สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 108.8 ชีวิตของพวกเจ้าล้วนขึ้นอยู่กับข้า (8)
เวลานี้ ในใจเขาราวกับไร้ความรู้สึก ลึกลงไปในนั้นมีแต่ความอ้างว้างว่างเปล่า
ทว่าทางฉู่ซินรุ่ยยังคงมึนงง เมื่อหันมองไปตามเสียง ไม่นานนัก องครักษ์ของวังบูรพาก็นำตัวผู้หนึ่งเข้ามาจากที่ไกลๆ
ทอดสายตามองไป ใบหน้าของฉู่ซินรุ่ยที่แสร้งทำเป็นสงบนิ่งก็ฝืนรักษาท่าทีนั้นไว้ไม่ไหวอีกต่อไป
เสียงดาบร่วงลงสู่พื้นดังกังวาน
จูหย่วนซานนำตัวคนเข้ามาด้วยตนเอง ผู้นั้นมือไม้อ่อนแรง ผมเผ้ายุ่งเหยิง ผู้หญิงที่ดูอ่อนแอและมีท่าทีตื่นตระหนกไม่ใช่คนอื่นคนไกล กลับเป็นคนแซ่หลิว รุ่ยหวางเฟยที่เดิมควรจะถูกรักษาตัวอยู่ไกลแสนไกลที่เจียงหนาน
“ท่านแม่!” ฉู่ซินรุ่ยหลุดตะโกนออกมา
“รุ่ยรุ่ย!” คนแซ่หลิวได้ยินเสียงนาง ก็รู้สึกดีใจขึ้นมา เมื่อเงยหน้ามองไป ชั่วขณะนั้นน้ำตาก็รินไหลอาบใบหน้า
คนแซ่หลิวมีรูปร่างไม่สูงใหญ่ ทั้งตั้งแต่เด็กก็มีร่างกายอ่อนแอ ฉู่ซิ่นก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำอะไร เริ่มแรกที่แต่งนางเข้ามาก็ไม่ได้เรียกร้องให้นางทำหน้าที่ภรรยาจนเกินไป เพียงแค่ชอบในความอ่อนโยนและมีคุณธรรมของนางเท่านั้น
ชั่วชีวิตของคนแซ่หลิวไม่เคยพบเจอกับฉากการต่อสู้เช่นนี้มาก่อน ยามนี้จึงตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ
ฉู่ซินรุ่ยยืนอยู่อีกด้านหนึ่งของรถม้า อยากที่จะถลาเข้าไปหาแต่เวลานั้นกลับไม่สามารถอ้อมรถม้านั้นไปได้
ฉู่ฉีเฟิงเหลือบมองคนแซ่หลิวอยู่ไกลๆ กล่าวอย่างเรียบเย็น “รุ่ยหวางเฟยช่วยยืนยันหน่อยเถิด คนบนรถม้านั่นคือผู้ใดหรือ? ใช่รุ่ยชินอ๋องผู้ที่ยกขบวนไปสู่ขอท่านแต่งงานตั้งแต่ครั้งนั้นหรือไม่?”
“ข้า…ข้า…” น้ำเสียงคนแซ่หลิวสั่นเครือ ไม่กล้าสบตามองผู้ใด เพียงแต่กวาดสายตาอย่างลนลานไปรอบๆ เท่านั้น
นางเป็นคนขี้ขลาด เรื่องเช่นนี้ มีนางมาเกี่ยวข้องก็รั้งแต่จะทำให้เป็นตัวถ่วงเท่านั้น หากไม่ใช่ว่าต้องการนางมาช่วยปกปิดความลับเรื่องตัวตนของฉู่ซิ่น เดิมทีฉู่อี้เจี่ยนก็คงไม่อาจปล่อยให้นางรู้เรื่องนี้
กระนั้นคนแซ่หลิวก็ไม่ใช่คนโง่งมเสียทีเดียว ฉู่อี้เจี่ยนใจกล้าไม่กลัวอันใด ถึงขนาดสับเปลี่ยนตัวท่านอ๋องในราชสำนักคนหนึ่ง นางก็รู้ดีว่าแผนของอีกฝ่ายย่อมเป็นเรื่องร้ายแรงอย่างแน่นอน
เวลานี้ มองที่ประทับของฮ่องเต้ถูกไฟลุกโหมไหม้ ทั้งยังเห็นฮ่องเต้ที่ฉู่อี้เจี่ยนกักตัวไว้ นางจึงยิ่งตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
“เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ยังมีอะไรจะต้องปิดบังอีก?” จู่ๆ ฉู่อี้เจี่ยนก็หัวเราะออกมา “อย่างไรข้าก็ยืนอยู่ที่นี่ เหตุใดยังจะต้องไปจับตัวผู้หญิงที่ไม่รู้เรื่องราวอันใดเช่นนางมาด้วยเล่า? หากเจ้าต้องการจะเอาคำตอบ เช่นนั้นข้าก็จะตอบให้!”
