สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 108.3 ชีวิตของพวกเจ้าล้วนขึ้นอยู่กับข้า (3)
ฉู่อี้เจี่ยนพูดออกมาอย่างชัดเจนทุกถ้อยคำ ไม่คิดปิดบังแม้แต่น้อย สามารถพูดได้ว่าในสมองนั้นได้สรรหาถ้อยคำที่เลวร้ายที่สุดใต้หล้านี้มากล่าวด่าฮ่องเต้ได้อย่างเจ็บแสบ
ฮ่องเต้คิดจะขัดเขาอยู่หลายครั้งกลับไม่มีโอกาส จนเมื่อได้ฟังจนจบ ก็หน้าดำหน้าแดงด้วยความโกรธสุดขีด!
“หุบปาก!” ฮ่องเต้คำรามเสียงดัง เพราะใช้แรงมากเกินไป คำพูดเพิ่งจะหลุดออกไปก็ไอขึ้นมาราวกับจะขาดใจ
“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน? แค่คนรุ่นหลังที่ไม่รู้เรื่องราวอันใด เจ้าอาศัยสิ่งใดมากล่าวโทษข้า?” แม้จะฝืนหายใจเข้าอย่างช้าๆ ฮ่องเต้ก็ยังคงไอจนยืดหลังตรงไม่ได้ จนเมื่อถูกหลี่รุ่ยเสียงพยุงข้อพับขึ้นมาจึงค่อยได้เงยศีรษะเผชิญหน้ากับฉู่อี้เจี่ยน “เมื่อดวงประทีปถูกจุดขึ้น เหล่าวีรบุรุษก็ย่อมมารวมตัวกัน บางคนก็ใช้ชีวิตผ่านความอันตรายไปเป็นวันๆ บางคนก็ไม่ได้เลือกเดินเส้นทางที่เต็มไปด้วยกองเลือดเนื้อและกระดูกที่เกลื่อนกลาด? ทั้งชั่วชีวิตของข้า ไม่เคยรู้สึกละอายใจ แม้เริ่มแรกจะทำด้วยความจนใจไปบ้าง แต่บรรพบุรุษตระกูลฉู่ของข้าที่ล่วงลับไปก็ล้วนรู้และคงให้อภัยข้า ไม่จำเป็นที่ต้องให้คนรุ่นหลังที่เอาแต่ชุบมือเปิบอย่างเจ้ามา…”
“ให้อภัย?” ฉู่อี้เจี่ยนยิ้มเย็น กล่าวตัดบทเขาอย่างไม่อ้อมค้อมแม้แต่น้อย
เขายกมือขึ้นอย่างรวดเร็ว ชี้ไปไม่ใกล้ไม่ไกลทางทิศตะวันออก เป็นตำแหน่งสุสานหลวงของราชวงศ์ ย้อนถามด้วยชัดถ้อยชัดคำ “ท่านพูดว่าพวกเขาจะให้อภัยท่าน? ท่านคิดว่าเวลานั้นท่านเผาทำลายวังของราชวงศ์ต้าหรง สังหารตระกูลเหลียงทั้งตระกูลก็เพียงพอที่จะให้พวกเขากลายเป็นวิญญาณอยู่บนสรวงสวรรค์ได้แล้วงั้นรึ? ท่านคิดว่าท่านใช้สุสานที่งดงามที่สุดทั้งยิ่งใหญ่สมเกียรติฝังพวกเขาไว้ ก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขามีความปิติในโลกหลังความตายแล้วอย่างนั้นรึ? ฉู่เป้ย ท่านรู้ไหมว่าก่อนที่เสด็จปู่จะตายได้ทิ้งคำพูดสุดท้ายว่าอย่างไร?”
