สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 110.2 ข้าเป็นใครมาจากไหนไม่รู้ เจ้ายังต้องการข้าอยู่อีกหรือ? (2)
- Home
- สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2
- บทที่ 110.2 ข้าเป็นใครมาจากไหนไม่รู้ เจ้ายังต้องการข้าอยู่อีกหรือ? (2)
“เจ้าคงไม่รู้หรอก ท่านพ่อของข้าเคยหลงรักผู้หญิงคนหนึ่งมาก แต่ด้วยเหตุผลบางประการ ทำให้พวกเขาสองคนไม่ได้อยู่ด้วยกัน หลังจากนั้นเขาก็มอบชื่อของผู้หญิงคนนั้นให้ข้า มอบความรู้สึกที่เก็บสะสมไม่สามารถระบายออกมาได้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้นให้กับข้า” ฉู่สวินหยางกล่าว น้ำเสียงของนางฟังดูเรียบเบาใบหน้าแนบอยู่ในตำแหน่งหัวใจของเหยียนหลิงจวิน ทว่าสามารถส่งความรู้สึกอันร้อนแรงและหนักแน่นไปยังหัวใจของเขา ตำแหน่งที่อยู่ใกล้ชิดกับนางมากที่สุดผ่านตัวอักษรทุกคำที่เปล่งออกมา
“เหยียนหลิงจวินเจ้ารู้ไหม? ทั้งชีวิตนี้ของข้า ข้ารู้สึกมีความสุขมาตลอดเลย ข้าคิดมาตลอดเลยว่าสวรรค์ลำเอียงเข้าข้างข้า ข้ามีท่านพ่อและพี่ชายที่คอยเป็นห่วงเอาใจใส่ พวกเขามอบแต่สิ่งที่ดีที่สุดใต้หล้านี้ให้ข้า เพียงแค่นี้มันก็พอแล้ว พอแล้วจริงๆ! ส่วน…” ฉู่สวินหยางกล่าวพลางหลับตาลงเล็กน้อย ปล่อยให้หยดน้ำตาที่ค้างอยู่บนขนตาไหลร่วงลงมา
จากนั้นถึงค่อยเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง สบตาเข้ากับดวงตาดำสนิทของเหยียนหลิงจวิน ยิ้มออกมาอย่างโหดเหี้ยมแต่ก็แฝงไปด้วยความงดงาม “นอกจากท่านพ่อและพี่ชายแล้ว สำหรับข้าคนอื่นก็ไม่สำคัญทั้งนั้น ข้าไม่ได้รู้สึกน้อยใจจริงๆ เจ้าเองก็ไม่ต้องคิดน้อยใจแทนข้าหรอก อย่างไรแล้วข้าก็ไม่สามารถคาดหวังให้คนทั้งใต้หล้าทำดีต่อข้าโดยไม่มีข้อแม้ไม่ได้หรอกจริงไหม? เหยียนหลิง ความรักมันก็คือหนี้สิน หากติดค้างไว้มาก สุดท้ายแล้วอย่างไรก็มีสักวันที่ต้องชดใช้คืน เจ้าคิดว่ามันจริงหรือเปล่า?”
ท่านพ่อกับพี่ชายของตน พวกเขาสองสนับสนุนนางมาตลอดทั้งในอดีตชาติและในชาตินี้ รวมๆ เป็นเวลาแล้วกว่าสามสิบห้าปีในใต้หล้านี้ สิ่งนี้มันได้กลายเป็นความเชื่อมั่นยึดถือ เป็นความรู้สึกที่ฝังรากลึกเข้าไปในกระดูก มันไม่อาจแยกออกจากกัน ไม่อาจลบล้างไปได้
ในขณะเดียวกันนั้น…
มันก็เป็นความรับผิดชอบเช่นกัน!
