สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 108.9 ชีวิตของพวกเจ้าล้วนขึ้นอยู่กับข้า (9)
ทางด้านฮ่องเต้เพิ่งจะประคองร่างกายให้มั่นคงได้ ยังไม่ทันที่จะได้ออกคำสั่งให้ลงมือ…
ก็หันกลับไปเห็นฉู่ซินรุ่ยถูกคุมตัวไว้เสียก่อน
ทุกคนล้วนจับตามอง เพราะฉู่ซินรุ่ยช่วยเขาจึงตกอยู่ในอันตรายเช่นนี้ ไม่ว่าจวนอ๋องรุ่ยชินสมควรจะถูกประหารเก้าชั่วโคตรหรือสิบชั่วโคตร แต่หากยามนี้เขาทำเป็นไม่สนใจฉู่ซินรุ่ย เช่นนั้นความจริงก็จะปรากฏตรงหน้าเป็นดั่งคำพูดประโยคนั้นของฉู่อี้เจี่ยนอย่างไม่ต้องสงสัย…
เยือกเย็นอำมหิตยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน
ในใจของฮ่องเต้ถูกอัดแน่นไปด้วยความหงุดหงิดใจ ยากที่จะรับได้เป็นอย่างยิ่ง ใช้ใบหน้าที่ดำมืดนั้นจ้องมองสองพี่น้องฉู่อี้เจี่ยนอย่างไม่ลดละ
“พี่ห้า เหตุใดท่านยังคิดไม่ได้อีก ท่าน…” ฉู่ซินรุ่ยราวกับเจ็บปวดใจเป็นอย่างมาก ทั้งยังพยายามเกลี้ยกล่อมเขาต่อไป
ฉู่อี้เจี่ยนกลับไม่รั้งรอให้นางได้พูดจบ ก็คุมตัวนางมุ่งไปยังทิศทางของรถม้าคันนั้น
พวกองครักษ์ล้วนเตรียมพร้อมรับมืออย่างตึงเครียด แต่ก็ไม่มีใครกล้าลงมือ
ฉู่ฉีเฟิงยืนอยู่ที่นั่น ยังรักษาตำแหน่งและท่าทางอยู่ที่เดิม แม้แต่ศีรษะก็ไม่ได้หันกลับไป ทำเพียงกล่าวอย่างเรียบเย็น “ในใต้หล้านี้ พวกท่านจะหนีไปอยู่ที่ใดได้? มิสู้อยู่อย่างสุขสบายไปตามเรื่องตามราวดีกว่า จะต้องทำเรื่องที่ไร้ประโยชน์ไปอีกทำไม!”
ฉู่อี้เจี่ยนยิ้มเย็น เลิกคิ้วมององครักษ์ของเขา
ในมือขององครักษ์ล้วนแต่ยังกำดินปืนไว้อยู่ เตรียมพร้อมอย่างไม่ประมาทแม้แต่น้อย ค่อยๆ ถอยไปล้อมรอบรถม้าทีละก้าว
“เจ้าคิดว่าเจ้าจะหนีรอดจริงๆ งั้นรึ?” ในที่สุดฮ่องเต้ก็อดไม่ไหวเปิดปากออกมา
หากพวกฉู่อี้เจี่ยนสองพี่น้องออกไปจากวังได้ก็เป็นเรื่องดี ถ้าระหว่างทางการไล่ติดตามเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้บาดเจ็บทั้งสองฝ่าย เช่นนั้นเรื่องก็จะง่ายยิ่งขึ้น
ฉู่อี้เจี่ยนจะไม่รู้ความคิดนี้ของเขาได้อย่างไร?
แต่เวลานี้เขากลับถูกฉู่ซินรุ่ยทำให้เรื่องลำบาก
การกระทำนี้ของฉู่ซินรุ่ยผิดปกติเป็นอย่างมาก ว่าตามเหตุผล เขาก็ได้ออกตัวรับผิดชอบเรื่องนี้ด้วยตนเอง นางทำเป็นรับรู้ก็พอแล้ว แต่นี่นางกลับมาผสมโรงทำให้เรื่องยุ่งยากเกินความจำเป็น
ฉู่อี้เจี่ยนรู้จักน้องสาวคนนี้ของตนดี ในใจจึงปรากฏลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน
ภายใต้สถานการณ์ที่จนใจเช่นนี้ เขากลับไม่อาจถามออกมาได้ ทำได้เพียงต้องเล่นละครไปกับบทที่อีกฝ่ายส่งมาให้ต่อไป
ทั้งสองพี่น้องขึ้นไปบนรถม้า ฉู่ซินรุ่ยกลับส่งเสียงเบาเตือนอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าอยากให้ท่านแม่ไปด้วย!”
ฉู่อี้เจี่ยนขมวดคิ้วชนกันอย่างอดไม่ได้…
นี่กำลังจะทำอะไร? หรือเตรียมจะหลบหนีไปสุดขอบฟ้าจริงๆ?
