สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 12 ความทรงจำในอดีต (4)
“ใต้เท้าเหยียนหลิงมาได้สักพักแล้ว ชิงหลัวกำลังรออยู่ที่นั่นเป็นเพื่อนใต้เท้าเจ้าค่ะ!” ชิงเถิงกล่าวพลางก้าวเท้าเดินตามนางออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว “ท่านหญิงจะไปตอนนี้หรือไม่เจ้าคะ?”
“ข้าไปดูสักหน่อย เจ้าไปโรงม้าเตรียมม้าให้ข้าที แล้วรออยู่ข้างๆ ประตูนั่นแหละ ประเดี๋ยวข้าจะออกไปข้างนอกแล้ว” ฉู่สวินหยางพูด นางชะงักอยู่ครู่หนึ่งแล้วเสริมต่อว่า “หากท่านพี่ถามเจ้าก็ตอบตามความจริงก็แล้วกัน”
“เจ้าค่ะ!” ชิงเถิงพยักหน้า คิดไปคิดมาก็ยังไม่วางใจ “ท่านต้องการให้เตรียมคนฝีมือดีคอยติดตามคุ้มกันท่านหรือไม่ บ่าวเกรงว่า…”
ฉู่ฉีฮุยเพิ่งเกิดเรื่องขึ้น ไม่อาจรู้ได้ว่าคนที่สติฟั่นเฟือนพวกนั้นจะก่อเรื่องร้ายอะไรขึ้นมาอีก
“ไม่เป็นไร!” ฉู่สวินหยางตอบ “ตอนนี้คนในจวนเรากำลังถูกจับตามองอยู่ มีคนของเหยียนหลิงก็เพียงพอแล้วล่ะ”
จากนั้นชิงเถิงก็ไม่ได้พูดอะไรอีก แล้วก็เปลี่ยนทิศทางเดินตรงไปยังโรงม้าแทน
ฉู่สวินหยางเดินอย่างว่องไวมุ่งตรงไปยังศาลาหลักที่อยู่ข้างๆ ห่างจากลานบ้านเล็กน้อย
ห้องโถงใหญ่ที่นั้นกำลังจัดการประดับพวงหรีด แล้วนำศพของฉู่ฉีฮุยถูกนำมาวางไว้ในห้องนี้
“ท่านหญิงมาแล้ว!” ชิงหลัวที่ยืนเฝ้าหน้าประตูมองเห็นนางแล้วรีบวิ่งเข้าไปต้อนรับ
ฉู่สวินหยางเดินผ่านนางไปแล้วผลักประตูเดินเข้าไปข้างใน
เหยียนหลิงจวินยืนอยู่ในนั้น ตอนที่ฉู่สวินหยางเดินเข้าไปเขากำลังจะเดินออกไปข้างนอกพอดี ตอนที่เห็นนางเปิดประตูเขาขมวดคิ้วครู่หนึ่ง แล้วก็จูงมือนางพาเดินออกไป แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่อยากให้นางเข้าใกล้สิ่งของเซ่นไหว้เหล่านั้นที่อยู่ห้องโถง
ฉู่สวินหยางรู้สึกขบขันในใจ แต่ไม่ได้ถือสาอะไร นางพูดแค่ว่า “เป็นอย่างไรบ้าง มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นหรือไม่?”
“ข้าได้รับบาดเจ็บที่หนึ่ง ตรงหน้าอก” เหยียนหลิงจวินพูด “ฝีมือฝ่ายตรงข้ามขณะลงมือแม่นยำนัก ซ้ำยังคล่องแคล่ว น่าจะไม่ใช่นักฆ่ามืออาชีพ คงจะเป็นคนที่ผ่านการฝึกฝนด้านนี้มาโดยเฉพาะ”
ประเด็นข้อนี้ฉู่สวินหยางคาดคะเนไว้ตั้งนานแล้ว ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร
“ข้าจะไปหย่งโจวสักหน่อย!” นางครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งจึงพูดออกไปพลางแหงนมองเขาแล้วพูดว่า “ท่านจะไปกับข้าหรือไม่?”
