สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 110.3 ข้าเป็นใครมาจากไหนไม่รู้ เจ้ายังต้องการข้าอยู่อีกหรือ? (3)
- Home
- สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2
- บทที่ 110.3 ข้าเป็นใครมาจากไหนไม่รู้ เจ้ายังต้องการข้าอยู่อีกหรือ? (3)
ซื่อหรงซุกอยู่ในอ้อมกอด สูดดมกลิ่นหอมสดชื่นบนเสื้อผ้าของเขา…
อุณหภูมิอ้อมอกของเขาทำให้นางเคลิบเคลิ้ม แต่นางพยายามลองหลายครั้งแล้ว ก็ยังไม่กล้าปล่อยให้ตัวเองเข้าใกล้ชิดเขาอยู่ดี เพราะว่านางกลัว…
กลัวว่าหากนางคว้าจับอะไรขึ้นมาอีกครั้ง ในท้ายสุดก็ต้องสละทิ้งบางสิ่งบางอย่างในชีวิตของนางที่ไม่สามารถขาดหายไป
นางคุ้นชินกับการอยู่คนเดียว คุ้นชินกับเก็บเรื่องต่างๆ เอาไว้คนเดียว…
‘คุ้นชิน’ อาการแบบนี้เป็นสิ่งที่น่ากลัวมากเหลือเกิน
“ซูอี้ ขอโทษนะ!” ซื่อหรงแนบหน้าชิดแผงอกของเขา เปล่งเสียงออกมาเบาๆ
“ช่างเถอะ!” ซูอี้กล่าว มุมปากขยับขึ้นยิ้มอย่างขมขื่น ตบหลังนางเหมือนกำลังปลอบเด็กเบาๆ
ซื่อหรงได้ยินเสียงทุ้มต่ำของเขาเปล่งออกมาเข้า วินาทีนั้นความรู้สึกผิดที่อดกลั้นมาตลอดกลางดึก ก็ได้ระเบิดปะทุออกมา นางไม่สามารถควบคุมไว้ได้อีกแล้ว
นางผลักซูอี้ออก ลุกขึ้นมานั่ง ทำสีหน้าที่แทบเรียกได้ว่าไร้เยื่อใย จ้องมองอีกฝ่ายด้วยแววตาแน่วแน่กล่าวว่า “ท่านไม่ได้จะสู่ขอข้างั้นหรือ? งั้นสู่ขอข้าสิ พวกเราไม่ต้องรอราชโองการของฮ่องเต้แล้ว พวกเราแต่งงานกันเถอะนะ”
คำพูดพวกนี้ของนางพูดขึ้นอย่างกะทันหันเกินไป ซูอี้ขมวดคิ้วมองนางอยู่นานครึ่งค่อนวันก็ยังไม่แสดงปฏิกิริยาใดตอบกลับมา
เวลาผ่านไปนานพอสมควร เขาถึงค่อยยันตัวลุกขึ้นมานั่ง เอื้อมมือออกไปลูบหน้าผากของหญิงสาวอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“ท่านไม่ได้บอกว่าจะช่วยให้ข้าหลุดพ้นจากอดีตนั้นไม่ใช่เหรอ? ที่จริง…ข้าเองก็สะอิดสะเอียนกับมันเต็มทนแล้ว ข้าไม่รู้สึกชอบการฆ่าฟันแบบนั้นเลยสักนิด และก็ไม่อยากมีชีวิตที่ไม่สามารถมีหน้าไปพบใครแบบนั้นอีกเช่นกัน ข้าเองไม่ต้องการฐานะหรือเกียรติยศอันใด ข้าเพียงแค่ต้องการแค่ครอบครัวเท่านั้น มีสามีมีลูกเป็นของตัวเอง คอยดูแลจัดการเรื่องอาหารการกิน เสื้อผ้าหน้าผม ที่พักพิงอาศัยเรื่องพื้นฐานแบบนั้นก็พอแล้ว” ซื่อหรงกล่าว น้ำตาคลอเบ้า มองซูอี้ด้วยแววตาคาดหวังอย่างร้อนใจ
ซูอี้ขมวดคิ้ว มือที่ลูบหน้าผากนางอยู่ค่อยๆ เคลื่อนลงมา แล้วเช็ดน้ำตาบนหางตาให้นาง “ที่พูดมาคือความในใจงั้นหรือ?”
