สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 109.6 ต้องขอบคุณเจ้านะที่ช่วยปลดปล่อยข้า! (6)
ขอเพียงแค่ฮ่องเต้ถูกสังหาร เช่นนั้นฉู่อี้อันก็จะได้ขึ้นรับตำแหน่งอย่างสมใจแล้ว
เดิมทีเรื่องนี้มันก็ไม่ได้มีความเสี่ยงอะไรมากนัก หากฉู่อี้เจี่ยนทำสำเร็จ วังบูรพาก็พลอยได้รับผลประโยชน์ไปด้วย
แต่ถ้าฉู่อี้เจี่ยนทำพลาด นั่นก็เป็นแค่เรื่องของเขาแต่เพียงผู้เดียว
หลี่เหวยฟังแล้วสีหน้ากลับยิ่งเคร่งขรึมขึ้น พลางพูดว่า “ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินว่าตำหนักที่บรรทมของฮ่องเต้ถูกเผาตอนนั้น นอกจากองค์รัชทายาทแล้วคนที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้ ยังมีท่านอ๋องหนานเหออีกคนที่อ้างว่าตนป่วยไข้ เลยยังไม่ทันได้เข้าวัง โชคดีที่พ้นขีดอันตรายรอดชีวิตมาได้ ส่วนลูกชายคนอื่นๆ ของฮ่องเต้แห่งแคว้นซีเยว่…ก็ถูกไฟคลอกจนเสียชีวิตหมดทุกคนเลยขอรับ!”
“หืม?” ใบหน้าที่เคยยิ้มอย่างสง่างามของเฟิงเหลียนเซิ่งนั้น ได้ยินเข้าก็ขมวดคิ้วเข้าเป็นปม “อ๋องหนานเหออ้างว่าตนไม่สบายรึ?”
เขาพูดพลางก็ส่ายหัวคัดค้าน “กลัวก็แต่ว่าเขาไม่ได้อ้างว่าตนเจ็บป่วยเอง แต่ฉู่ฉีเหยียนกดดันบังคับให้เขาป่วยให้ได้น่ะสิ คราวนี้ถึงได้รอดชีวิตมาได้ พูดแล้ว…ตำแหน่งองค์รัชทายาทแห่งแคว้นซีเยว่นี่ก็ไม่ได้มั่นคงสักเท่าไรหรอก”
“งั้นหรือขอรับ?” ทว่าหลี่เหวยกลับไม่เชื่อ “ท่านอ๋องหนานเหอเป็นคนธรรมดาไม่ได้วิเศษวิโสอะไร เมื่อครั้งก่อนเพราะเรื่องโง่เขลาที่เขาทำลงไป ทำให้ฮ่องเต้แห่งแคว้นซีเยว่โกรธโมโหจนไม่สนใจเขา ถึงแม้ซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องหนานเหอจะมีกลยุทธ์มากสักเท่าไร แต่ถ้าเทียบกับองค์รัชทายาทแล้ว เขายังนับว่าห่างชั้นอีกมาก จะมีความสามารถถึงขั้นไปแย่งชิงตำแหน่งนั้นกับองค์รัชทายาทได้เยี่ยงไร?”