คำพูดของฉู่อี้เจี่ยนเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ในแววตานั้นมีแสงวูบไหวผ่านไปอย่างรวดเร็ว สะท้อนกับแสงไฟที่โหมไหม้อยู่ด้านหลัง ทำให้นัยน์ตานั้นปรากฏความรู้สึกมอดไหม้จนไปถึงขั้นที่บ้าคลั่ง
“เจ้าพูดจาปลิ้นปลอกต่อหน้าผู้คน หุบปากเดี๋ยวนี้นะ!” ฉู่เป้ยเพียงแค่โกรธจนลนลาน จึงหลุดตะโกนออกไปโดยไม่รู้ตัว
พ่อของเขาก็มีคำสั่งเสียทิ้งไว้ด้วยอย่างนั้นรึ? เรื่องนี้ เขากลับเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก
“ทำไม? ท่านกลัวอย่างนั้นรึ? ท่านไม่ใช่บอกว่าไม่เคยรู้สึกละอายใจมิใช่รึ? เช่นนั้นท่านจะกลัวไปไย?” ฉู่อี้เจี่ยนกลับหัวเราะเสียงดัง เสียงหัวเราะนั้นชื่นมื่นทว่าแฝงไปด้วยความโกรธเกรี้ยว แทบที่จะกลบเสียงคำรามแหบแห้งของฮ่องเต้อย่างสิ้นเชิง
“เริ่มแรกสกุลฉู่ของพวกเราทั้งหมดก็ล้วนตายด้วยน้ำมือของฮ่องเต้เซี่ยนจง กลับมีเพียงเสด็จปู่เท่านั้นที่ไม่ใช่ ก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้นในคืนนั้นเขาก็ได้ตัดสินใจปลิดชีพตัวเองก่อน!” ฉู่อี้เจี่ยนกล่าว พูดถึงเสด็จปู่ของตน ท่าทีและน้ำเสียงก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวดอย่างท่วมท้น “เขากล่าวว่าเขารู้สึกผิดกับบรรพบุรุษสกุลฉู่ จึงตัดสินใจจบชีวิตด้วยน้ำมือตัวเองเพื่อล่วงหน้าไปขออภัยต่อบรรพบุรุษ! เขามีความผิดอันใด? ชั่วชีวิตของเขาล้วนปฏิบัติตนอย่างซื่อตรงเคร่งครัด ครึ่งชีวิตล้วนจับดาบรบราในศึกสงคราม ท้ายที่สุดก็ไม่ได้ตายในสนามรบ กลับเลือกใช้วิธีที่น่าอัปยศอดสูเช่นนั้นมาจบชีวิตของตนเอง ท่านรู้ไหมว่าเพราะอะไร?”
“หุบปาก! หุบปากเดี๋ยวนี้!” ทางด้านฮ่องเต้ก็ลนลานนั่งไม่ติดที่
เขาไร้ทางที่จะปิดปากของฉู่อี้เจี่ยน ทำได้แค่คำรามเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง
แต่เพราะอาการป่วยที่รุมเร้า เรี่ยวแรงไม่ค่อยมี ท้ายที่สุดเมื่อคำรามลำคอก็คล้ายกับจะปริแตกไปเสียอย่างนั้น ฝืนใช้แรงอย่างสุดกำลัง สุดท้ายแล้วน้ำเสียงที่เปล่งออกมากลับยังดูอ่อนแรง
ฉู่อี้เจี่ยนสามารถควบคุมเขาได้ตั้งแต่เมื่อใดกัน
เมื่อมองเห็นฮ่องเต้ที่แก่ชราไร้ความสามารถเช่นนั้น เขาก็ยิ่งเผยรอยยิ้มอำมหิตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เงยหน้าขึ้นฟ้าทอดถอนหายใจ ก่อนจะหัวเราะขึ้นมาในทันทีทันใด
เขาเงยหน้าขึ้น เพราะไม่ต้องการให้ผู้คนเห็นประกายสายตาที่ไม่อาจควบคุมไว้ได้ของเขา แต่น้ำเสียงก็ยังคงมั่นคงเช่นเคย “เสด็จปู่กล่าวว่าล้วนเป็นความผิดของเขา จุดจบของสกุลฉู่ทั้งหมดล้วนเป็นฝีมือของเขา หากว่าเขาคาดการณ์ผลลัพธ์ของเรื่องนั้นล่วงหน้าได้นานกว่านี้อีกหน่อย ตั้งแต่ต้น…เขาก็คงจะบีบคอท่านให้ตายไปแล้ว!”
คำพูดสุดท้ายเขาจงใจกัดฟันเน้นเสียง ทำให้ทุกคนที่ถูกบีบอยู่ที่นี่ล้วนแทบจะรู้สึกว่ากำลังบดเคี้ยวเลือดเนื้อศัตรูอยู่
ฮ่องเต้ฟังมาถึงตรงนี้ สรรพางค์กายสั่นไหวไม่น้อย
เขานั้นถูกพยุงโดยหลี่รุ่ยเสียงและองครักษ์จึงไม่ได้ล้มไป แววตานั้นร้อนระอุไปด้วยความดุดันและความเคียดแค้น แทบที่จะแฝงไปด้วยเพลิงโทสะที่สามารถมอดไหม้ใต้หล้านี้ไปได้ก็มิปาน
แต่เพราะว่าร่างกายอ่อนแอเกินไป เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงดูน่าขันขึ้นมา
คนสกุลฉู่พวกนั้นย่อมมิอาจซาบซึ้งไปกับเกียรติยศของเขาในวันนี้ได้ เรื่องพวกนี้เขารู้ดีแก่ใจตั้งนานแล้ว แต่แล้วมันอย่างไรเล่า?