ฉู่อี้เจี่ยนกล่าวด้วยน้ำเสียงสบายๆ คล้ายกับเขาไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับเรื่องที่กำลังจะพูดสักนิด “ใช่แล้ว คนที่อยู่ในรถนี้ไม่ใช่พ่อของข้า พ่อของข้าสิบปีก่อนก็ได้ทอดกายอยู่ใต้พื้นดินแล้ว แต่เป็นข้าที่ปกปิดเรื่องการตายของเขา ไม่ได้เปิดเผยให้เล็ดลอดออกไป ทั้งยังฝึกฝนหุ่นเชิดทั้งสองคนมาจัดการเรื่องในราชสำนักแทนเขา แน่นอนว่าเรื่องนี้หากข้าจะปิดบังผู้อื่นย่อมเป็นเรื่องง่าย แต่คงไม่ใช่กับผู้ที่เป็นภรรยา ดังนั้นข้าจึงใช้รุ่ยรุ่ยมาข่มขู่ บังคับให้คนแซ่หลิวช่วยข้าปิดบัง นางจึงเป็นแค่ผู้หญิงตาขาวคนหนึ่งที่ไม่รู้เรื่องอันใดเท่านั้น หากจะจับนางไว้ ก็ไม่ได้เรื่องได้ราวอันใดหรอก!”
ฮ่องเต้ได้ยินเช่นนี้ ความโกรธก็ยิ่งจู่โจมอยู่ภายใน
สิบปี! เป็นเวลาสิบปีเต็มๆ ฉู่อี้เจี่ยนกลับเล่นลูกไม้อยู่ใต้หูใกล้ตาเขาเช่นนี้
น้องชายร่วมสายเลือดของเขา ไปๆ มาๆ อยู่ข้างกายเขาถึงแปดปี เขากลับไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงตัวปลอม?
นี่นับเป็นความอัปยศ! เป็นความอัปยศอดสูอย่างใหญ่หลวง!
ฮ่องเต้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แทบจะเผาผลาญตนเองด้วยไฟโทสะนั้นเป็นเถ้าถ่าน
แต่ที่น่าเศร้าคือ แม้แต่คำพูดเดียวเขาก็ไม่กล้ากล่าวออกมา เพราะกลัวว่าจะถูกลูกดอกอาบยาพิษของฉู่อี้เจี่ยนได้
ภายใต้ความโมโห ฮ่องเต้จึงทำได้แต่ข่มตาลงไปเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเห็นอะไร
“เจ้าอยากจะพูดอะไรอีก?” ฉู่อี้เจี่ยนกลับไม่สนใจใครทั้งนั้น เพียงแค่ทอดมองสายตาว่างเปล่าไปเบื้องหน้า “ในเมื่อข้ากล้าทำ ก็ไม่เคยกลัวที่จะมีคนมารู้เรื่องนี้”
“กระทั่งพ่อของตัวเองท่านยังกล้าลงมือโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ข้าจะยังสามารถพูดอะไรกับท่านได้อีกเล่า?” ฉู่ฉีเฟิงเผยรอยยิ้มออกมา
เขาก้มหัวก่อนจะเงยขึ้น ในแววตานั้นจู่ๆ ปรากฏรอยยิ้มออกมาให้เห็นรางๆ “เพื่อวางแผนเรื่องในครั้งนี้ เพื่อประคองอำนาจของจวนอ๋องรุ่ยชินเอาไว้ จึงยืมชื่อของอ๋องรุ่ยชิน เพื่อให้ท่านได้มีโอกาสเข้าวังใกล้ชิดฝ่าบาทได้ทุกเวลา ท่านทุ่มเทเช่นนี้ ถึงขนาดใช้หุ่นเชิดนั่นเป็นสะพานข้ามไปแทรกแซงเรื่องในกองทัพของเมืองฉู่ ทั้งยังสมคบคิดกับพวกคนหนานฮวา ตั้งใจให้ข้าและฉู่ฉีเหยียนตายอยู่ที่นั่นด้วยกัน ผ่านมาหลายปีเช่นนี้ ก็นับว่าท่านได้พยายามอย่างสุดกำลังแล้วจริงๆ แต่อีกนิดเดียวก็จะสำเร็จแล้ว หุ่นเชิดนั่นกลับทำเสียเรื่อง ทำให้ฉู่สวินหยางมองตัวตนของเขาออก อย่างไรข้าก็ต้องขอบใจท่าน ที่ไม่ได้คิดลงมือฆ่ารุ่ยหวางเฟยปิดปาก มิเช่นนั้น…วันนี้ก็คงจะหาพยานหลักฐานมาไม่ได้แล้ว?”
