สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 109.2 ต้องขอบคุณเจ้านะที่ช่วยปลดปล่อยข้า! (2)
คนด้านนอกนั่นตอบรับทันทีโดยไม่ถามอะไรสักคำ ฉู่ซินรุ่ยจิตใจร้อนรนเอ่ยถามเขาอย่างกังวลใจ “พี่ห้า ท่าน…”
“ทำเหมือนที่คุยกันก่อนหน้า เจ้ากลับไปเสีย เดี๋ยวถึงปากทางข้างหน้าก็ลงจากรถไป แล้วเดินทางไปกองพลทหารราบในทันที จากนั้นคนของกองพลจะส่งคนคุ้มกันเจ้ากลับไปยังพระราชวังอย่างปลอดภัย” ฉู่อี้เจี่ยนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังแกมสั่งการ
ฉู่ซินรุ่ยได้ยินเข้าก็ร้อนรนจนแทบนั่งไม่ติดพลางส่ายศีรษะปฏิเสธ “ไม่ได้เจ้าค่ะ ข้ากลับไปไม่ได้ องค์รัชทายาทกับฉู่ฉีเฟิงรักและทะนุถนอมฉู่สวินหยางยิ่งกว่าอะไรดี เมื่อผ่านพ้นฤดูใบไม้ร่วงนี้ไป พวกเขาต้องสะสางชำระแค้นเรื่องนี้กับข้าแน่นอน”
“มีชีวิตอยู่ต่อมากอีกสักหนึ่งวัน อย่างไรเสียมันก็ย่อมเป็นเรื่องดีอยู่แล้ว!” ริมฝีปากของฉู่อี้เจี่ยนขยับยิ้มขึ้นมาอย่างเย็นชา “เจ้าตามไปกับข้า มีแต่จะยิ่งตายเร็วขึ้น!”
รอยยิ้มนั่นของเขามันช่างห่างเหิน ฉู่ซินรุ่ยเห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะผวาขึ้นมา
“แต่ว่า…” นางยังอยากพยายามอีกครั้ง แต่เห็นฉู่อี้เจี่ยนทำสีหน้าท่าทางปฏิเสธไร้เยื่อใยขึ้นมาแบบนั้น นางก็ทำได้แค่กลืนคำพูดนั้นลงไป
เมื่อถึงปากทางแยก ทหารองครักษ์ก็หยุดรถลงอย่างรู้งาน
ฉู่ซินรุ่ยนั่งอยู่บนรถม้านิ่งไม่ยอมลุกขยับไปไหน สีหน้าท่าทีกระวนกระวาย พลางหันไปมองฉู่อี้เจี่ยนอีกครั้ง
“ไปเถอะ!” ฉู่อี้เจี่ยนพูด “พวกเราแยกทางกันตรงนี้ เส้นทางในอนาคตข้างหน้าต่างคนก็ต้องต่างไปเผชิญหน้ากันเอาเอง จะเดินไปได้ไกลแค่ไหน นั่นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเจ้าแล้ว”
ฉู่ซินรุ่ยขมขื่นใจและรู้สึกไม่ปลอดภัยยิ่งนัก แต่นางก็รู้ดีว่าเวลานี้พูดมากไปก็เปล่าประโยชน์ นางลังเลใจอยู่นาน สุดท้ายก็ลุกแล้วเดินลงจากรถม้าไปอย่างตัดใจไม่ลง
ฉู่อี้เจี่ยนนั่งพิงอยู่ด้านในตัวรถ หลับตาลงสงบจิตสงบใจ ไม่หันมองนางแม้แต่น้อย
ฉู่ซินรุ่ยตัวคนเดียวยืนอยู่ท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิด ลมหนาวโชยพัด หนาวเย็นราวกับถูกปกคลุมด้วยค่ำคืนที่เต็มไปด้วยหิมะ ความรู้สึกแบบนั้นมันช่างหนาวเหน็บเข้าลึกถึงกระดูกดำเลยทีเดียว