“เจ้าอยากรู้อะไร ข้าจะให้คนไปสืบมาให้เอง เจ้าไม่ต้องถ่อไปถึงที่นั่นด้วยตัวเองหรอก” เหยียนหลิงจวินพูด
“ไม่ได้ เรื่องครั้งนี้ข้าจะต้องไปสืบให้รู้ด้วยตัวเอง” ฉู่สวินหยางไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งแล้วพูดต่อว่า “แม้กระทั่งฉู่ฉีฮุยพวกมันยังกล้าลงมือ แต่แผนในครั้งนี้ไม่ง่ายอย่างที่คิด ข้าจะต้องไปเองจึงจะหายกังวล”
เหยียนหลิงจวินมองเข้าไปในตานางเห็นความเด็ดเดี่ยวแม้นเอาช้างมาฉุดก็หยุดนางไม่อยู่ ทำได้เพียงเอื้อมมือไปขยับขอบเสื้อคลุมของนางให้ตรงแล้วพูดว่า “ก็ได้ งั้นข้าจะไปกับเจ้าเอง!”
“อืม!” ฉู่สวินหยางพยักหน้าแล้วพาเขาออกจากประตูไป
ฉู่สวินหยางเป็นคนให้ชิงหลัวไปตามเขามา แต่ไม่ได้เปิดเผยให้ผู้ใดรู้ แต่ก็ไม่มีทางเล็ดลอดสายตาของฉู่อี้อันไปได้
พวกเขาทั้งสองยังไม่ได้ออกจากประตูใหญ่ เพราะต้องแอบทหารคุ้มกันด้านข้างทางทิศตะวันตกหลบหนีออกไป
ชิงเถิงเตรียมม้าไว้รออยู่ที่นั่นแล้ว ฉู่สวินหยางพาแค่ชิงหลัว เหยียนหลิงจวินและอิ้งจื่อสาวใช้ข้างกายของเหยียนหลิงจวิน พวกเขาทั้งสี่คนค่อยๆ เดินทางออกจากตรอกมุ่งหน้าตรงไปยังประตูตงเฉิงเพื่อออกจากเมืองหลวง
เมืองหยงโจวห่างจากเมืองหลวงไม่ไกลมากนัก ทั้งสี่คนลงแส้ม้าเร็วรีบเร่งมุ่งหน้าไป ขณะท้องฟ้ายังสลัวๆ พวกเขาก็ถึงที่หมาย
สถานที่แรกที่พวกเขาจะไปก็คือศาลาพักศพ แม้ว่าเหยียนหลิงจวินสีหน้าสะอิดสะเอียน แต่เขาก็ไม่ให้ฉู่สวินหยางออกหน้าแทน เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาปิดจมูกแล้วเดินเข้าไปดูบริเวณรอบๆ แล้วมุ่งหน้าไปยังบริเวณทางด้านหน้าโรงเตี๊ยมระหว่างทางเขาค่อยๆ พูดว่า “เรื่องเกินคาดไปหน่อย หากดูจากบาดแผลและฝีมือของฆาตกรแล้ว ฝ่ายตรงข้ามน่าจะมีแค่คนเดียว”
“คนเดียวรึ?” ฉู่สวินหยางรู้สึกประหลาดใจ “กองทหารคุ้มกันจากศาลาว่าการพระนครที่คุ้มกันฉู่ฉีฮุยลงมาตอนใต้สิบแปดคน ปกติแล้วหากคนมีประสบการณ์ค่อนข้างน้อยดำเนินการส่งมือสังหารมาลอบฆ่าอย่างน้อยต้องมีสักสามคนขึ้นไปหรือเปล่า? เพราะหากจัดการไม่สำเร็จ อย่างน้อยยังเหลือมือสังหารอีกคนที่สามารถหนีเอาชีวิตรอดไปได้ เพื่อกลับไปวางแผนก่อเรื่องวุ่นวายไม่จบไม่สิ้นขึ้นมาอีก”
อิ้งจื่อครุ่นคิดอยู่สักพักและพูดว่า “นายท่าน ท่านคิดว่าใช่นักฆ่าที่ถูกฝึกฝนมากลุ่มเดียวกันหรือไม่ เพราะอาวุธที่ใช้ก็เป็นแบบเดียวกัน ดังนั้นคมมีดจึงเป็นไปในทิศทางเดียวกันหรือเปล่าเจ้าคะ?”
