สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 109.5 ต้องขอบคุณเจ้านะที่ช่วยปลดปล่อยข้า! (5)
ทางด้านนี้ทั้งสองคนกำลังเอ่ยทักทายกัน ทว่าทางด้านหลี่เหวยที่กำลังยืนอยู่ที่ประตูกลับเห็นอะไรบางอย่างเข้า ไม่รู้ว่าเป็นสิ่งใดเหมือนกัน แต่วินาทีนั้นสัญชาตญาณของความเป็นนักสู้ในตัวเขามันบอกให้ทำ เขายกมือขึ้นจะไปคว้าจับทหารองครักษ์ที่เดินตามเขาเข้าไปทั้งสองคนนั้นเอาไว้
แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าจะมีแต่ความว่างเปล่า คนคนนั้นชิงตัดหน้าลงมือก่อนเขาไปหนึ่งก้าว เลียบเคียงผ่านข้างตัวเขาไปแล้วกระโจนเข้าใส่บรรดาขุนนางที่คุกหมอบอยู่บนพื้นในทันที
“มือสังหาร!” หลี่เหวยตะโกนร้อนขึ้นเสียงดัง
ทว่าก็ยังช้าไปหนึ่งก้าว
สถานที่แห่งนี้คือตำหนักห้องบรรทมของฮ่องเต้ ทั้งยังมีขุนนางที่นี่อีกหลายนาย อีกทั้งการเฝ้ากุมอารักขาของสถานที่แห่งนี้ก็เข้มงวดมากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ใครจะเข้าหรือออกก็ต้องได้รับการตรวจสอบอย่างแน่นหนารัดกุมทุกครั้ง ใครต่างก็คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นในนี้
คนคนนั้นพุ่งกระโจนเข้าไปในห้องอุ่น นางกำนัลที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้คนนั้นก็ถูกกระชากออกทันที โดยที่ยังไม่มีใครได้ทันรู้สึกตัวเลยสักคน
จากนั้นปลายแขนสั้นของคนคนนั้นก็มีมีดสั้นโผล่ออกมา จับทิ่มแทงลงไปบนหน้าอกของฮ่องเต้อย่างตรงจุดไม่พลาดเลยสักนิดเดียว
ฮ่องเต้ตื่นตกใจ ในช่วงเวลานี้เขาต้องการพักผ่อน ทำให้ในห้องอุ่นนี้เหลือนางกำนัลอยู่คอยรับใช้เพียงแค่คนเดียว ซึ่งนั่นก็หมายความถึงสถานที่แห่งนั้นไม่มีผู้ใดคอยอารักขาเขาเลยสักคน
ในขณะนั้นฮ่องเต้ยังคงไอโขลกไม่หยุด เขายกมือขึ้นปิดปากจนแขนเสื้อปิดบังลงไปครึ่งค่อนหน้า
เมื่อมือสังหารปักมีดทิ่มลงมาตอนนั้น เขาทิ่มแทงลงมาอย่างไร้เมตตา แต่ทว่าตอนที่คมมีดนั้นใกล้ทิ่มเข้าใส่หน้าอกของฮ่องเต้ตอนนั้น เขาก็พลันหน้าถอดสี…
ถึงแม้คนที่อยู่บนเตียงนั่นจะสวมใส่ชุดนอนสีเหลืองทองอร่าม แต่แววตานั้นกลับใสบริสุทธิ์ ต่างจากแววตาอันมืดมนสับสนของฮ่องเต้ยิ่งนัก
คนผู้นั้นถอนหายใจอย่างประหลาดใจ ทว่าตอนนี้ก็เป็นเวลาดึกมากแล้ว ในณะที่มีดของเขาจ่อหน้าอกของฮ่องเต้ตัวปลอมอยู่นั้น ฮ่องเต้ตัวปลอมคนนั้นก็ชักมือที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าห่มออกมาแล้วผลักอีกฝ่ายออกไปอย่างเต็มแรง
ซึ่งแรงที่ผลักออกไปนั้นนับว่าไม่เบาเลยทีเดียว คนคนนั้นกระอักเลือดพุ่งออกมาแล้วล้มตัวลงไปด้านข้าง ล้มทับใส่ชั้นวางกระถางดอกไม้ จนดอกดารารัตน์ร่วงตกลงพื้น ทำให้ทั้งใบหน้าเผ้าผมลำตัวของเขาเปียกปอนไปหมด
