สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 11.3 หวงจ่างซุนตายแล้ว! (3)
เมื่อพูดจบเขาก็ปีนป่ายขึ้นไปบนหลังม้า แล้วควบม้านำหน้าผู้ติดตามเขาทั้งสองคนไกลพ้นออกไป
ฉู่หลิงอวิ้นยืนอยู่ที่เดิมไม่ไหวติง
นางคอตกเมื่อถูกส่งตัวออกจากเมืองไป ในใจคิดว่าไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามใจอ่อนเด็ดขาด แต่หากนางไม่ไป…
หากเป็นจริงตามที่ฉู่ฉีเหยียนพูดล่ะก็ นางยังคงอยู่ที่นี่ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวยเช่นนี้ต่อไปก็มีแต่จะทำให้ตนเองขายหน้า!
ทางด้านฉู่หลิงอวิ้นขณะที่กำลังพะวักพะวนอยู่ ก็มีเสียงแช่งด่าของหญิงคนหนึ่งที่กำลังแยกเขี้ยวยิงฟัน “เจ้ามันเลว! เจ้าทำให้ตระกูลจางของข้าต้องทนทุกข์ทรมาน ข้าจะสู้จนตัวตาย!
ไม่ต้องหันหลังไปมองนางก็รู้ทันทีว่าเป็นฮูหยินจางและจางอวิ๋นเจี่ยนกำลังเดินมา
เวลานี้นางไม่ได้อยู่ที่ห้องทรงพระอักษร ทุกคนต่างมีสัญชาตญาณระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา ขณะที่ฮูหยินจางพูด นางดูราวกับสัตว์ร้ายตัวเมียตัวหนึ่งที่คลุ้มคลั่งร้องคำรามแล้วกระโดดพุ่งเข้ามา
ทหารคุ้มกันที่ฉู่ฉีเหยียนให้ติดตามมาด้วยก็รุดหน้าไปฉุดดึงฮูหยินจาง
ตอนนี้ตระกูลจางก็ไม่มียศศักดิ์ ส่วนฮูหยินจางก็กลายเป็นเพียงหญิงชาวบ้านธรรมดาทั่วไป เหล่าทหารคุ้มกันไม่รอช้าจ้องมองนางไม่คลาดสายตา แล้วกดนางคว่ำลงกับพื้น
“โอ๊ย!” ฮูหยินจางล้มลงไปนอนบนพื้นร้องอุทานออกมา
“ท่านแม่!” จางอวิ๋นเจี่ยนและภรรยารีบวิ่งกรูเข้าไปพยุงฮูหยินจางขึ้นมา
ฮูหยินจางก็รู้ว่าอีกฝ่ายมีกำลังคนมากกว่านางไม่สามารถเอาชนะได้ แล้วยังแผดเสียงกึกก้องร้องกระวนกระวาย
จางอวิ๋นเจี่ยนนิ่งเงียบ สายตาจับจ้องมองฉู่หลิงอวิ้น แววตาร้ายกาจราวกับจะกินเลือดกินเนื้อนางอย่างเลือดเย็น
เมื่อครู่ฉู่หลิงอวิ้นขวัญผวา นางถูกเขาจ้องเขม็งจนขนหัวลุกชาไปทั่ว หมุนตัวตะกายขึ้นม้าหนีไปโดยไม่พูดสักคำ
—————————–
ณ จวนอ๋องหนานเหอ
ฉู่ฉีเหยียนนำคนมาเพิ่งลงจากม้า พ่อบ้านก็โค้งคำนับตั้งแต่อยู่ในบ้านแล้ววิ่งออกมา “ซื่อจื่อ ท่านอ๋องเชิญท่านไปพบที่ห้องหนังสือขอรับ”
“อืม!” ฉู่ฉีเหยียนขาไม่หยุดก้าวเดินไปพลางตอบกลับ สาวก้าวเท้ายาวเดินตรงเข้าไป
สีหน้าฉู่อี้หมินไม่สู้ดีนักเต็มไปด้วยโทสะที่สามารถปะทุได้ทุกเมื่อนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน เห็นเขาผลักประตูเข้ามาก็พูดน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “เจ้านำตัวนังหญิงถ่อยนั่นไปส่งแล้วรึ?”