คำพูดของฉู่สวินหยางนั้นไม่ได้เผยข้อมูลรายละเอียดออกมามากเท่าใดนัก แต่แค่นี้มันก็เพียงพอแล้ว
เหยียนหลิงจวินมองนาง รู้สึกเหมือนกับถูกใครสะกิดยุ่มย่ามหัวใจ จนทำให้เจ็บปวดมากเหลือเกิน
เขาใช้มือรองท้ายทอยของนางเอาไว้ ขยับอีกฝ่ายให้เข้าใกล้ชิดตนมากขึ้น จากนั้นก็โน้มตัวลงไป ประกบริมฝีปากของตนลงบนหว่างคิ้วบนใบหน้าของนาง
ตอนนี้ร่างกายของเขาไม่แข็งแรงนัก ริมฝีปากจึงเย็นยะเยือก
เขาโน้มหน้าแนบริมฝีปากจุมพิตลงไปบนหน้าผากอันใสสะอาดของนาง จวบจนกระทั่งริมฝีปากอันเย็นเฉียบนั้นเลือนหายไปเมื่อสัมผัสเข้ากับอุณหภูมิในร่างกายของนาง จากนั้นถึงค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นจูบที่เปี่ยมไปด้วยความลึกซึ้งและชัดเจน ที่ประทับลงบนหน้าผากของนาง
“ซินเป่า ความรักไม่ใช่หนี้สินหรอกนะ คนที่เต็มใจอยากทุ่มเทให้เจ้า เขาไม่รอคอยไม่สนใจวันที่เจ้าจะชดใช้คืนเขาหรอก ในเมื่อเจ้าคิดว่ามีความสุข งั้นเจ้าก็ทิ้งความกดดันที่แบกรับไว้อยู่พวกนั้นทิ้งดีหรือไม่?” เขาค่อยๆ ผละริมฝีปากออก เหลือเพียงสัมผัสอันเร่าร้อนที่ยังไม่มลายหายไปในทันที กับหน้าผากของหญิงสาวที่แดงก่ำเป็นวง…
ราวกับหยาดเลือดอันนั้น
ฉู่สวินหยางเอียงคอตั้งใจฟัง นางไม่ตอบโต้เขา นิ้วมือของนางจิ้มลงไปบนริมฝีปากของเขา ยิ้มแล้วก็พูดขึ้นว่า “หากข้าเป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ เจ้ายังต้องการข้าอีกอยู่ไหม?”
เหยียนหลิงจวินมองใบหน้าอันหยาดเยิ้มแสนพิเศษของนาง นางยิ่งยิ้มก็ยิ่งสดใสขึ้นเรื่อยๆ รอยยิ้มที่ส่องสะท้อนอยู่ในแววตาของเขานั้น มันยิ่งคล้ายกับดอกไม้ที่เบ่งบานถึงขีดสุดจนแทบจะร่วงหล่นโรยรินได้ทุกเวลาก็ไม่ปาน
หัวใจดวงนั้นอ่อนระทวยสั่นเทิ้มขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เขาจึงตัดสินใจยกมือมือขึ้นบังดวงตาของนางเอาไว้ ขจัดความรู้สึกอันร้องแรงที่ปะทุอยู่ในแววตาของนาง จนแทบจะแผดเผาหัวใจของตนนั้นทิ้งไป
ฉู่สวินหยางหัวเราะขึ้นอย่างไร้เสียง เอนหลังพิงอกเขา แล้วหลับตาลงพักผ่อน
เหยียนหลิงจวินจับเสื้อมาคลุมให้นางอย่างมิดชิด เสร็จแล้วถึงค่อยกระตุกบังเหียนมาขึ้นอีกครั้ง แล้วบังคับให้ม้าเดินหน้าต่อ
เมื่อข้ามเส้นทางที่มุ่งตรงไปยังประตูวังมาแล้ว ในขณะกำลังจะเลี้ยวเข้าตรอกด้านหน้า ก็พบกับคนคนหนึ่งพร้อมกับอีกหนึ่งม้าหยุดยืนอยู่ใต้ต้นสนฉัตรที่อยู่ไม่ไกล
หางคิ้วของเหยียนหลิงจวินเลิกขึ้น ปรายตามองไปทางด้านนั้น
คนคนนั้นเองก็รีบบังคับม้าให้เดินหน้าเข้ามา พลางพูดกับฉู่สวินหยางที่นอนอยู่อ้อมกอดของเขาอย่างเอื่อยเฉื่อยว่า “ท่านหญิงขอรับ นายท่านของข้าขอเรียนเชิญท่านไปยังเรือนมีสุขเมืองเฉิงหนานขอรับ!”