“เมื่อก่อนอาจจะใช่ แต่ตอนนี้มันก็ไม่แน่แล้ว!” เฟิงเหลียนเซิ่งพูดแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างลึกซึ้ง ใบหน้าเองก็พลันค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้น
เขายืนมือไพล่หลังมองไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนด้านนอกอันมืดมิด เวลาผ่านไปนานพอสมควรถึงค่อยหัวเราะออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยแล้วพูดว่า “ฮ่องเต้สูญเสียบุตรไปตอนอายุมากแบบนี้ คงตกใจไม่น้อยเลยทีเดียว บาดแผลที่ได้รับครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก นิสัยขี้ระแวงของเขาคงมากขึ้นไปอีกแน่นอน ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป…ในบรรดาลูกของเขา ไม่มีตัวเลือกอื่นอีกแล้ว เพื่อจะถ่วงดุลอำนาจขององค์รัชทายาท เพื่อให้มั่นใจว่าก่อนตายตัวเองยังมีอำนาจสูงสุดอยู่ในมือ เขาจะต้องโยกย้ายตำแหน่งของคนผู้เป็นหลานมาแน่นอน ไม่เชื่อเจ้าก็คอยดูสิ ซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องหนานเหอจะเป็นคนที่น่าจับตามองมากเชียวล่ะ”
หลี่เหวยติดตามเฟิงเหลียนเซิ่งมาตั้งแต่เด็ก เขาเองก็รู้และเชี่ยวชาญเรื่องเล่ห์กลที่ฮ่องเต้มักจะใช้เป็นอย่างดี
เท่าที่ดูจากนิสัยของฉู่เป้ยแล้ว เป็นไปได้ว่าจะเกิดเหตุการณ์เหมือนอย่างที่เฟิงเหลียนเซิ่งพูด
“แต่ดูจากสภาพแบบนั้นของเขา เกรงว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อในไม่นานแล้วนะขอรับ!” หลี่เหวยขบคิดแล้วพูดขึ้น
“เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับพวกเราหรอก” เฟิงเหลียนเซิ่งยิ้มจางๆ “ไปกันเถอะ พวกเราก็ตามไปดูด้วยดีกว่า!”
“ขอรับ!” หลี่เหวยขานตอบ จากนั้นก็เดินตามเขาออกไปด้านนอก แต่เมื่อเดินไปได้เพียงสองก้าว เขาก็อดกังวลไม่ได้ว่า “องค์รัชทายาทขอรับ องค์ชายเจี่ยนเขาสวมรอยเป็นกุ้ยซานเพื่อเข้าวังแบบนี้ เดี๋ยวภายหลังฮ่องเต้แห่งแคว้นซีเยว่เขาจะเอาผิด…”
“เมื่อกี้ด้านในนั้นวุ่นวายชุลมุนขนาดนั้น ใครจะไปรู้ว่าเป็นเขาได้ล่ะ?” เฟิงเหลียนเซิ่งพูดโดยไม่แยแสเลยสักนิด “ถือโอกาสตอนนี้ที่ยังพอมีเวลาเหลืออยู่ เจ้าไปหากุ้ยซานมาให้ได้ก็พอแล้วไม่ใช่หรือไง!”
ถึงแม้วิธีนี้มันจะไม่ได้ปลอดภัยน่าเชื่อถือมากนัก แต่มันก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดในตอนนี้แล้ว
หลี่เหวยขานตอบแล้วปลีกตัวออกไป
ตอนนี้เฟิงเหลียนเซิ่งถึงค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมา แล้วค่อยๆ เดินออกจากตำหนักเจียวไท่อย่างเอ้อระเหยลอยชาย
เพราะการกลับมาของฉู่อี้เจี่ยน ทำให้พระราชวังวุ่นวายขึ้นมาอีกครั้ง
กองทหารองครักษ์ออกตรวจสอบตามหาทุกซอกทุกมุมอย่างถี่ถ้วน