แต่ว่า…
เขาไม่ได้ใจกว้างกับเส้นทางสายนี้ขนาดนั้น
เขาทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดที่ฉู่ซินรุ่ยกล่าว รีบผลักนางเข้าไปด้านในรถ ก่อนจะเงยหน้ามองไปที่พวกฮ่องเต้ที่ยืนอยู่ไกลๆ “วันนี้นับว่าเป็นโชคดีของท่าน แต่อย่างไรก็อย่าได้ดีใจเร็วจนเกินไป นอกเสียจากว่าข้าจะตาย มิเช่นนั้น…หนี้แค้นของสกุลฉู่ทั้งหมด ข้ายังต้องตามมาเอาคืนอีกแน่!”
ฮ่องเต้ก็ใช้สายตาดุดันเช่นเดียวกับเขามองไป ฟังจบก็โบกมือ “เจ้าคิดว่าจะไปจากที่นี่ได้จริงๆ งั้นรึ?”
ฉู่อี้เจี่ยนยิ้มเย็น ก่อนจะขยิบตาเป็นนัย
องครักษ์คนหนึ่งก็เหวี่ยงดินปืนในมือออกไปอย่างทันที
เขาไม่ได้จุดไฟ ทั้งยังไม่ได้โยนไปยังกลุ่มฝูงชน แต่กลับเหวี่ยงเข้าไปในทะเลเพลิงไกลๆ นั้น
เสียงตู้มดังลั่น อื้ออึงกึกก้องไปทั่ว ก็ไม่รู้ว่าไปเผาถูกสิ่งใดเข้า ทะเลเพลิงนั้นจึงได้มีสะเก็ดไฟกระจายตกลงมารอบๆอย่างทันที
เพราะว่าไม่ทันได้ตั้งตัว ชุดคลุมองครักษ์ไม่กี่คนจึงติดไฟเข้า จำต้องลงไปเกือกกลิ้งร้องครวญครางกับพื้นดิน
พวกขันทีและนางกำนัลต่างก็พากันร้องระงมวิ่งหนีตาย สถานการณ์ตรงหน้าจึงตกสู่ความวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง
ฉู่อี้เจี่ยนอยู่บนรถม้า เผชิญสายตากับฮ่องเต้ที่คั้นตัวอยู่ระหว่างฝูงชน
แววตาของฮ่องเต้ปะทุไปด้วยเพลิงโทสะ ครู่ต่อมาก็แทบจะอดไม่ไหวตะเบ็งคำสั่งออกมา แต่กลับเห็นมือของฉู่อี้เจี่ยนยกขึ้นมาอีกครั้ง
เขาจึงตื่นตกใจ ก้าวขยับถอยหลังโดยสัญชาตญาณ
ฉู่อี้เจี่ยนมองเห็นเขา ก็หัวเราะออกมาอย่างดูแคลน ก่อนจะกลับเข้ามานั่งในรถม้า ออกคำสั่งด้วยเสียงเรียบเย็น “ไป!”
“ตามไป!” มีเสียงองครักษ์ตะโกนขึ้นมาทันที
ทว่าเสียงของฉู่อี้เจี่ยนก็ดังออกมาจากในรถ “หากมีคนกล้าตามมา ข้าก็จะจุดดินปืนใส่มัน ชีวิตของพวกเจ้าล้วนขึ้นอยู่กับข้าทั้งนั้น!”
หากผ่านเรื่องราวในวันนี้ไป เขาได้ตัดสินใจจะไม่หันหลังกลับอีกแล้ว ดังนั้นคำพูดนี้ของเขาไม่ใช่การข่มขู่ แต่…
สำหรับเขาแล้ว ชีวิตผู้คนที่อยู่ในมือไม่รู้ตั้งเท่าใดนั้นแทบที่จะไม่มีผลอันใดกับเขา
พวกองครักษ์ก็พากันเกรงกลัวขึ้นมา เอาแต่ลังเลอยู่อย่างนั้น
ฉู่ฉีเฟิงเดินเข้าไป ก่อนจะประสานมือคารวะฮ่องเต้ “ฝ่าบาท จะให้ตามไปหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
ฮ่องเต้ประกายสายตาจ้องรถม้าคันนั้นเขม็ง ผ่านไปพักใหญ่ก็ยังไม่กล่าวอันใด
ฉู่ฉีเฟิงก็ไม่รบเร้า เพียงแค่คอยมองอยู่ด้านข้างเท่านั้น
หลังจากนั้นสักพัก ไม่รู้ว่าฮ่องเต้คิดอะไรอยู่ จู่ๆ ริมฝีปากก็กระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มเยือกเย็น
เขารวบรวมสายตากลับมา หมุนกายเดินสะเปะสะปะไปทางอุทยานหลวง ทั้งกล่าวไปพลาง “เจ้าอยู่จัดการกับที่นี่เถิด เรื่องไล่ตามคน ข้าจะให้ผู้อื่นไปทำเอง!”
ผู้อื่น? องครักษ์ลับของเขา?