ซื่อหรงไม่ได้สนใจว่าฉู่ซินรุ่ยทางนั้นจะจัดการปัญหาเรื่องนั้นอย่างไร นางออกมาจากวังแล้วก็ตรงกลับไปจวนของท่านแม่ทัพทันที
ฮ่องเต้ระมัดระวังซูอี้เป็นอย่างมาก เพราะงั้นถึงแม้เขาจะมอบตำแหน่งแม่ทัพให้ แต่ก็ไม่ได้มอบอำนาจที่แท้จริงให้อีกฝ่าย ในช่วงนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองฝ่ายเลยได้แต่คารังคาซังกันอย่างไม่แน่ไม่นอนอยู่แบบนี้
อีกทั้งฮ่องเต้ยังคับอกคับใจ เพราะฉะนั้นถึงแม้จะตอบรับว่าจะดูแลเรื่องงานมงคลสมรสให้ แต่ก็ยังไม่ยอมบอกวันเวลาที่แน่ชัดมาเสียที
ซื่อหรงปีนข้ามกำแพงไป เดิมทีนางก็ตรงดิ่งกลับห้องพัก แต่คิดไม่ถึงว่าเมื่อเท้าแตะลงพื้นก็พบเข้ากับซูอี้ที่ยืนมือไพล่หลังอยู่เยื้องๆ กับแปลงดอกไม้ที่อยู่ตรงข้าม
ในค่ำคืนอันวุ่นวายอลหม่านนี้ มองข้ามแปลงดอกไม้ตรงหน้าไปก็เป็นแววตาของคนคนหนึ่งที่ยากจะคาดเดาอารมณ์ได้
ซื่อหรงเองก็ไม่ได้คิดที่จะหลบหน้าเขา นางเพียงแค่หยุดชะงักไป จากนั้นก็เดินเหยียบย่ำดินร่วนในแปลงดอกไม้นั้นเข้าไป
“ทำไมยังไม่นอนเล่า?” นางเอ่ยถาม เม้มปากเล็กน้อย จ้องมองใบหน้าของซูอี้
“ด้านนอกเกิดเรื่องขนาดนี้ ข้าหลับไม่ลงหรอก” ซูอี้ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ทำให้คนยากจะคาดเดาว่าเขารู้สึกอะไรอยู่
ถึงแม้จะยังขาดพระราชโองการประทานอนุญาตสมรสของฮ่องเต้อยู่ แต่เรื่องที่พวกเขาสองคนเป็นคนรักกันนั้นคือความจริง หากไม่ใช่เป็นสถานการณ์พิเศษ ก็ไม่ได้จงใจแยกกันนอนคนละห้อง
ในการออกเดินทางไปในค่ำคืนนี้ เดิมทีซื่อหรงสกัดจุดให้ซูอี้หลับได้ แต่นางไม่ได้ทำแบบนั้น
เพราะฉะนั้นตอนที่นางลุกขึ้น อีกฝ่ายก็รู้สึกตัวได้แล้ว เรื่องนี้นางรู้ดี
เพียงแต่ว่า…
ทว่าซูอี้กลับทำเป็นไม่รู้เรื่อง เลยไม่ได้ห้ามนางไว้
ผู้ชายคนนี้จำนนแก่นาง อดทนต่อนาง ถึงขนาดเรียกได้ว่าแทบจะเกินที่นางจะรับไหวแล้วด้วยซ้ำ
“ซูอี้…” ซื่อหรงเอ่ย กำลังจะพูดอะไรต่อ แต่เมื่อสบตาเข้ากับแววตาอ่อนโยนอบอุ่นนั้นแล้ว จู่ๆ นางก็รู้สึกแน่นอกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกขมขื่นขึ้นอย่างสุดจะทน
นางรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังรอให้นางอธิบายอยู่
นางเองก็อยากหลบหนีไม่ปะทะซึ่งหน้าเหมือนอย่างเหตุการณ์ในงานเลี้ยงวันไหว้พระจันทร์วันนั้น แต่ทว่าคืนนี้…
อารมณ์ความรู้สึกที่เรียบสงบมาหลายปีจู่ๆ ก็บังเกิดความรู้ร้อนรนในขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด
“ข้าไม่ได้ไปหาเขา!” ซื่อหรงสูดหายใจเข้าลึกแล้วหลบตา นางพูดขึ้นอย่างรวดเร็วแถมในน้ำเสียงนั้นยังแฝงไปด้วยความรู้สึกรำคาญ “ฉู่อี้เจี่ยนเขาลงมือจัดการเอง ข้าก็แค่ไปดูเท่านั้น!”
“งั้นหรือ?” ซูอี้ยิ้ม แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามว่าผลสรุปสุดท้ายแล้วเป็นอย่างไร เขาหันหลังค่อยๆ เดินเข้าห้องไป เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว กลับไปนอนเถิด!”
ไม่มีอะไรจำเป็นที่จะต้องพูดอธิบายอย่างชัดเจน คำโกหกพวกนั้นของนางก็หลอกเขาได้แบบนี้งั้นหรือ?
ซื่อหรงยืนนิ่งอยู่กับที่ มองไปยังแผ่นหลังของเขาด้วยสีหน้าสับสน
ด้วยชีวิตที่เต็มไปด้วยการรบราฆ่าฟันตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ มันได้ทำให้สายใยความสัมพันธ์ของครอบครัวที่มีอยู่น้อยนิดนั่นหายเกลี้ยงหมดจด เดิมทีตอนแรกที่นางเข้าวังตอนนั้น…
กลับเป็นเพราะนางเป็นห่วงหลี่รุ่ยเสียง
คนที่ฉู่อี้เจี่ยนต้องการลงมือด้วยคือฮ่องเต้ อย่างไรก็ต้องถูกโดนร่างแหไปด้วยอยู่แล้ว
เดิมทีนางไม่ได้คิดถึงเรื่องไร้สาระของพวกสองพี่น้องฉู่อี้เจี่ยนฉู่ซินรุ่ยเลยสักนิด นางเพียงแค่เดินผ่านตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ไปอย่างบังเอิญเท่านั้น จนเผลอไปได้ยินบทสนทนาของสองพี่น้องเข้าก็เลยเปลี่ยนความคิด
จะพูดอะไรได้ล่ะ? ถ้าไม่ใช่เพราะทุกคนใต้หล้านี้ต่างก็ไร้ซึ่งเยื่อใยต่อกันอยู่แล้ว เพียงเพราะนางโชคร้ายต่างหาก เลยพลาดโอกาสนั้นไปก็เท่านั้นแหละ!
วินาทีนั้นนางรู้สึกอิจฉาฉู่ซินรุ่ยขึ้นมาเหมือนกัน หากเปลี่ยนเป็นนางแล้ว นางหากมีพี่ชายแบบนั้นคอยปกป้องดูแล ถ้างั้น…
ทุกวันนี้ชีวิตความเป็นอยู่ของนางคงต่างกันลิบลับเลยกระมัง!