ทว่าเขากลับรู้แผนผังของพระราชวังแห่งนี้เป็นอย่างดี เมื่อหลบหนีไปออกจากทางหน้าต่างด้านหลังของตำหนักเจียวไท่ไปแล้ว ก็หายตัวไปไม่เห็นแม้แต่เงา
เวลานี้ฮ่องเต้ก็ไม่อาจวางใจได้ลงแม้แต่น้อย เขาสั่งให้องครักษ์ลับคอยอารักขาอยู่ข้างกาย แล้วยืนมองกองทหารองครักษ์ไล่ต้นตรวจสอบวังอย่างละเอียดจากอุทยานหลวง
ภายในพระราชวังเกิดเสียงดังก้องวุ่นวายจลาจลไม่เหลือชิ้นดี
บรรดาพระชายาทั้งหลายต่างก็ลงกลอนขังตัวเองอยู่ในห้อง ไม่กล้าแม้แต่โผล่หน้าออกมา กลัวว่าหากใครคนหนึ่งโชคร้ายก็ต้องสังเวยด้วยชีวิต
ฉู่ซินรุ่ยออกมาจากตำหนักเจียวไท่ นางถือโอกาสตอนที่เกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้นหลบหนีออกมา แล้วแอบซ่อนอยู่ด้านหลังรูปปั้นหินสิงโตที่ตั้งอยู่ด้านข้างตำหนัก เฝ้ารอให้ผู้คนเดินออกไปไกลแล้ว นางถึงค่อยเปลี่ยนทิศทาง มุ่งหน้าไปยังตำหนักที่บรรทมของฮ่องเต้
นางเดินทางอย่างรีบร้อน ในขณะที่กำลังรีบไปยังจุดหมายอยู่ตอนนั้น ก็ยังมองเห็นมีไฟลุกลามสูงเสียดฟ้าอยู่
พวกทหารองครักษ์ดับไฟมาได้สองชั่วยามแล้ว แต่ทำอย่างไรก็ดับไม่ได้สักที และค่ำคืนนี้ยังมีลมโบกพัดแรงนัก ยิ่งทำให้เปลวเพลิงลุกลามได้ง่าย จนตำหนักทั้งสองที่ตั้งอยู่ด้านข้างเองก็พลอยโดนไฟไหม้ไปด้วย
นางเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองต้องมายังที่แห่งนี้ แต่ความรู้สึกนางสั่งให้มา นางรู้สึกว่าฉู่อี้เจี่ยนต้องปรากฏตัวขึ้นที่นี่แน่นอน
นางเดินเลียบๆ เคียงๆ รอบนอกของกองเพลิงไปอย่างสะบักสะบอม ระหว่างที่เดินไปก็สอดส่องรอบทิศอย่างระมัดระวัง ในขณะที่กำลังตื่นเต้นกดดันอยู่ตอนนั้น จู่ๆ ก็ถูกคนลากเข้าไปในพุ่มไม้แล้วอุดปากของตนเอาไว้
ฉู่ซินรุ่ยได้สติก็พยายามจะแหกปากตะโกน แต่ด้วยกลิ่นคาวเลือดที่ติดอยู่บนฝ่ามือของคนคนนั้นทำให้นางหวาดกลัว
จากนั้นวินาทีต่อมานางก็หยุดเกร็ง ผ่อนคลายร่างกาย แล้วน้ำตาก็ไหลพร่วงพรูออกมา
ราวกับว่าร่างกายของคนที่อยู่ด้านหลังไม่ค่อยอำนวยเท่าไรนัก แค่ลากตัวนางมาได้เสร็จ ก็ล้มกองลงไปนั่งกับพื้นอย่างอ่อนแรง
ฉู่ซินรุ่ยเองก็ล้มลงไปพร้อมกับเขา เมื่อลุกขึ้นมา นางก็คว้าศีรษะของคนคนนั้นเข้ามากอดแล้วเรียกเขาด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า ‘พี่ห้า!’ โดยที่ไม่สนใจว่าตรงนั้นมันจะมืดมนจนมองไม่เห็นหน้าอีกฝ่ายว่าใครเป็นใคร
เดิมทีร่างกายของฉู่อี้เจี่ยนก็ไม่แข็งแรงอยู่แล้ว เมื่อโดนองครักษ์ลับผลักเต็มแรงเยี่ยงนั้น ก็ทำให้ร่างกายของเขายิ่งรับไม่ไหว
เขาเองก็ไม่ได้ต่อต้านขัดขืน ปล่อยให้ฉู่ซินรุ่ยกอดตนเอาไว้อยู่อย่างนั้น
ฉู่ซินรุ่ยน้ำตาไหลพรากอย่างหยุดไม่ได้ ทว่านางไม่กล้าร้องไห้ออกมาเสียงดัง เอาแต่พูดซ้ำไปซ้ำมาว่า “ขอโทษเจ้าค่ะ เป็นเพราะข้าเอง ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง!”