นางยกสองมือขึ้นมากอดเรือนร่างตัวเองเอาไว้
หันหลังกลับไปมองฉู่อี้เจี่ยนที่อยู่ในรถม้าคันนั้นอย่างมีหวัง คาดหวังว่าเขาจะเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา
“ไปกันได้แล้ว!” ฉู่อี้เจี่ยนยังคงไม่ชายตามองนางสักนิด เปล่งเสียงสั่งให้เดินหน้าต่ออย่างเย็นชา
“ขอรับ!” ทหารองครักษ์ขานรับคำสั่งเสร็จก็ปิดประตูรถลง ทว่าฝั่งทางถนนใหญ่ตะวันออกด้านหน้านั้น ก็ส่องแสงสว่างจ้าขึ้นด้วยแสงจากไฟคบเพลิงโดยไม่ทันให้ตั้งตัว
ขบวนทัพรถม้าและคนเคลื่อนพลมาด้วยความรวดเร็ว แสงไฟจากคบเพลิงเรียงรายทอดยาวคดเคี้ยวราวกับมังกร จนทำให้ถนนแห่งนี้สว่างไสวขึ้นมาราวกับเวลากลางวัน
ฉู่ซินรุ่ยยกมือบังแสงสว่างนั่นเอาไว้
แสงไฟคบเพลิงส่องลอดเข้าไปในรถ กระทบลงบนใบหน้าของฉู่อี้เจี่ยน จากนั้นใบหน้าของเขาก็เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย
“พวกท่านคือใคร?” ทหารองครักษ์ให้การต้อนรับคนที่มาถึงอย่างเข้มงวด ล้อมรถม้าเอาไว้ป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นทันที
กองทัพผู้คนและรถม้าขบวนนั้นเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว พอมาถึงปากทางแล้วก็หยุดจอดลง เห็นได้ชัดเลยว่าอีกฝ่ายเตรียมการมาเป็นอย่างดี
“อ้าว องค์ชายเจี่ยน ข้าไม่คิดเลยว่าเราจะได้มาเจอกันบนถนนในเวลาดึกดื่นป่านี้ นี่มันเรียกว่าพรหมลิขิตชัดๆ!”
เฟิงเหลียนเซิ่งในชุดสีเหลืองทองตานั่งอยู่บนหลังม้าทอดมองลงมาที่เขา ภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้มนั้นเต็มไปด้วยความหวังดี
ฉู่อี้เจี่ยนนั่งอยู่ในรถม้า ได้ยินดังนั้นก็กระตุกมุมปากขึ้นแล้วลืมตา
ทว่าเขากลับไม่ขยับเขยื้อนไปไหน เพียงแค่ปรายตามองอีกฝ่ายอย่างเนิบช้า แล้วเอ่ย “องค์รัชทายาทเหลียนเซิ่งจะไปไหนหรือขอรับ? ไม่เห็นหรือไงว่าตอนนี้ทั้งเมืองออกบังคับใช้กฎอัยการศึก ทุกที่ต่างมีทหารคุมอยู่ ดึกดื่นป่านนี้ท่านนำขบวนทัพใหญ่โตขนาดนี้ ย่อมเป็นการทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่โดยไม่จำเป็นหรือไม่?”