“อืม!” ซื่อหรงพยักหน้าอย่างไม่ลังเล นางจับมือของเขาเอาไว้ ออกแรงบีบ แต่วินาทีต่อมาเมื่อสบตาเข้ากับความสุขุมนุ่มลึกในแววตาของเขาแล้ว นางกลับตกใจขึ้นมา จู่ๆ ก็หลบสายตาลงไปอย่างรู้สึกผิด
ท่าทางเล็กๆ น้อยๆ นั่นซูอี้มองเห็นอยู่ในสายตา เลือดที่สูบฉีดร้อนแรงนั้นจู่ๆ ก็ตกตะกอนเพราะเหตุผลบางประการลงไปในทันที
ระยะเวลาจากตอนแรกและตอนหลังต่างกันเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น บรรยากาศภายในมุ้งเตียงนอนเปลี่ยนจากเร่าร้อนขึ้นมาเป็นกระอักกระอ่วนอย่างฉับพลัน
ทั้งสองคนไม่มีอะไรที่พูดต่อกัน นั่งนิ่งอยู่แบบนั้นนานสองนาน
จนสุดท้าย ก็เป็นซื่อหรงที่เอ่ยปากทำลายความเงียบงันนั้นขึ้นมา
นางแอบกัดฟัน เงยหน้าสบตามองซูอี้ แววตาสีหน้าขัดแย้งสับสน “ข้าไม่ได้คิดจะหลอกท่าน แต่ข้ากลัวว่าตัวเองจะไม่สามารถก้าวข้ามมันออกมาได้ ที่ผ่านมาข้าก็เคยลอง…”
“งั้นพวกเรามาลองด้วยกันเถอะ!” จู่ๆ ซูอี้ก็ยิ้มแล้วพูดแทรกนางขึ้น เขาพลิกจับมือของนางเอาไว้แล้วกล่าวว่า “ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปมันก็ไม่ใช่วิธีที่ดี พวกเราพยายามไป กันเถอะ!”
ซื่อหรงอึ้ง ดวงตาเบิกกว้างอย่างตื่นตะลึง
ทว่าซูอี้ก็ทำเป็นมองไม่เห็นแววตาสับสนของนาง เขาเอ่ยพูดต่อขึ้นว่า “พวกเราไปกันเถอะ ไปจากที่นี่ ข้าจะพาเจ้าไปมีชีวิตอย่างที่เจ้าต้องการ ใต้หล้า…นอกจากความโกรธแค้นเกลียดชังแล้ว ยังมีสิ่งใดที่ไม่สามารถตัดขาดทอดทิ้งจากกันได้อีก? จากไปให้ไกล ไม่ต้องถามไถ่เรื่องในอดีต ไม่แน่อาจมีสักวัน เจ้าอาจจะลืมเลือนเรื่องพวกนั้นไปก็เป็นได้!”
ลืมเขา? ลืมเขางั้นเหรอ!
คำพวกนั้นวนเวียนอยู่ในความนึกคิดของนาง ซื่อหรงรู้สึกจิตใจว้าวุ่นสับสน
“ข้า…” นางเอ่ยปากอยากจะพูดว่าตัวเองทำไม่ได้ แต่เมื่อสบเข้ากับแววตานั้นของซูอี้ นางก็รู้สึกผิดจนต้องปิดปากหยุดพูดไปอีกครั้ง แล้วเปลี่ยนใจพูดขึ้นว่า “งั้นพวกเรา…”
ซูอี้ไม่รอให้นางถาม เขาชิงตัดบทพูดขึ้นมาก่อน “ตอนนี้! เดี๋ยวนี้! พวกเราไปกันเถอะ เดี๋ยวสัมภาระพวกนี้ข้าบอกให้โม่เสว่อยู่จัดการเอง จะได้ถือโอกาสแจ้งข่าวให้จวินอี้เขารับรู้ด้วย”
ที่เขาวางแผนการเดินทางอย่างเร่งรีบขนาดนี้ เห็นได้ชัดเลยว่าเขาต้องการจะตัดเส้นทางเดินกลับสุดท้ายทิ้งเสีย ไม่ปล่อยให้นางมีโอกาสได้เสียใจภายหลังแล้วคิดกลับคำอีก
จิตใจความนึกคิดของซื่อหรงสับสนวุ่นวาย พยักหน้ารัวอย่างไม่รู้สึกตัว แต่เมื่อนางได้สติกลับมา พอเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างแจ่มแจ้งแล้วตอนนั้น พระอาทิตย์ก็สว่างไสวโชติช่วง นางกับซูอี้ก็นั่งอยู่บนรถม้าที่กำลังมุ่งหน้าไปทางใต้แล้ว
การเดินทางครั้งนี้ เมื่อก้าวข้ามออกไป ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ราวกับข้ามผ่านช่วงเวลา!
