัดแจงแขนเสื้อให้เข้าที่ ซ่อนอาวุธที่แขนเอาไว้ ก่อนจะหันไปเหลือบมองเปลวเพลิงที่ลุกโหมอยู่ด้านหลัง เผินหน้ามองเล็กน้อยอย่างชื่นชม ผ่านไปสักครู่ก็แย้มยิ้มออกมาด้วยความพอใจ “เป็นอย่างไร? ตอนนี้ในใจท่านเป็นเช่นไร? รู้สึกอย่างไรบ้าง? จะว่าไปแล้ว พวกลูกหลานของท่านก็นับว่ากตัญญูรู้คุณเสียทีเดียว ข้าเพียงแค่วางแผนเล็กน้อย บอกพวกเขาว่าท่านฟื้นแล้ว พวกเขาก็รีบล้วนเข้าวังมาเยี่ยมเยียนทันที ช่วยทำให้แผนการสะดวกขึ้นไม่น้อยเลย”
ในใจเป็นเช่นไร? รู้สึกอย่างไรอย่างนั้นหรือ?
หากจะพูดจริงๆ เวลานี้ฮ่องเต้ก็ยังแทบจะควานหาความรู้สึกของตนเองไม่เจอ
เขาแทบไม่อาจทำใจเชื่อได้ว่า ยามนี้พวกลูกๆ ของเขาได้สูญสิ้นไปแล้วจริงๆ?
แม้ในยามปกติเขาจะขี้ระแวง ไม่อาจเชื่อใจใครได้ง่ายๆ แต่อย่างไรนั่นก็นับเป็นลูกของเขา เลือดเนื้อเชื้อไขของเขาเอง ในพริบตาเดียวกลับมาถูกทำลายลงที่นี่ เป็นความรู้สึกอย่างไรอย่างนั้นรึ?
ฮ่องเต้นิ่งไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าจะตอบกลับไปอย่างไรดี
และในช่วงที่เวลาค่อยๆ ผ่านไปนี้ เย่าสุ่ยก็ได้พาเฉินเกิงเหนียนเข้ามาอย่างรีบเร่ง
ก่อนหน้านี้เฉินเกิงเหนียนเข้ามาฝังเข็มรักษาให้ฮ่องเต้ที่นี่ เมื่อฮ่องเต้ฟื้น เขาก็ลากลับไป เดิมทีก็กำลังจะออกจากวัง สุดท้ายกลับมาเกิดเรื่อง เขาถูกคนพุ่งเข้ามาขัดที่สวนดอกไม้ จึงทำให้เย่าสุ่ยตามเขามาได้อย่างทันท่วงที
“ฝ่าบาท!” เฉินเกิงเหนียนเข้ามา ก็รีบคารวะฮ่องเต้ ก่อนจะคุกเข่าลงวัดชีพจรฉู่อี้อันอย่างเร่งรีบเช่นกัน…
คนผู้นี้ก็คือพ่อตาในอนาคตของเจ้าหนูเหยียนหลิงของเขา ดูจากนิสัยของเจ้าหนูแล้ว คงจะไม่ยอมที่จะให้เกิดอะไรผิดพลาดไปแม้แต่น้อยแน่