“ข้าได้ไปตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว ไม่ใช่เพียงแค่อาวุธเท่านั้น ทิศทางการต่อสู้และพละกำลังของฝ่ายตรงข้ามแล้วจะต้องเป็นคนๆ เดียวกันแน่นอน” เหยียนหลิงจวินไตร่ตรองพลางพูดด้วยสีหน้าหนักแน่นจริงจังว่า “สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเราไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุยืนยันให้ชัดเจนอีกสักรอบก็รู้ความจริงแล้ว”
ฝ่ายตรงข้ามที่ลอบสังหารฉู่ฉีฮุยจะมีแค่คนเดียวได้อย่างไร? หรือเป็นเพราะไว้วางใจมือสังหารคนนี้มาก? หรือเป็นเพราะมีเหตุผลอื่น?
เรื่องราวดูท่าจะพิลึกชอบกลขึ้นมาแล้วสิ
ฉู่สวินหยางตริตรองไม่พูดไม่จา
สถานที่เกิดเหตุที่ฉู่ฉีฮุยถูกฆ่าอยู่บริเวณดงป่าเล็กๆ ห่างจากโรงเตี๊ยมแห่งนี้ที่อยู่ห่างจากนอกเมืองไปห้าลี้ หลังจากที่ฝ่ายราชการสืบสวนสอบสวนและได้ข้อสรุปว่า ขณะที่ขบวนที่คุ้มกันฉู่ฉีฮุยเดินทางเตรียมตัวจะไปค้างคืนที่โรงเตี๊ยมแห่งนั้น แต่ระหว่างทางก็ถูกมือสังหารลอบปองร้าย
ฉู่สินหยางและเหยียนหลิงจวินเดินทางไปตรวจสอบยังสถานที่ใกล้ที่เกิดเหตุบริเวณดงป่าเล็กๆ ทั้งยังไปตรวจสอบซากศพของเจ้าหน้าที่คุ้มกันแม้ว่าจะถูกเคลื่อนย้ายไปยังศาลาพักศพ แต่คราบเลือดที่หลงเหลืออยู่บนพื้นเห็นแล้วช่างน่าสะดุ้งสะเทือนยิ่งนัก บริเวณใกล้เคียงที่เกิดเหตุพบคราบเลือดแห้งกรังที่กระเซ็นมาติดบนพื้นตามต้นไม้ใบหญ้าอยู่เป็นจำนวนมาก
“ดูเหมือนว่าการคาดคะเนของนายท่านจะถูกต้องแล้ว” อิ้งจื่อสังเกตการณ์บริเวณรอบๆ แล้วละสายตาหนักแน่นกลับมา “หากว่ามือสังหารลงมือลอบฆ่า แม้จะมีถึงสองคนก็ไม่อาจดึงขอบเขตตีวงกว้างขวางได้ถึงขนาดนี้ น่าจะมีเพียงคนเดียวจริง เพราะความสามารถในการต่อสู้มีจำกัด ดังนั้นจึงใช้เวลาในการฆ่าปิดปากมากไปหน่อย!”