ฮ่องเต้ตัวปลอมที่อยู่บนเตียงก็พลันหยัดตัวขึ้นมาหมายจะลงมือจัดการอีกฝ่าย แต่คนคนนั้นตอบสนองทันท่วงที ยกเท้าเตะเศษแก้วที่แตกอยู่บนพื้นอัดใส่เขาในทันที
ฮ่องเต้ตัวปลอมยกมือขึ้นป้องกันตามสัญชาตญาณ มือสังหารคนนั้นจึงลุกขึ้นแล้วกระโดดถอยหลังไปหลบข้างใต้หน้าต่าง
ในตอนนั้นเองหลี่รุ่ยเสียงก็ได้ประคองฮ่องเต้ตัวจริงออกมาจากด้านหลังม่านบังตานั้นแล้ว
มือสังหารคนนั้นยืนอยู่ตรงหน้าต่าง เมื่อครู่เขาถูกน้ำสาดโดนใส่หน้า จึงทำให้รอยแผลเป็นของปลอมที่แปะติดไว้บนใบหน้าซีกซ้ายหลุดลอกออกมา
ซึ่งใบหน้านั้น…
เป็นฉู่อี้เจี่ยนที่ลอบหนีออกไปคนนั้นชัดๆ
“ฝ่าบาททรงคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำเยี่ยงนักพ่ะย่ะค่ะ เขาแอบลักลอบกลับมาจริงด้วย” หลี่รุ่ยเสียงกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ พลางประคองฮ่องเต้ที่หอบหายใจแรง
ทหารองครักษ์ที่อยู่ด้านนอกต่างกรูกันเข้ามาด้านใน
ม่านบังตาถูกกระตุกออก
ฉู่ซินรุ่ยยืนอยู่ด้านหลังกลุ่มผู้คน มองไปยังพี่ชายแท้ๆ ของตนที่ท่าทางดูไม่จืดด้วยความตกใจกลัว
“เจ้ายังไม่ตาย จะให้ข้ายอมล้มเลิกไปง่ายๆ แบบนี้ได้อย่างไร?” ฉู่อี้เจี่ยนกุมหน้าอกแล้วยิ้มเย็นชาอย่างไร้ซึ่งความหวาดกลัว
“จัดการมันซะ!” ฮ่องเต้สั่งการเสียงแข็ง ทว่าน้ำเสียงนั้นที่เปล่งออกมากลับสั่นคลอน
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีคนมากกว่า ฉู่อี้เจี่ยนเองก็ไม่ดึงดันที่จะต่อกรด้วย เขากระโดดข้ามหน้าต่างบานนั้นออกไป
“รีบไล่ตามไปเดี๋ยวนี้!” ฮ่องเต้หายใจไม่ทัน หลี่รุ่ยเสียงจึงสั่งการแทนเขา “ไม่ว่าจะจับเป็นหรือจับตาย อย่างไรก็ห้ามปล่อยให้เขาหนีรอดไปได้เด็ดขาด!”
“ขอรับ!” เหล่าทหารองครักษ์ขานรับคำสั่ง
ในเวลานี้ฮ่องเต้ยังจะมีกะจิตกะใจรอข่าวอยู่ที่นี่ต่อได้อย่างไร เขาเลยรีบตามออกไปด้านนอกด้วยร่างกายสั่นเทา
ขุนนองที่นั่งคุกเข่าหมอบคลานอยู่เต็มพื้นหันหน้ามองกัน จนกระทั่งฮ่องเต้เดินลับสายตาไป พวกเขาถึงค่อยได้เริ่มรู้สึกตัวขึ้นมา…
องค์ชายเจี่ยนแห่งจวนอ๋องรุ่ยชินที่ได้ขึ้นชื่อว่าจงรักภักดีต่อราชวงศ์มานานแสนนาน กลับลอบสังหารฮ่องเต้ต่อหน้าต่อตาพวกเขาภายในพระราชฐานชั้นใน!
เหล่าขุนนางที่นั่งอยู่ตรงนั้นงงตาเหลือก ต่างคนต่างหันมองกันอยู่นานกว่าจะรู้สึกตัวขึ้นมา
ฮ่องเต้ไล่ตามออกไปแล้ว พวกเขาเองก็นั่งนิ่งรออยู่ตรงนี้ไม่ได้ ต่างคนก็รีบแย่งกันไล่ตามเขาออกไป
หลังจากผู้คนออกไปกันหมดแล้ว ก็เหลือเพียงเฟิงเหลียนเซิ่งและข้ารับใช้ของเขาอยู่สองคน
เฟิงเหลียนเซิ่งชายตามองหลี่เหวยด้วยใบหน้ามืดมน “เขาตามพวกเราเข้ามารึ?”