หันหลังกลับไปอีกครั้ง จะมีสักวันหนึ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงจริงๆ งั้นหรือ…
ลืมเลือนงั้นหรือ?
ฉู่ฉีเหยียนเชิญเขา เหยียนหลิงจวินเองก็ไม่ปฏิเสธ พาฉู่สวินหยางเดินทางไปยังเรือนมีสุขที่อยู่ไม่ไกลจากประตูเมืองหนานเฉิงตามคำเชิญด้วยตัวเอง
พวกเขาสองคนนั่งอยู่บนหลังม้าด้วยกัน ท่าทางใกล้ชิดสนิทสนม รอบข้างไร้วี่แววของผู้คน
ฉู่ฉีเหยียนเห็นพวกเขาจากหน้าต่างห้องอุ่นบนชั้นสองตั้งนานแล้ว
ภายใต้ท้องฟ้าอันมืดสลัว ทำให้ไม่สามารถเห็นสีหน้าของพวกเขาหนุ่มสาวสองคนนั้นได้ชัดเจน แต่จากความรู้สึกที่สัมผัสได้นั้นแล้ว ภาพที่ทั้งสองคนอิงแอบซบอยู่ด้วยกันนั้นมันช่างสามัคคีและเข้ากันได้ดีเหลือเกิน
เดิมที่เขาก็รู้สึกอารมณ์ไม่ดีอยู่ก่อนแล้ว ในตอนนั้นจึงรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที เขาเอื้อมมือจะออกไปปิดบานหน้าต่างนั้นลง เพื่อไม่ให้ตัวเองมองเห็น แต่เมื่อนิ้วมือแตะต้องโดนขอบหน้าต่าง ขณะนั้นเขากลับเปลี่ยนใจขึ้นมา
เขายืนนิ่งเงียบอยู่ริมหน้าต่างนั้น ร่างกายสูงสง่าราวกับต้นสน ดวงหน้านิ่งสงบเย็นชา…
ทว่ากลับไม่มีใครสังเกตเห็นว่า มือของเขาที่วางอยู่บนขอบหน้าต่างนั้นได้ขาวซีดเซียวเพราะออกแรงกดมากเกินไป
พวกฉู่สวินหยางแหละเหยียนหลิงจวินสองคนก็มองเห็นอีกฝ่ายมาตั้งไกลๆ แล้วเช่นกัน
“นายท่านรอพวกท่านอยู่ด้านบน เชิญท่านหญิงขอรับ!” หลี่หลินกล่าวพลางพลิกตัวลงจากหลังม้า
ฉู่สวินหยางก็จะตามลงจากหลังม้าไปเช่นกัน ทว่ามือที่โอบรัดเอวนางข้างใต้เสื้อคลุมนั้นจับแน่นไม่ยอมปล่อย เขาโน้มหน้าลงมาเล็กน้อยแล้วแนบริมฝีปากเข้าไปกระซิบที่ข้างหูของนางเสียงเบา “ให้ข้าไปเป็นเพื่อนหรือไม่?”
ฉู่สวินหยางรู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าไรนักเมื่อถูกลมร้อนมาจากริมฝีปากของเขาพ่นใส่ นางจึงผลักศีรษะของเขาดันออกไปด้านข้าง ยิ้มแล้วกล่าวว่า “คนอื่นเขานัดข้านะ เจ้าจะตามไปทำไมกันเล่า?”
พูดจบก็จะสลัดมือของเขาออกแล้วพลิกตัวลงจากม้า
ทว่าเหยียนหลิงจวินกลับโอบรัดเอวของนางเอาไว้แน่นไม่ให้นางขยับ ทางด้านหนึ่งยิ้มตาหยีพลางใช้หางตาเหลือบมองฉู่ฉีเหยียนที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่าง ส่วนในอีกด้านหนึ่งก็ดึงดันซุกหน้าแนบชิดใบหูของนางไว้ แล้วพูดล้อเล่นขึ้นว่า “สายตาที่เขามองเจ้ามันผิดปกติ ข้าไม่วางใจ!”