“ก็เพราะว่าบ้านเมืองไม่สงบแบบนี้ไง ข้าถึงได้ต้องระวังตัวเป็นพิเศษ เวลาเดินทางออกมาข้างนอกจึงต้องพาคนมาอารักขาแบบนี้ถึงค่อยวางใจได้ไงเล่า!” เฟิงเหลียนเซิ่งกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเป็นมิตร
เขาปรายตามองไปรอบทิศ จากนั้นก็กะพริบตายิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วกล่าวว่า “ข้าได้ยินว่าในวังเกิดเรื่องขึ้นหรือ นี่ข้ากำลังจะรีบเข้าวังเพื่อไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้อยู่แล้วเชียว องค์ชายเจี่ยนกับท่านหญิงออกเดินทางดึกดื่นแบบนี้ ดูท่าน่าจะเข้าวังไปเข้าเฝ้าเช่นเดียวกันใช่หรือไม่ขอรับ? โบราณกล่าวไว้ว่าการที่เชื้อเชิญกันอย่างตั้งใจ เทียบกับการพบกันโดยบังเอิญมิได้หรอก พวกเราสู้เดินทางไปด้วยกันดีไหมขอรับ? สถานการณ์ตอนนี้อันตรายยิ่งนัก พวกเราทั้งสองฝ่ายจะได้ช่วยกันระวังภัยกันและกัน”
เฟิงเหลียนเซิ่งคนนี้เอาแต่พูดซี้ซั้ว คิดจะมาขัดขวางทำให้แผนเขาเสียชัดๆ
ฉู่ซินรุ่ยรู้สึกแค้นเคือง เหลือบตามองพฤติกรรมการตอบสนองของฉู่อี้เจี่ยนอย่างร้อนรน
ใบหน้าของฉู่อี้เจี่ยนยังคงเย็นชาไม่รู้ร้อน ถึงจะได้ยินเขาพูดแบบนั้นก็ยังคงใจเย็นสงบนิ่ง พูดขึ้นมาแค่ว่า “คงไม่จำเป็นหรอกขอรับ ข้าเพิ่งเดินทางออกมาจากวัง ถ้าองค์รัชทายาทรีบอยู่ งั้นข้าก็ไม่รบกวนท่านให้เสียเวลา เชิญท่านเถิด!”
พูดจบเขาก็กวักมือพลางสั่งการ “พวกเราไปกันเถอะ!”
ฉู่ซินรุ่ยยังคงถูกทอดทิ้งอยู่ด้านนอก เห็นดังนั้นก็ร้อนรนใจขึ้นมา รีบเอ่ยปากอยากจะพูดอะไรออกมา แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดอย่างไรดี
เฟิงเหลียนเซิ่งเองก็ไม่ได้รั้งเขาไว้ เพียงนั่งยิ้มอยู่บนหลังม้ามองลงมา
ทหารองครักษ์เดินไปปิดประตูลง แต่เมื่อปิดไปได้ครึ่งเดียว ก็ได้ยินเฟิงเหลียนเซิ่งที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกล่าวเสียงดังออกมาว่า “องค์ชาย ดูท่าท่านคงลืมท่านหญิงนะขอรับ สถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้วุ่นวายยิ่งนัก ท่านวางใจปล่อยให้ท่านหญิงอยู่คนเดียวกลางถนนแบบนี้ได้งั้นหรือ?”
“รุ่ยรุ่ยจะเข้าวังไปเข้าเฝ้า หากท่านไม่คิดว่าเป็นเรื่องลำบากอันใดก็พานางไปด้วยก็ได้นะขอรับ!” ฉู่อี้เจี่ยนกล่าว ไม่สนใจแยแสฉู่ซินรุ่ยเลยสักนิด ไม่หันมองนางสักครั้ง ทั้งยังไม่พูดคุยกับนางด้วย
เห็นได้ชัดเลยว่าเขาต้องการจะตัดขาดความสัมพันธ์ขับไสนาง…
ถึงแม้จะรู้ทั้งรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายใช้วิธีที่ไม่ธรรมดาปกป้องตัวเองไว้ แต่ฉู่ซินรุ่ยก็ยังคงรู้สึกผิดและหวาดกลัวอยู่เสมอ เบ้าตาพลันแดงระเรื่อขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