“อืม!” ฉู่ฉีเหยียนตอบด้วยสีหน้าเฉยเมย แต่กลับไม่แยแสในหัวข้อสนทนานี้ เขาไม่สนใจว่าฉู่อี้หมินมีทัศนคติอย่างไรต่อฉู่หลิงอวิ้น เพราะว่าภูมิหลังของฉู่หลิงอวิ้นเกิดที่จวนอ๋องหนานเหอความจริงนี้ไม่อาจแก้ไขได้ ไม่จำเป็นจะต้องปวดศีรษะกับเรื่องเช่นนี้
พอฉู่อี้หมินพูดถึงเรื่องของฉู่หลิงอวิ้นก็รู้สึกหายใจติดขัดจึงพยายามเบี่ยงเบนประเด็นว่า “ครั้งนั้นตอนที่อยู่ด้านนอกห้องทรงพระอักษรเจ้ามีอะไรจะพูดรึ?”
“ใช่!” ฉู่ฉีเหยียนตอบ “แผนการของท่านอ๋องข้ารู้ดี แต่ว่าตอนนี้ข้าว่าเรื่องของวังบูรพา เราไม่สมควรเข้าไปก้าวก่าย ฝ่าบาททรงปรีชาสามารถ เรื่องที่ท่านกับข้านึกขึ้นได้ มีหรือฝ่าบาทจะเดาไม่ออก? ตอนนี้เราพูดมากไปผลที่ได้กลับตรงกันข้าม ซ้ำยังก่อให้เกิดข้อกังขา โดยเฉพาะเรื่องที่ไม่คาดคิดมักเกิดขึ้นได้เสมอ สังเกตจากการกระทำของคนวังบูรพาก็รู้แล้ว!”
ฮ่องเต้เป็นคนขี้ระแวง ตอนนี้อายุมากขึ้นอารมณ์ก็ยิ่งแปรปรวน
ฉู่อี้หมินชั่งใจไตร่ตรอง แม้ว่าในใจร้อนรนแต่ก็คิดว่าคำพูดของฉู่ฉีเหยียนฟังดูมีเหตุผล จึงผงกหน้าพลางเอ่ยว่า“อืม เรื่องนี้ข้ารู้แล้วว่าต้องทำอย่างไร!”
นิ่งเงียบไปชั่วขณะแล้วเขาก็เงยหน้าขึ้นมามองไปยังลูกชายของตนเองอีกครั้ง คิดอีกหนและกำลังอ้าปากพูด “เรื่องของฉู่ฉีฮุย…”
“ข้าก็ไม่รู้” ฉู่ฉีเหยียนตอบกลับไป “ตอนนี้สถานการณ์คับขัน ข้ายืนยันคำพูดเดิมว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดมักเกิดขึ้นได้เสมอ เพื่อที่จะไม่พลอยติดร่างแหไปด้วย เรื่องนี้เราคอยดูอยู่ห่างๆ ก็พอ ไม่ว่าใครเป็นคนทำ ข้าคิดว่าสำหรับเราแล้วทำกำไรเป็นกอบเป็นกำเชียว เรื่องอื่นท่านไม่ต้องอยากรู้หรอก”
ฉู่อี้หมินขมวดหัวคิ้วแสดงออกว่าเขาไม่เชื่อใจ “ไม่ใช่เจ้าจริงๆ…”
“ไม่ใช่ข้า!” ฉู่ฉีเหยียนตอบอย่างหนักแน่นมั่นใจ
“งั้นก็ดี!” ฉู่อี้หมินเห็นเขาสีหน้าสงบนิ่ง ไม่ได้ทำอย่างขอไปที เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่โล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก เขานวดวนขมับพลางพูด “ชั่วชีวิตของเขาที่ยากได้เจอก็คือเรื่องพรรค์นี้ ขอเพียงไม่เกี่ยวโยงกับเจ้าก็ดีแล้ว”
คำว่า ‘เขา’ ในที่นี้กำลังกล่าวถึงฉู่อี้อัน
เป็นพี่น้องแท้ๆ กันมาหลายสิบปี เขาปฏิบัติต่อฉู่อี้หมินดั่งคนเป็นพี่เป็นน้อง ลักษณะนิสัยของพี่ชายตนเองเขาย่อมรู้ดีไม่แพ้ใคร ฉู่อี้อันวางตัวปฏิบัติต่อบุตรของตนเองอย่างฉู่ฉีฮุย ไม่เหมือนกับฉู่สวินหยางที่รักใคร่โปรดปรานแม้แต่น้อยแต่ท้ายที่สุดเขาทั้งสองต่างก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาเอง
“ลูกเข้าใจแล้ว!” ฉู่ฉีเหยียนตอบ เห็นเขาเผยสีหน้าที่อิดโรย “ท่านพ่อเหนื่อยมาทั้งคืนแล้ว อย่าเพิ่งคิดมากไปเลย พักผ่อนก่อนเถิด!”