เขาพูดขึ้นมาเงียบๆ ขนาดหลี่หลินที่อยู่ไกลออกไปเพียงห้าก้าวยังคิดว่าพวกเขาสองคนกำลังซุบซิบพลอดรักกันเลยด้วยซ้ำไป
แต่ในครั้งนี้ฉู่สวินหยางกลับรู้สึกไม่ดีเข้าจริงๆ เมื่อได้ยินดังนั้นนางก็ร้อนรน รีบเอ่ยปากพูดว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
เมื่อโพล่งออกมาตอนนั้น ก็รู้ตัวว่าตัวเองพูดผิด แต่ทว่ามันก็สายไปแล้ว
ใบหน้าของเหยียนหลิงจวินบึ้งตึงลงในทันที มือที่ดอบรัดเอวนางไว้อยู่ใต้เสื้อคลุมข้างนั้นออกแรงจิ้มเอวนางอย่างแรง ต่อด้วยขบกัดใบหูของนาง “ดูสิ! เจ้าเองก็รู้!”
คำพูดไม่กี่คำ ก็สื่ออารมณ์ออกมาได้อย่างชัดเจน แฝงไปด้วยอารมณ์โกรธกัดฟันกรอดขึ้นเล็กน้อย
ฉู่สวินหยางรู้สึกกลัวจริงๆ ทว่านางกลัวว่าเขาจะเอาเรื่องนี้มาพูดต่อหน้าผู้คนมากกว่า จึงรีบหยุดการกระทำลงในตอนนั้นทันที นางพลิกมือกดจุดเลือดลมบนแขนของเขาลงไป
“โอ๊ย!” เหยียนหลิงจวินเจ็บ ร้องโอดโอยเสียงเบา
ฉู่สวินหยางถือโอกาสนั้นไถลตัวออกจากอ้อมกอดเขา เพื่อป้องกันไม่ให้ตอแยนางต่อ จึงรีบสาวเท้าก้าวเดินไปยังประตูใหญ่ แล้วค่อยหันไปพูดกับเขาว่า “ข้าไม่รู้ว่าจะได้กลับลงมาเมื่อไร ถ้าเจ้ารีบก็กลับไปเถอะ!”
เหยียนหลิงจวินนั่งอยู่บนหลังม้า สะบัดข้อมืออย่างเกินเหตุ ยิ้มสดใส เปล่งคำพูดออกมาอย่างแน่วแน่ “แค่ครึ่งชั่วยาม ข้ารอเจ้าได้!”
จะแกล้งกันหรือเปล่า รู้ทั้งรู้ว่าฉู่ฉีเหยียนหมอนั่นคิดไม่ซื่อ ยังปล่อยให้พวกเขาอยู่ด้วยกันสองต่อสองอีกในห้องเดียวกันอีก?
ฉู่สวินหยางย่อมเข้าใจความหมายที่เขาต้องการจะสื่อดี โดนเขาพูดต้อนจนพูดไม่ออกสักคำเดียว จึงทำได้แต่ทำหน้าบึ้งตึงหันหลังเดินเข้าเรือนมีสุขไป
เหยียนหลิงจวินมองตามแผ่นหลังของนางจนอีกฝ่ายเดินเข้าไปในประตู ถึงค่อยเงยหน้ามองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างบนชั้นสอง
ฉู่ฉีเหยียนที่ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ได้หลบสายตา เขาเองก็ก้มมองลงมาด้านล่างเช่นเดียวกัน
ทั้งสองคนไม่มีใครพูดอะไรขึ้น มีเพียงสายตาที่สบมองกัน ได้ยินเสียงปะทะกันขึ้นอย่างรุนแรงภายใต้ค่ำคืนนี้
เวลาผ่านไปสักพัก รอจนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งรีบแต่หนักแน่นเดินเข้ามาจากระเบียงทางเดินด้านหลังดังขึ้น ฉู่ฉีเหยียนถึงค่อยหันหลังไปด้วยใบหน้าเรียบเฉย ปิดหน้าลงดังปัง
เขาปิดหน้าต่างลงไปอย่างแรง ปล่อยให้ฝุ่นที่สะสมอยู่บนขอบหน้าต่างตลอดหลายปีที่ผ่านมาฟุ้งกระจาย
เหยียนหลิงจวินนั่งอยู่บนหลังม้า ทอดมองด้วยสายตาเย็นชา
ไม่นานหลังจากนั้นก็มีเสียงหัวเราะเย็นชาดังขึ้น เขาจึงเบนสายตาออก
———————————————–