สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 110 ข้าเป็นใครมาจากไหนไม่รู้ เจ้ายังต้องการข้าอยู่อีกหรือ? (5)
- Home
- สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2
- บทที่ 110 ข้าเป็นใครมาจากไหนไม่รู้ เจ้ายังต้องการข้าอยู่อีกหรือ? (5)
เมื่อเห็นว่าฉู่ฉีเหยียนกำลังจะหลบได้ ฉู่สวินหยางเองก็ไม่ได้ผิดหวัง นางเพียงแค่นยิ้ม สะบัดกระโปรงแล้วลุกขึ้น หันหลังแล้วเดินตรงดิ่งออกไปทางด้านประตู
ในมือของฉู่ฉีเหยียนยังคงค้างอยู่ท่าเดิมกลางอากาศ เขาพยายามบังคับไม่ให้ตัวเองหันไปมองแผ่นหลังของนาง แต่ข่มตาลงอย่างเจ็บใจแล้วพูดเสียงเย็นชาว่า “ดี! สวินหยางเจ้าจงจำเอาไว้ ว่าวันนี้เป็นครั้งแรกที่เจ้าลงมือจัดการข้า และก็เป็นวันที่เจ้ามอบโอกาสให้ข้ามีข้ออ้างได้ประกาศเป็นศัตรูกับเจ้าอย่างเป็นทางการ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะไม่มีวันออมมือให้เจ้าอีก!”
“นั้นก็ย่อมเป็นเรื่องดี!” ฉู่สวินหยางพูดด้วยน้ำเสียงสบายอารมณ์ แถมยังแฝงไปด้วยเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข ฝีเท้าของนางไม่ได้หยุดลง ชายกระโปรงปลิวลอยออกจากสายตาการมองเห็นของเขาไป
ฉู่ฉีเหยียนยืนอยู่ตรงนั้นอยู่นาน จู่ๆ ริมฝีปากก็ขยับยกขึ้น เผยรอยยิ้มซับซ้อนอย่างถึงที่สุดออกมา
ทำไมบัลลังก์ทองนี้ถึงต้องควรให้ฉู่ฉีเฟิงด้วย? ในเส้นทางอำนาจเส้นนี้ เขาไม่มีทางหันหลังกลับได้เลย แต่หากเดินบนเส้นทางตรงหน้านี้ต่อไป…
ฉู่สวินหยางเองก็ไม่มีวันหันหลังกลับเช่นกัน!
ระหว่างเขากับนาง หั่นสะบั้นแยกฝักแยกฝ่ายลงด้วยในดาบเดียว ดาบนี้ดูเหมือนจะแบ่งแยกการแก่งแย่งชิงดีของเส้นทางแห่งอำนาจเท่านั้น แต่ในขณะเดียวกันมันก็ได้แบ่งแยกจิตใจของพวกเขาสองคน
ที่ไม่…
ไม่มีช่องว่างให้หันกลับมาได้อีก!
นางเอง…
ก็ไม่สามารถหันหลังกลับได้เช่นกัน!
เขาไม่อยากชี้ดาบเข้าหานาง เพราะฉะนั้น…
จึงปล่อยให้นางเป็นคนยื่นดาบนี้ตัดขาดความสัมพันธ์ด้วยตัวเอง!
ดี! แบบนี้สิยิ่งดีเหลือเกิน!
เพียงครู่ ฉู่ฉีเหยียนก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
เขาคลายมือออก ฝุ่นไม้ในมือที่กำตะเกียบที่หักเป็นท่อนร่วงหล่นลงพื้น
เขาแค่นหัวเราะ แล้วก็หมุนตัวก้าวเท้าเดินจากไป เหยียบย่ำรอยเท้าของฉู่สวินหยางที่เพิ่งเดินจากไปเช่นเดียวกัน!