“ก็ได้!” ฉู่อี้หมินพยักหน้า สองพ่อลูกลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องหนังสือ
ฉู่อี้หมินไปยังห้องแต่งตัว ส่วนฉู่ฉีเหยียนก็เดินผ่านห้องหนังสือของลานบ้าน
ขณะนั้นหลี่หลินกำลังพาตัวทหารคุ้มกันคนรูปร่างเล็กรอฉู่ฉีเหยียนอยู่
“ซื่อจื่อ!” พวกเขาเห็นฉู่ฉีเหยียนกลับมารีบโน้มคำนับ
“เกิดอะไรขึ้น? เรื่องที่ข้ามอบหมายให้พวกเจ้าไปทำมีปัญหาหรือ?” ฉู่ฉีเหยียนถามพลางนั่งลงบนเก้าอี้ ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบ
เมื่อสักครู่ตอนที่อยู่กับฉู่อี้หมินเขาไม่ได้พูดความจริง…
ความจริงแล้วเขาเป็นคนส่งคนไปสังเกตการณ์ลอบฆ่าฉู่ฉีฮุย กอบโกยประโยชน์จากคนๆ นี้หลอกใช้ให้ได้มากที่สุด ส่วนคำพูดของฉู่อี้หมินที่มีความกังวลต่อฉู่อี้อัน…
ก็ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงเรื่องนี้อีกแล้ว
ใต้หล้านี้ล้วนแล้วแต่คำนึงถึงผลประโยชน์ทั้งสองฝ่ายจะได้รับ ตั้งแต่ที่เขาตัดสินใจจะต่อสู้กับวังบูรพาเพื่อช่วงชิงบัลลังก์นั้น ความลังเลเหล่านี้ควรที่จะเลิกล้มไปให้สิ้น ในเมื่อเป็นศัตรูกันแล้ว ตอนที่จะลงมือไม่ควรยั้งมือหรือลังเลเป็นอันขาด นี่เป็นหนทางสู่การเป็นผู้ชนะที่ได้เป็นเจ้า และหากแพ้ต้องกลายเป็นโจร หากวันนี้เขาไม่ลงมือ วันหลังจะต้องพ่ายแพ้ อีกฝ่ายไม่มีทางใจอ่อนละเว้นชีวิตแน่นอน
ทว่าแม้ฉู่อี้หมินจะเป็นกังวล เขาทำเช่นนี้มาหลายครั้งโดยอาศัยเรื่องนี้เป็นเหตุผลในการปิดบัง
“เกิดเรื่องขึ้นจริงขอรับ” ทหารคุ้มกันรูปร่างเล็กนามว่าต่งเหลียงอี้ ข้าตอบว่า “ข้าน้อยไปช้าหนึ่งก้าว หวงจ่างซุน…พวกเราไม่ได้เป็นคนสังหารเขา!”
ฉู่ฉีเหยียนสายตาเพ่งมอง ในมือที่ถือถ้วยชาแล้วนิ่งไปชั่วขณะ “ไม่ใช่เจ้า? แล้วเป็นใคร?”
“ไม่ทราบขอรับ!” ต่งเหลียงอี้ตอบว่า “ตอนกลางดึกที่ข้าน้อยรีบพาคนติดตามไปหวงจ่างซุนเขาได้ตายไปแล้ว พยานปากที่รอดชีวิตก็ตายหมดแล้ว อีกทั้งยังไม่พบเบาะแสร่องรอยแต่อย่างใด เดิมทีข้าน้อยอยากตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุว่ามีเบาะแสหรือไม่ แต่ต่อมาคนของศาลาว่าการพระนครก็โผล่มา เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นอีกข้าน้อยจึงรีบกลับมารายงานขอรับ!”
ฉู่ฉีเหยียนถือถ้วยน้ำชาในมือ มือของเขาคลึงเคล้นผิวภายนอกของถ้วยน้ำชา ผ่านไปนานก็ยังไม่พูดออกมาสักคำ
จนแล้วจนรอดเขาก็วางถ้วยชาลง หยิบเอาผ้ามาเช็ดมือพลางเอ่ย “พวกเจ้าออกไปเถอะ!”
จนกระทั่งประตูห้องหนังสือปิดสนิท หลี่หลินสีหน้าเป็นกังวลเอ่ยปากถามว่า “ซื่อจื่อ ท่านคิดว่า…เรื่องนี้น่าจะเป็นฝีมือคังจวิ้นอ๋องจริงๆ หรือ?”
ฉู่ฉีเหยียนกระตุกมุมปาก แววตาเผยท่าทีสนใจขึ้นมา ถามกลับไป “ก็ใช่น่ะสิ หรือว่า…จะเป็นฉู่ฉีเฟิงจริงๆ งั้นรึ?”
นิสัยใจคอของฉู่อี้อัน เขารู้ดี ฉู่ฉีเฟิงจะไม่เข้าใจได้อย่างไร?