ตอนแรกถ้านางไม่ได้รีบร้อนกระทำลงไป เพื่อหวังประโยชน์นั้น แล้วทำให้ฮ่องเต้รู้สึกเอะใจขึ้นมา ฉู่อี้เจี่ยนก็คงไม่ต้องถูกกดดันยอมทำทุกสิ่งทุกอย่างจนถึงขั้นนี้
ภายหลังหากนางไม่ได้ตัดสินใจส่งนักฆ่าไป เพียงเพื่อต้องการจะล้างแค้นส่วนตัวกับฉู่สวินหยางแบบนั้น พี่ชายของตนก็คงไม่อับจนหนทางเช่นนี้หรอก
ขอเพียงแค่ฮ่องเต้สวรรคต ฉู่อี้อันก็จะได้รับผลประโยชน์ ไม่แน่พวกเขาอาจจะไม่ตามล่าพวกเราต่อก็ได้
แต่ตอนนี้…
นางแตะต้องฉู่สวินหยาง นั่นก็หมายความว่าได้ตัดเส้นทางอนาคตของตัวเองทิ้งไปเรียบร้อยแล้ว
วินาทีนี้สามารถอธิบายความรู้สึกในใจของฉู่ซินรุ่ยได้ว่า…
เสียดายที่ไม่ทำแบบนั้นไปตั้งแต่ตอนแรก!
ฉู่อี้เจี่ยนเองก็ไร้เรี่ยวแรงที่จะตอบโต้นาง เขานอนหนุนขานางอยู่ได้สักพักใหญ่ ถึงค่อยเริ่มมีแรงขึ้นมา
“หึ…” เขาหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงแหบกร้าน ทั้งเย้ยหยันตัวเอง ทั้งไร้เรี่ยวแรง ทว่ากลับไม่มีความรู้สึกเลวร้ายหรือโกรธแค้นแฝงอยู่เลยสักนิด “ย้อนเวลากลับมาได้อีกครั้ง สุดท้ายข้าก็ยังล้มเหลวเพราะพลาดไปเพียงก้าวเดียวอีกแล้วสินะ ดูท่าคงเป็นชะตาฟ้าลิขิตให้คนตระกูลฉู่ทุกคนต้องตกอยู่ในน้ำมือของเขา ไม่เว้นแม้แต่ตัวข้าสินะ”
“พี่ห้า ท่านอย่าพูดแบบนี้สิเจ้าคะ พวกเรายังมีโอกาสอยู่” ฉู่ซินรุ่ยกล่าวพลางร่ำไห้โอบกอดเขาไว้ “ท่านบาดเจ็บอยู่ อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยเจ้าค่ะ รอให้รักษาตัวให้หายดีก่อน พวกเรายังมีโอกาสอยู่ พวกเรามาเริ่มต้นกันใหม่กันอีกครั้ง!”
“ไม่มีโอกาสแล้ว” ฉู่อี้เจี่ยนส่ายศีรษะ แล้วยันตัวลุกขึ้นนั่ง
ภายใต้ความมืดมิด ทั้งสองนั่งสบตามองกันอยู่เงียบๆ ทว่าใครต่างก็มองไม่เห็นสีหน้าและแววตาของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
ฉู่ซินรุ่ยร้องไห้เศร้าโศกเสียใจ
ฉู่อี้เจี่ยนยกมือลูบเบ้าตาของนาง พลางเช็ดน้ำตาให้อย่างเบามือ
—————————————-