“ขอรับ!” สีหน้าหลี่เหวยแย่ยิ่งกว่าเขามากนัก “บนใบหน้าของกุ้ยซานมีปาน เวลาปกติเขาจะดึงปีกหมวกปิดหน้า ช่วงนี้เขาติดตามท่านเข้าวังอยู่บ่อยครั้ง เพราะงั้นก็เลย…”
เฟิงเหลียนเซิ่งเป็นแขกที่มาจากต่างบ้านต่างเมือง ทั้งยังเป็นคนมียศมีศักดิ์สูงส่ง ทุกคนก็เลยให้ความสนใจเขาเป็นอย่างมาก ข้างกายเขามีข้ารับใช้ที่มีปานบนใบหน้าอยู่หนึ่งคน ซึ่งเกือบทุกคนก็แทบจะรู้จักค่าหน้าค่าตาเขากันหมด
ในค่ำคืนวันนี้ ท้องฟ้ามืดมิดลมกรรโชกแรง ช่างเป็นบรรยากาศที่อันตรายเยี่ยงนัก ทหารยามที่เฝ้าประตูก็เพิ่งเปลี่ยนชุดใหม่ ดูท่าคงเห็นว่าเขามีปานครึ่งหน้าอันเป็นเอกลักษณ์แบบนั้นก็เลยคิดว่าเป็นเขา
อันที่จริงแล้วก็ไม่มีใครคาดคิดหรอกว่าฉู่อี้เจี่ยนจะกลับมาอีกครั้ง ยิ่งคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะปลอมตัวอยู่ท่ามกลางคนของเฟิงเหลียนเซิ่ง แล้วเข้าวังมาอย่างโอ่อ่าเปิดเผยแบบนั้นได้
“องค์รัชทายาทขอรับ หรือว่าคุณชายหรงกับฉู่อี้เจี่ยนวางแผนร่วมมือกัน? พวกเขาเตรียมการกันไว้ล่วงหน้าแล้ว ถึงได้มายืมมือคนของท่าน…” หลี่เหวยกล่าว เหงื่อผุดไหลเต็มหน้าผาก
หากทั้งสองคนวางแผนการกันเอาไว้แล้ว ถึงเฟิงเหลียนเซิ่งกับฉู่อี้เจี่ยนจะได้เจอกันกลางทาง ทั้งยังเจอกันด้วยความบังเอิญแบบนั้น และยังถือโอกาสแอบแฝงเข้ามาในขบวนทัพของเขาได้พอดิบพอดีแบบนี้ด้วยอีก?
นี่มันต้องเป็นการวางแผนล่วงหน้าของพวกเราชัดๆ ทุกอย่างมันถึงลงเอยอย่างพอดิบพอดีแบบนี้
“เขาไม่มีทางทำเรื่องโง่เขลาแบบนั้นหรอก!” ทว่าเฟิงเหลียนเซิ่งกลับหัวเราะขึ้นมาอย่างไม่เห็นด้วย “ถ้าจะบอกว่าเขาเปิดโอกาสให้ฉู่อี้เจี่ยนนั้นคงเป็นเรื่องจริง แต่หากบอกว่าพวกเขาร่วมมือกัน? งั้นมันคงเป็นเรื่องเหลวไหลเกินไป”
เรื่องที่ฉู่อี้เจี่ยนกระทำลงไปมีความเสี่ยงสูงนัก ใครจะไปรู้ล่ะว่าหากเข้าไปพัวพันแล้วจะพลอยซวยติดร่างแหไปด้วยหรือเปล่า?
เหยียนหลิงจวินอยู่ในสถานที่แห่งนี้ตัวคนเดียวไร้ญาติมิตร ไม่เกรงกลัวอะไรสักอย่าง พอเกิดเรื่องขึ้นอย่างมากก็แค่หนีหายไปอย่างไม่รู้ร้อน แต่ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างเขากับฉู่สวินหยาง…
ใครจะรับประกันได้ว่าวังบูรพาจะยอมถอนตัวกันเล่า?
“หากเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องทางตรง แล้วมันจะ…” หลี่เหวยยังรู้สึกยากที่จะเชื่ออยู่
“เพื่อฉู่สวินหยางแล้ว มีเรื่องอะไรที่เขาไม่กล้าทำอีกล่ะ?” เฟิงเหลียนเซิ่งกล่าว “เขาก็แค่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ฉู่อี้เจี่ยนนิดหน่อยเท่านั้น แต่ฉู่อี้เจี่ยนพลาดท่าเอง มันก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขาเลยสักนิด แต่ถ้าหากฉู่อี้เจี่ยนทำสำเร็จเข้า…”
เฟิงเหลียนเซิ่งพูดพลางก็ลูบมือแล้วยิ้มอย่างลึกลับ “ถ้าเขาถูกตราหน้าว่าเป็นกบฏขึ้นมา มันก็ไม่เกี่ยวกับเขาเลยสักนิดเหมือนกัน สุดท้ายคนที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุด เจ้าคิดว่าจะเป็นใครเล่า?”
แน่นอนว่าก็ต้องเป็นวังบูรพาอยู่แล้ว!
———————————————