แต่สุดท้ายแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่สวยงามพวกนั้นก็ไม่ใช่ของนาง
ยิ่งคิดถึงเรื่องพวกนี้ ซื่อหรงก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิด นางพยายามทำจิตใจให้สงบแล้วก้าวเท้าเดินเข้าห้องไป
ในขณะเดียวกันนั้นเองซูอี้ก็ได้ล้มตัวลงนอนอีกครั้ง
เขานอนนิ่งเงียบไม่ส่งเสียง ดวงหน้าหล่อเหลาสง่างามนั้น ดูแล้วให้ความรู้สึกปลอดภัยมากกว่าเวลาปกติมาก
ซื่อหรงล้างมือล้างหน้าเสร็จก็เดินกลับมาที่เตียงนอน ถอดเสื้อคลุมตัวนอกถุงเท้าและรองเท้าออก ทว่ากลับนั่งคุกเข่าอยู่ริมเตียงอยู่นานไม่ขยับ สายตาเพ่งมองไปยังใบหน้านิ่งสงบที่ต่างจากเวลาปกติของชายผู้นั้น
ในเวลานี้ซูอี้เองก็ย่อมนอนไม่หลับอยู่แล้ว
เวลาผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว แต่ทุกครั้งที่เจอผู้หญิงคนนี้ เขามักจะทำอะไรไม่ถูกอยู่ทุกที ไม่รู้จะต่อกรอย่างไรดี
ทำไมเขาจะไม่รู้ ถึงแม้ว่าพวกเขาสองคนจะร่วมหลับนอนเตียงเดียวกัน ทำเรื่องสนิทสนมใกล้ชิดที่สุดด้วยกันกับนาง…
แต่หัวใจของนาง อย่างไรก็แล้วแต่เขาก็เข้าใกล้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
ความรู้สึกแบบนั้นมันเต็มไปด้วยความผิดหวัง และหมดหนทางเหลือเกิน!
เขาทอดถอนหายใจขึ้นในใจ แต่ซูอี้ก็ลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้ง แล้วดึงผู้หญิงที่นั่งอยู่ริมขอบเตียงคนนั้นเข้ามาใต้ผ้าห่ม เอ่ยขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำ “นอนเถอะ!”
พูดจบตัวเองก็พลิกตัวนอนตะแคงหันไปอีกด้าน
ซื่อหรงชายตามองพื้นที่ว่างที่เขาเหลือไว้ให้ จู่ๆ ก็หัวเราะออกมาอย่างไร้เสียง แต่ในขณะเดียวกันนั้นแววตาก็เผยให้เห็นถึงความสับสนวุ่นวายขึ้นมาแล้วหายไปอย่างรวดเร็ว
จากนั้นนางก็พลิกตัวขึ้นไป ยื่นมือสอดเข้าไปสวมกอดเอวของซูอี้จากด้านหลัง
ร่างกายของซูอี้แข็งทื่อขึ้นมาฉับพลัน เขาทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไรกับการจู่โจมที่ไม่ให้ซุ่มเสียงแบบนั้นของนางดี
นางสัมผัสได้ว่ากล้ามเนื้อของอีกฝ่ายเกร็งตึง มุมปากของซื่อหรงเผยอขึ้นเล็กน้อย นางล้วงมือเข้าไปใต้สาบเสื้อของอีกฝ่าย นางใช้ปลายนิ้วมือลูบไล้หน้าท้องที่ตึงแน่นของเขาอย่างซุกซน
ซูอี้กลั้นหายใจ กระวนกระวายตื่นเต้น แล้วรีบจับนิ้วมือของนางเอาไว้ พลิกตัวกลับเข้าหา สบตาเข้ากับแววตาอันเรียบสงบของนาง อารมณ์ความรู้สึกที่เคยมีมลายหายสิ้นไปกับสายลม เหลือเพียงแต่ความอ่อนแรงอิดโรย
เขาออกแรงจับนิ้วมือของนางไม่ให้เคลื่อนไหวซี้ซั้ว จากนั้นคว้าตัวนางเข้ามากอด พูดกับอย่างประนีประนอมว่า “ช่างเถิด ข้าไม่โกรธแล้ว นอนเถอะ!”
—————————————————-