“เจ้าจะพูดอย่างไรก็แล้วแต่เจ้าเถิด ผู้ชนะเท่านั้นถึงจะเป็นวีรบุรุษ ข้าก็ไม่ได้ปรารถนาสิ่งอื่นอยู่แล้ว!” ฉู่อี้เจี่ยนกล่าว
ขอเพียงฮ่องเต้ตาย หลังจากนั้นไม่ว่าฉู่ฉีเฟิงหรือฉู่อี้อันจะทำอย่างไรกับผู้คนในจวนอ๋องรุ่ยชิน เขาก็ไม่ได้กังวลอะไรทั้งนั้น
ฉู่อี้เจี่ยนตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้ว กลับไม่คิดว่าเวลานี้รุ่ยหวางเฟยที่เอาแต่ตัวสั่นปวกเปียก จู่ๆ ก็รวบรวมกำลังตะโกนออกไป “ท่านชายไม่ได้เป็นคนฆ่าท่านอ๋อง!”
ใจของฉู่อี้เจี่ยนเต้นตึกตักขึ้นมาโดยพลัน
ฮ่องเต้ก็เบิกตาโพลงอย่างฉับพลัน
คนแซ่หลิวกล่าวอย่างสั่นไหว พักสูดลมหายใจ คล้ายกับรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่เหลือขึ้นมา กล่าวด้วยเสียงดัง “ท่านอ๋องนั้นตั้งแต่แรกก็ตายเพราะโรคกำเริบขึ้นอย่างกะทันหัน ไม่ใช่ว่าท่านชายเป็นคนสังหารเขา!”
พูดจากใจแล้ว ฉู่อี้เจี่ยนก็ปฏิบัติกับพวกเขาสองแม่ลูกดีอยู่ไม่น้อย คอยดูแลเอาใจใส่ เป็นห่วงเป็นใยพวกนางราวกับเป็นญาติพี่น้องของเขาจริงๆ
คนแซ่หลิวเดิมทีก็ไม่ได้คิดถึงความสับสนวุ่นวายในวันนี้ ทั้งยังไม่ได้คำนึงถึงสถานการณ์ที่อยู่เบื้องหน้า
คำพูดนี้ของนาง เห็นได้ชัดว่าเพื่อรักษาท่าทีของฉู่อี้เจี่ยน
แววตาคล้ายคมดาบของฮ่องเต้ปราดมองไปบนร่างนางอย่างเย็นเยียบทันที
ทางฉู่อี้เจี่ยนนั้นกลับตกตะลึง
ฉู่ซินลุ่ยได้ยินคำพูดนี้ของมารดา ก็ชาหนึบไปทั้งหนังศีรษะ คิดชั่งน้ำหนักอยู่ในใจอย่างรวดเร็ว จู่ๆ นางก็กัดฟัน ใช้โอกาสตอนที่คนแซ่หลิวตกเป็นเป้าสนใจของผู้คน ถลาเข้าไปชนข้อมือของฉู่อี้เจี่ยนอย่างแม่นยำ
ฉู่อี้เจี่ยนเดิมทีก็กำลังคิดเหม่อลอยเพราะคำพูดของคนแซ่หลิว จึงไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะถูกนางพุ่งมาชนเช่นนี้
ฝีเท้าเขาซวนเซไปด้านหลัง
ฉู่ฉีเฟิงที่หูตาไวก็ได้ก้าวมาด้านหน้า คว้าตัวฮ่องเต้ออกมา ก่อนจะส่งไปให้หลี่รุ่ยเสียงพยุงไว้
“พี่ห้า!” ทางด้านของฉู่ซินรุ่ยที่ชนเข้ากับฉู่อี้เจี่ยน ก็กะพริบตาเป็นนัยให้เขาอย่างทันที
ฉู่อี้เจี่ยนพลาดโอกาสในการลงมือกับฮ่องเต้ แม้ในใจจะเคียดแค้นเพียงใด แต่ก็ไม่ได้เสียเวลากับมันมากนัก
ปฏิกิริยาของเขานับว่ารวดเร็ว ดึงตัวฉู่ซินรุ่ยเข้ามาในทันที ใช้ลูกดอกนั้นจ่อไปที่ลำคอของนาง
“ในเมื่อเจ้าอยากจะเป็นวีรบุรุษที่รักชาติบ้านเมืองมากนัก เช่นนั้นวันนี้ข้าก็จะทำให้เจ้าสมปรารถนาเอง!” ฉู่อี้เจี่ยน
กล่าวด้วยใบหน้าที่เย็นชาและน้ำเสียงที่เยียบเย็นเป็นที่สุด
คนแซ่หลิวเห็นฉากนี้ตรงหน้า ขาก็อ่อนไปกับพื้น เป็นลมล้มพับลงไป
—————————————————-