ถือเสียว่าฉู่ฉีฮุยไม่อาจกระทำการใหญ่สำเร็จ แต่ว่าไม่ว่าจะพูดอย่างไรเขาก็เป็นถึงพี่น้องที่ร่วมพ่อต่างมารดา หากฉู่ฉีเฟิงเป็นคนทำจริงๆ…
เช่นนั้นไม่ใช่ว่าเสี่ยงไปสำหรับเขาหรอกหรือ?
ถึงแม้ว่าเขาจะมีเหตุผลที่จะกำจัดฉู่ฉีฮุย แต่พอเป็นเช่นนี้กลับกระตุ้นให้ความสัมพันธ์พ่อลูกระหว่างเขากับฉู่อี้อันดูมีพิรุธแม้ว่าจะได้ไม่คุ้มเสีย?
แต่ถ้าไม่ใช่ฉู่ฉีเฟิง…
นอกจากตนเองแล้ว จะมีใครต้องการจะเดินหมากผลุบๆ โผล่ๆ ใส่ร้ายป้ายสีฉู่ฉีเฟิงเช่นนี้อีก?
ค่ำคืนนี้เกิดเรื่องขึ้นมากมาย หลี่หลินท่าทางสูญเสียความรู้สึกเฉยเมยที่มีเมื่อก่อนเคยเป็นไป เขาใจร้อนดั่งไฟเดินไปเดินมาอยู่ในห้องแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ สุดท้ายแล้วคนที่ซื้อตัวทหารคุ้มกันฉกฉวยข่าวที่หวงจ่างซุนถูกลอบทำร้ายไปรายงานก็คือคังจวิ้นอ๋อง ก่อนหน้าเขาเสียน้ำแรงเพื่อจะเอาชีวิตท่านหญิงฉู่สวินหยางให้ตายคาที่ สุดท้ายไม่รู้ว่าทำไมจึงเปลี่ยนความคิด? เขาอาจจะมีแผนสำรองหรืออุบายที่เตรียมกันเอาไว้หรืออย่างไร?”
พอพูดถึงเรื่องนี้สีหน้าของฉู่ฉีเหยียนก็เย็นชากล่าวว่า “มีอะไรที่ยากจะเข้าใจหรือ? เรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ถึงแม้พี่ใหญ่มีชีวิตอยู่อีกเพียงแค่หนึ่งวัน แต่สำหรับอ๋องหนานเหอ นางถือเป็นภาระใหญ่หลวง นางถูกฮ่องเต้เกลียดชัง ซ้ำยังสูญเสียความโปรดปรานจากหลัวฮองเฮา การที่นางยังมีชีวิตอยู่ก็กลายเป็นเสี้ยนหนาม ต่อแต่นี้เป็นต้นไปไม่ว่าใครหน้าไหนเพียงแค่นึกถึงอ๋องหนานเหอต่างเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องนึกถึงนาง จะว่าไปอุบายนี้ของฉู่ฉีเฟิงช่างร้ายกาจยิ่งนัก เขาต้องการจะดึงเอาอ๋องหนานเหอลงมาตกหลุมพรางจนไม่อาจรอดไปได้!”
หากดูวิธีการวางแผนของฉู่ฉีเฟิง ความตั้งใจเริ่มแรกของเขาคล้ายกับว่าจะทุ่มสุดกำลังเพื่อที่จะเอาชีวิตฉู่หลิงอวิ้น แต่สุดท้ายโอกาสที่สำคัญก็มาพลิกฉับพลัน จึงต้องเปลี่ยนแปลงกลอุบายอีกครั้ง
เพราะเหตุใด? เป็นเพราะเขาวางแผนไว้นานแล้ว?
หรือเป็นเพราะคิดขึ้นมาได้กะทันหัน?
ในสมองของฉู่ฉีเหยียนเปล่งรัศมีออกมา ส่งผลให้การหายใจระงับฉับพลัน…
ฉู่ฉีฮุยถูกฆ่า ฉู่ฉีเฟิงจึงเร่งรีบนำข่าวนี้ไปเปลี่ยนแปลงแผนที่เขาเคยวางไว้ ทำให้ฉู่หลิงอวิ้นรอดชีวิตมา ตอนนี้มีความเป็นไปได้สองประการ ประการแรกการตายของฉู่ฉีฮุยทุกอย่างเป็นไปตามแผนการที่เขาวางไว้ ดังนั้นเขาจึงใช้โอกาสนี้หยิบเอาข่าวร้ายที่บังเอิญเกิดขึ้นพอดิบพอดีนี้ เป็นเครื่องมือในการวางแผนครั้งใหม่ ส่วนอีกหนึ่งความเป็นไปได้…
————————————-