ฉู่สวินหยางเดินลงมาจากเรือน เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นเพียงแต่ม้าของเหยียนหลิงจวินที่หยุดรออยู่ตรงหน้าประตู ไม่มีใครคนอื่นอีก นางคิดในใจว่าเขาคงมีเรื่องเร่งด่วนเลยกลับไปก่อนแล้ว เลยรู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมาเล็กน้อย บ่นพึมพำหนึ่งประโยค จากนั้นก็เดินออกไปด้านนอกอย่างอารมณ์เสีย
เมื่อขาก้าวข้ามประตูออกไปได้แค่ข้างเดียวตอนนั้น จู่ๆ ก็รู้สึกตัวเบาขึ้น นางถูกคนอุ้มตัวขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว
ตกอยู่ในอ้อมกอดอันคุ้นเคย ความรู้สึกแย่เมื่อครู่นั้นราวกับไม่เคยเกิดขึ้นจริง
เหยียนหลิงจวินอุ้มนางเอาไว้ จากนั้นก็ขึ้นหลังม้าแล้วเดินทางจากออกไปในทันที
ฉู่สวินหยางหันศีรษะไปโอบกอดคอของเขาเอาไว้ ขยับร่างกายให้มั่นคง แล้วถึงค่อยเลิกคิ้วขึ้นพูดยิ้มๆ ว่า “เจ้าไม่ได้กลับไปแล้วหรอกหรือ?”
“จะเป็นแบบนั้นได้เช่นไร?” เหยียนหลิงจวิ้นกล่าว พลางฟาดแส้ใส่ม้าอย่างแรง วิ่งทะยานออกไปข้างหน้าราวกับว่าข้างหลังมีผีไล่ตามอยู่อย่างนั้น พลางพูดหยอกนางว่า “เจ้านั่นแหละอยากให้ข้ารีบไปใช่หรือไม่? ข้าไม่วางใจที่ต้องปล่อยให้เจ้าอยู่กับเขาหรอก!”
ฉู่สวินหยางเองก็ไม่คิดอยากอธิบายเรื่องของฉู่ฉีเหยียนให้ฟัง เพราะยิ่งพูดไปมันก็ยิ่งแย่ เพราะฉะนั้นเลยสู้ซุกหน้าเข้าไปในอ้อมอกของเขาทำเป็นแกล้งตาย
เหยียนหลิงจวินมาส่งนางถึงเพียงหน้าตรอกทางเข้าวังบูรพา เขาก็ปล่อยให้นางลงจากม้า ส่วนตนนั่งอยู่บนหลังม้าเอี้ยวตัวลงมาจัดแจงเสื้อผ้าให้นาง แล้วกล่าวว่า “ข้าคงไม่ได้ส่งเจ้าเข้าไปด้านแล้ว ตอนนี้พิษในร่างกายของท่านพ่อเจ้าอาการน่าเป็นห่วง ข้าต้องขอตัวกลับไปปรุงยาก่อน ในวันพรุ่งนี้ตอนกลางวันค่อยมาใหม่”
“อืม!” ฉู่สวินหยางพยักหน้า เอ่ยกำชับ “งั้นเจ้าก็ระวังตัวด้วย”
เหยียนหลิงจวินยิ้ม ทว่าไม่ตกปากรับคำ เขาโน้มตัวพาดอยู่บนหลังม้า ฉีกยิ้มมองนาง “แล้วมีอะไรอีก?”
“ยังจะมีอะไรอีก? รีบไปได้แล้ว!” ฉู่สวินหยางรู้ว่าเขากำลังแกล้งตนอยู่ จึงกลอกตามองเขาอย่างอารมณ์เสีย
“ฮ่า…” เหยียนหลิงจวินหัวเราะ ถึงค่อยยืดตัวขึ้นอย่างเอื่อยเฉื่อย
ฉู่สวินหยางเอียงคอมองเขา คิดอยู่สักพักแล้ว จู่ๆ ก็เดินขึ้นหน้าไปกวักมือเรียก “นี่!”
“หืม?” เหยียนหลิงจวินเลิกคิ้วขึ้น แล้วค่อยๆ โน้มตัวลงไปส่งสายตาเป็นคำถาม
ฉู่สวินหยางจึงถือโอกาสตอนที่ก้าวขึ้นหน้าไปนั้น เขย่งเท้าขึ้นเข้าหาเขา ใช้ริมฝีปากอ่อนนุ่มของนางแตะริมฝีปากของเขาเบาๆ
การสัมผัสที่เข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัวแบบนี้ ทำให้เหยียนหลิงจวินที่อยู่บนหลังม้าตกใจชะงักไป ดวงตาเบิกกว้างอย่างไม่ทันตั้งตัว
เขาอยู่บนหลังม้า ส่วนนางอยู่ข้างล่าง
จุมพิตอันเบาบาง ประทับอยู่ในหัวใจของเขา รู้สึกเหมือนกับดอกไม้บานสะพรั่งสวยสลดงดงาม
เมื่อสบสายตาเข้าหากัน นางก็ค่อยๆ ถอยห่าง ส่งรอยยิ้มหวานชื่นมาให้ จากนั้นถึงค่อยหันหลังเดินเข้าตรอกไป
ภายในตรอกมีแสงสว่างรำไร ทว่าแผ่นหลังของหญิงสาวที่เดินย่ำเข้าไปคนเดียวนั้นยังคงส่องประกายสว่างไสว
“ซินเป่า!”