ท้ายที่สุดอย่างไรเขาก็เป็นผู้ที่ได้ชัยชนะ เป็นเขาที่พาทั้งสกุลมาจนถึงเกียรติยศสูงสุด สวมยศราชวงศ์ให้แก่สกุลของพวกเขา ได้รับการแซ่ซ้องจากผู้คนมากมายและเป็นที่น่าอิจฉาของคนทั้งใต้หล้า
ไม่ว่าผู้คนที่สายตาคับแคบพวกนั้นคิดที่จะทำอะไรก็ตาม แต่ผู้ที่เขียนบันทึกประวัติศาสตร์ ในสายตาของคนรุ่นหลัง เขาล้วนเป็นฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นในตำนาน สิ่งที่เขาทำลงไป ย่อมต้องถูกคนเล่าขานและสรรเสริญออกไป
“เจ้าพูดจาเหลวไหล พูดโป้ปดต่อหน้าผู้คน!” ฮ่องเต้กดเสียงต่ำกล่าว มีเพียงสองประโยคนี้ที่สามารถพูดซ้ำๆ ออกมาเท่านั้น
ฉู่อี้เจี่ยนที่อยู่ตรงข้ามเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะถูกความร้อนจากประกายไฟจนทำให้ความชื้นในดวงตาแห้งลง หรือท้ายที่สุดเขาสามารถสงบจิตสงบใจได้แล้ว แต่อย่างไรในตอนที่เขากวาดสายเผชิญหน้ากับฉู่เป้ยอีกครั้ง แววตานั้นก็ดูเรียบเย็นขึ้นมา
ฮ่องเต้ที่สัมผัสได้ถึงความเคียดแค้นจากสายตาเขาเช่นนี้ พลันรู้สึกแปลกใจ จู่ๆ ในใจก็เกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีขึ้นมา
เขาไม่อาจยอมรับ! เขาไม่อาจรับชะตากรรมได้!
ไม่อาจยอมให้เจ้าคนต่ำต้อยที่มีใจมาดร้ายผู้นี้มาทำลายเกียรติยศที่น่าภาคภูมิของเขาได้
“เจ้าอย่าได้ใช้การกบฏของตัวเองในวันนี้มาเป็นข้ออ้าง เวลานั้นเหลียงจิ่นเยี่ยชั่วช้าและไร้คุณธรรม ทอดทิ้งประชาชนโดยไม่สนใจอะไร ข้าทำเพื่อไพร่ฟ้าใต้หล้า คนทั้งสกุลของข้าถูกทรราชนั้นเข่นฆ่าสังหาร ข้าเองก็เจ็บปวดไม่ต่างกัน เสด็จพ่อมีคุณธรรมสูงส่ง เขาย่อมต้องเข้าใจความโศกเศร้าของข้า เจ้าคิดว่าเช่นนี้ก็จะสามารถทำลายชื่อเสียงของข้า ทั้งยังจะสามารถปกปิดความผิดของเจ้าที่ก่อขึ้นวันนี้ไปได้งั้นรึ? ข้าจะบอกเจ้าให้ว่ามันเป็นไปไม่ได้!” ฮ่องเต้กล่าว เมื่อตั้งสติได้ก็พยายามทำให้เสียงตนเองฟังดูหนักแน่นมากขึ้น
ขณะที่เขาพูด ก็ยกมือขึ้นโดยพลัน กล่าวอย่างโมโห “จับตัวโจรกบฏผู้นี้ให้ข้าเดี๋ยวนี้! จับมันซะ!”
เขาดูโกรธจนดุดันขึ้นมาจริงๆ ผลักมือพวกหลี่รุ่ยเสียงออก เริ่มก้าวเดินไปมาอยู่ที่เดิมอย่างกระวนกระวาย ด้านหนึ่งก็ส่งเสียงออกคำสั่ง “จับมันให้ข้า หากมันขัดขืน ก็สังหารซะ!”
พวกองครักษ์ได้รับคำสั่ง ก็ตอบรับบุกเข้าไปทันที
ในดวงตาของฉู่อี้เจี่ยนแฝงไปด้วยรอยยิ้มที่ดูแคลน ดึงกระบอกไฟออกมาจากอกทันที ใช้ดินปืนในมือจุดไฟ ก่อนจะโยนไปทางฮ่องเต้
ฮ่องเต้คาดไม่ถึงว่าเขาจะกล้าใช้ไม้นี้
สายชนวนถูกจุดขึ้นแล้ว จึงส่งเสียงดังซี่ๆ ทำให้คนที่ได้ยินต่างก็ขนลุกชันไปทั่วร่าง
“ดินปืน นั่นคือดินปืน รีบคุ้มกันฝ่าบาทเร็วเข้า!” พวกองครักษ์แตกตื่นจนแทบทำอะไรไม่ถูก รีบถอยหลังไปคุ้มกันฮ่องเต้ด้วยความเร่งรีบไปพลาง บางคนก็รีบยกร่างฉู่อี้อันหนีถอยไปพลาง
———————————————