ฉู่ฉีเฟิงยิ้มเย้ยหยันอยู่ในใจ ทว่าใบหน้ากลับเผยท่าทีสงบนิ่ง
ร่างกายของฮ่องเต้แทบจะยืนไม่ไหว เดินกะโผลกกะเผลกอย่างทุลักทุเล
ฉู่ฉีเฟิงยืนมองดูจากด้านหลัง ในแววตาที่เดิมทีปรากฏความเรียบเย็นค่อยๆ แผ่ไอเย็นยะเยือกออกมา ท้ายที่สุดก็ยังแฝงไปด้วยความเย็นเฉียบราวกับคมดาบ ให้ความรู้สึกเหน็บหนาวหยั่งลึกจนไปถึงขั้วหัวใจ
ไม่ว่าจะพูดอย่างไรแต่ก็เป็นเพราะว่าฉู่อี้อันช่วยเขา ดังนั้นจึงถูกพิษเข้า แต่นอกจากครั้งแรกที่เขาเกิดโมโหขึ้นมาชั่วขณะนั้น เขาก็ไม่ได้ถามถึงฉู่อี้อันอีกเลย
ไม่ได้ถามถึงอาการบาดเจ็บของเขา ทั้งไม่สนใจความเป็นความตายของเขา!
เช่นนั้นแล้ว? แม้ว่าลูกชายของเขาทั้งหมดล้วนตายอยู่ตรงหน้า เขาก็จะโกรธแต่เพียงเพราะฉู่อี้เจี่ยนทำให้เขาขายหน้าเท่านั้นใช่หรือไม่? แต่เรื่องอื่นๆ เขากลับไม่สนใจไยดี!
คนผู้นี้…
ไม่ใช่สิ เป็นฉู่อี้เจี่ยนที่พูดถูก คนเช่นนี้ไม่คู่ควรที่จะเป็นคนสักนิด แทบที่จะเทียบกับสัตว์เดรัจฉานไม่ได้ด้วยซ้ำ!
เมื่อเก็บสายตามาจากแผ่นหลังของฮ่องเต้ ฉู่ฉีเฟิงก็เดินเข้าไปหาฉู่อี้อัน กล่าวถาม “ท่านพ่อเป็นอย่างไรบ้าง? ต้องรีบไปตามเหยียนหลิงจวินมาถอนพิษตอนนี้เลยใช่หรือไม่?”
“ยามนี้ยังประคองอาการได้ถึงสองสามชั่วยามขอรับ” เฉินเกิงเหนียนกล่าว กวาดสายตามองฉากวุ่นวายเบื้องหน้าไปครั้งหนึ่ง ก่อนกล่าว “อย่างไรก็หาที่ให้องค์รัชทายาทพักก่อนเถิดขอรับ แม้ว่าข้าจะถอนพิษเขาไม่ได้ แต่อย่างไรต้มยาให้เขาดื่มสักหน่อยก็น่าจะพอช่วยได้บ้าง”
“อืม!” ฉู่ฉีเฟิงพยักหน้า ชี้ไปที่ตำหนักใกล้ๆ หลังหนึ่ง ให้ลู่หยวนสั่งการคนเคลื่อนย้ายฉู่อี้อันไปด้วยตนเอง
เมื่อย้ายตัวฉู่อี้อันออกมาแล้ว ฉู่ฉีเฟิงก็กลับไปที่ประทับของฮ่องเต้เพื่อจัดการกับเศษซากที่พังพินาศ
“ท่านชาย จะทำอย่างไรกับรุ่ยหวางเฟยขอรับ?” จูหย่วนซานกล่าวถาม
“เคลื่อนนางไปอยู่สักตำหนักก็แล้วกัน จะจัดการอย่างไร ก็คอยคำสั่งจากฝ่าบาทก่อนเถิด!” ฉู่ฉีเฟิงกล่าว ก่อนจะสั่งการคนไปดับไฟ เก็บกวาดซากปรักหักพังพวกนี้
จูหย่วนซานรับคำสั่งไป ทว่าเจี่ยงลิ่วกลับงงงวยเป็นอย่างมาก จึงอดกล่าวถามออกไปไม่ได้ “ท่านชาย ท่านไม่รู้สึกว่าท่านหญิงฉางหนิงดูแปลกๆ ไปหรือขอรับ? เห็นได้ชัดว่าท่านชายเจี่ยนต้องการปกป้องนาง กรุยทางออกให้นาง ท้ายที่สุดนางกลับทำเรื่องเกินความจำเป็น เป็นเช่นนี้แล้ว ฝ่าบาทย่อมต้องให้องครักษ์ลับลงมือสังหาร ไม่เท่ากับว่านางกำลังหาเรื่องตายหรือขอรับ!”
ฉู่ซินรุ่ยเป็นคนฉลาดที่จับตัวได้ยากคนหนึ่ง หากเป็นหญิงสาวคนอื่นที่หวาดผวากับสถานการณ์เบื้องหน้าจะสามารถพูดชี้แจงแถลงไขได้เช่นนางอยู่อีกหรือ?
ฉู่ฉีเฟิงแค่นหัวเราะ “ใช่ นางทำเรื่องเกินความจำเป็นจริงๆ!”
ช่วยชีวิตฮ่องเต้ ไม่มีประโยชน์อันใดกับนางเลยสักนิด
——————————————————