เหยียนหลิงจวินที่นั่งอยู่บนหลังม้าไม่ขยับ จู่ๆ ก็ตะโกนเรียกนางขึ้น
ฉู่สวินหยางหยุดฝีเท้าลง หันศีรษะกลับมา แล้วส่งสายตาเป็นคำถามไปให้เขา
เหยียนหลิงจวินตีแส้ม้าลงไปบนฝ่ามือตัวเองเบาๆ แล้วยิ้มอย่างเอื่อยเฉื่อย “พรุ่งนี้เช้าข้าจะให้ท่านอาจารย์มาคุยเรื่องสู่ขอเจ้าดีหรือไม่?”
รอยยิ้มนั้นยังคงส่องประกายอยู่ในแววตา มันช่างอ่อนโยนสวยงามยิ่งกว่าท้องฟ้ายามค่ำคืน
ฉู่สวินหยางเม้มปาก คิดเดี๋ยวเดียวก็พยักหน้าตกลง “อืม!”
แค่คำคำเดียว แต่มันทั้งชัดเจนและแน่วแน่
วินาทีนั้นหัวใจของเหยียนหลิงจวินที่ลอยค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ ถึงได้ค่อยๆ สงบนิ่งและรู้สึกมั่นคงลงมา
เขาฉีกยิ้มกว้างหน้าระรื่น!
“รอข้านะ!” เขากล่าว
“ข้าจะรอ!” นางตอบ
ฉู่สวินหยางยิ้ม ในตอนที่หันหลังเดินกลับไปนั้น ฝีเท้าของนางก็ก้าวเร็วขึ้น
พระจันทร์ลอยเด่นสว่างไสว
ในอีกด้านหนึ่งของตรอกมีหนึ่งคนและหนึ่งม้าอยู่ตรงปากทาง ยิ้มให้กับช่วงเวลาอันงดงามนั้น
ค่ำคืนเย็นเฉียบราวกับน้ำ
บนเรือนสูงแห่งนั้นมีคนยกมือบังตา ทอดถอนหายใจให้กับความเศร้าโศก
“ซื่อจื่อ…” หลี่หลินพูดขึ้นอย่างเป็นกังวล
“ไปกันเถอะ!” ฉู่ฉีเหยียนวางมือลง ใบหน้าสงบนิ่งจนแทบจะเย็นชาเหมือนอย่างปกติ สะบัดเสื้อหันหลังเหยียบย่ำเข้าไปในบันไดอันคับแคบในอาคารเก่าคร่ำครึด้านหลังนั้นจนลับสายตาไป
ฉู่สวินหยาง ต้องขอบคุณเจ้าที่ช่วยทำให้ข้าตัดสินใจได้ ในเมื่อฟ้าได้ลิขิตจุดยืนของพวกเราสองฝ่ายเอาไว้แล้ว
ฉะนั้น…
ปล่อยให้มันเป็นแบบนี้เถอะ!
ค่ำคืนนี้ไม่ได้นอนเป็นแน่
ไฟในห้องทรงอักษรของฮ่องเต้ยังสว่างอยู่ ในยามรุ่งอรุณของวันรุ่งขึ้น กองทหารองครักษ์จำนวนนับหมื่นจะออกทัพกันอย่างถ้วนหน้า พร้อมกับพระราชโองการของฮ่องเต้ในมือ เพื่อไปปิดล้อมวังบูรพา
ในรัชสมัยของปฐมกษัตริย์กวงตี้แห่งแคว้นซีเยว่ ปีหนึ่งร้อยสิบเจ็ด ในฤดูใบไม้ร่วง ข่าวคดีของเศษเดนจากราชวงศ์ก่อนอันตื่นตะลึงไปทั่วหล้านั้น ทำให้ทั้งท้องพระโรงและวังในต่างวุ่นวายอลหม่านขึ้นมา ฉับพลัน
รุ่งอรุณ ยังมาไม่ถึง
ค่ำคืนอันยาวนาน ยังไม่หมดสิ้น