นางจิกฝ่ามือบังคับไม่ให้ตัวเองร้องไห้ แต่ทว่าบนใบหน้านั้นกลับบิดเบี้ยวกำลังจะร้องไห้ออกมาเต็มที มองไปยังบานประตูรถม้าบานนั้นด้วยแววตาสีหน้าสับสนอย่างบอกไม่ถูก
ทหารองครักษ์ปิดประตูลง จากนั้นก็ขับเคลื่อนรถม้าออกจากถนนไป
ทางด้านขวาเป็นเส้นทางไปยังพระราชวัง ส่วนทางด้านซ้ายก็ถูกขบวนทัพของเฟิงเหลียนเซิ่งขวางกั้น เขาหยุดยืนอยู่ตรงนั้นนิ่งไม่ขยับไปไหน และไม่มีท่าทีว่าจะขยับหลีกทางให้ด้วยเช่นกัน
“องค์รัชทายาทหนานฮวาขอรับ ท่านช่วยหลบทางให้พวกข้าด้วย พวกเรากำลังรีบ!” ทหารองครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านหน้าเอ่ยขึ้น
เฟิงเหลียนเซิ่งทอดตามองลงต่ำ ใช้หางตาปรายตามองจากนั้นก็เลิกคิ้วขึ้น แล้วหัวเราะออกมาเสียงดังพลางกล่าวว่า “ดูท่าคงไม่ได้ ในเมื่อพวกเราไม่ได้ไปทางเดียวกัน วันนี้ข้าก็คงต้องขอให้องค์ชายเจี่ยนช่วยหลีกทางให้พวกข้ามากกว่า!”
ถึงแม้ว่าคำพูดของเขาจะดูเหมือนเกรงใจ แต่ใครห้าไหนก็ดูออกว่ามันเป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้นแหละ
ทหารองครักษ์ของฉู่อี้เจี่ยนแต่ละคนเองก็ตั้งสติระวังภัยขึ้นมา
รอยยิ้มบนใบหน้าของเฟิงเหลียนเซิ่งยังคงมีอยู่ไม่เลือนหายไปไหน เขาพูดขึ้นอย่างนิ่งสงบว่า “องค์ชายเจี่ยน ท่านเองก็รู้นี่ว่าข้ามีใจให้ท่านหญิงสวินหยาง แต่นางเป็นคนดื้อรั้นเลยเข้าถึงยาก ข้าได้ยินมาว่าเมื่อวานตอนเย็นนางเกิดอุบัติเหตุขึ้นในจวนของท่านนี่ แล้วตอนนี้มีอุตส่าห์มีโอกาสเอาใจนางอยู่ตรงหน้าแท้ๆ…ด้วยความใจกว้างขององค์ชาย ท่านคงไม่ถือสาที่จะช่วยให้ข้าทำเรื่องนี้ให้สำเร็จหรอกใช่ไหมขอรับ?”
“ความหมายของท่านคือจะส่งตัวข้าไปให้ฉู่สวินหยางเพื่อเอาใจนางงั้นรึ?” เสียงเย็นชาของฉู่อี้เจี่ยนที่นั่งอยู่ด้านในรถม้าดังขึ้นพร้อมแค่นหัวเราะ
“หึ…” ราวกับว่าเฟิงเหลียนเซิ่งเองก็รู้ตัวดีว่าข้ออ้างแบบนี้มันยากที่จะเป็นไปได้ เลยกระแอมไอออกมาเช่นเดียวกัน
ฉู่อี้เจี่ยนยิ้มออกมาอีกครั้ง จากนั้นก็ดันประตูเปิดออกจากด้านในแล้วพูดว่า “ในเมื่อองค์รัชทายาทเอ่ยปากพูดมาซะขนาดนี้ ข้าเองก็คงขัดท่านไม่ได้ ให้ขึ้นรถเลยไหมล่ะขอรับ?”
เฟิงเหลียนเซิ่งหัวเราะแห้งออกมาอีกสองที แต่ก็ยังไม่ขยับไปไหน
ฉู่อี้เจี่ยนคิดตอนนี้ถ้าจะบอกว่าอีกฝ่ายสิ้นคิดก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไป ให้ขึ้นรถม้าของเขางั้นหรือ? นอกเสียจากว่าเฟิงเหลียนเซิ่งจะบ้าไปแล้วต่างหากถึงได้ทำแบบนั้นน่ะ
———————————————