“บริเวณใกล้เคียงตรวจสอบจนหมดแล้วไม่เหลือเบาะแสใดใดเลยเจ้าค่ะ” ชิงหลัวหันสำรวจรอบหนึ่งแล้วรายงาน
ความจริงแล้วฉู่สวินหยางไม่สามารถสืบหาเบาะแสของมือสังหารได้อยู่แล้ว คนที่สามารถลงมือกับฉู่ฉีฮุยได้เช่นนี้จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป เพราะหากไม่อาจควบคุมสถานการณ์เช่นนี้ให้อยู่หมัด คงกลายเป็นเรื่องตลกขบขัน
“เราจะไปสอบถามคนที่โรงเตี๊ยมนั่นสักหน่อยหรือไม่?” เหยียนหลิงจวินเอ่ยถาม
“ท่านคิดว่าหลังจากที่ลงมือสังหารคนอย่างเหี้ยมโหดแล้ว เขาจะกลับไปเช็ดคราบเลือดล้างไม้ล้างมือที่โรงเตี๊ยม
อย่างนั้นหรือ?” ฉู่สวินหยางล้อเขาเล่น “ไปกันเถอะ เรากลับไปก่อน ตอนนี้เราไม่รู้แน่ชัดว่าฆาตกรเป็นใคร เกรงว่าในจวนของเราจะต้องเกิดเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจอีกเป็นแน่”
ขณะที่นางพูดอยู่ก็บังคับม้าให้หันกลับไปแล้วควบม้าวิ่งมุ่งไปทางเขตเมืองชั้นใน
อิ้งจื่อไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของนาง ชิงหลัวฟังจบสีหน้าเย็นชาทันทีราวกับมีคนติดค้างเงินนางแล้วไม่ยอมคืน
เหยียนหลิงจวินลงแส้ควบม้าตามนางไปจนทัน รอกระทั่งถึงประมาณลำตัวและไหล่ของนางก็เอื้อมมือไปหานาง
ฉู่สวินหยางเหลือบเห็นเขาเงื้อมือกลางอากาศ นางสองจิตสองใจแต่สุดท้ายก็ส่งมือไป ปล่อยตัวตามแรงดึงของเขาขึ้นไปอยู่บนหลังม้าที่เขากำลังขี่
เหยียนหลิงจวินใช้เสื้อคลุมของเขาคลุมตัวนางไว้ ระหว่างทางกลับทั้งสองต่างไม่ได้พูดคุยกันสักคำ
ฉู่สวินหยางหลบซ่อนอยู่ในอ้อมกอดของเขานานสองนาน ทันใดก็แหงนมองใบหน้าของเขาแล้วเอาศอกกระทุ้งใต้อกของเขาพลางถามว่า “ท่านไม่มีอะไรจะพูดกับข้าเหรอ?”
“ข้านึกว่าเจ้าหลับไปแล้ว!” เหยียนหลิงจวินยิ้มพลางจูบหน้าผากของนางเบาๆ “เจ้าเหนื่อยมาทั้งคืนแล้ว หลับตาพักสักหน่อยเถอะ อย่างไรข้าก็ต้องกลับจวนไปแสดงความอาลัยอยู่ดี งั้นข้าไปส่งเจ้าเลยก็แล้วกัน”
“ข้านอนไม่หลับ!” ฉู่สวินหยางทำหน้ามุ่ย แล้วก็ขยับตัวนั่งตะแคงบนหลังม้าโอบไหล่ของเขา “ฉู่หลิงอวิ้นถูกส่งตัวออกจากเมืองหลวงกลางดึกในวันเดียวกันนั้น”
“เช่นนี้ก็ดีแล้ว หากยังปล่อยนางไว้ก็มีแต่จะสร้างเรื่องวุ่นวายให้จวนอ๋องหนานเหอ” เหยียนหลิงจวินพูดน้ำเสียงไม่แยแสเรื่องของฉู่หลิงอวิ้นคนนี้แม้แต่น้อย
ฉู่สวินหยางได้ยินเขาเอ่ยถึงชื่อของผู้หญิงคนนี้ก็รู้สึกระคายหู ยื่นแขนออกมาออกแรงกดคอของเขาลงมาให้สบสายตาของนาง “ข้ากลับคิดว่านางยังอาจจะก่อเรื่องให้ท่านได้อีกหรือเปล่าน่ะ?”
“ข้าน่ะหรือ?” เหยียนหลิงจวินหัวเราะ ความจริงแล้วตั้งแต่ที่นางเริ่มเอ่ยปาก เขาก็รู้แล้วว่านางต้องการจะถามถึงเรื่องจดหมายฉบับนั้น เขาคิดว่าจริงๆ แล้วตอนที่เด็กสาวคนนี้แสร้งทำแง่งอนแต่ปนด้วยความรู้สึกว่านางจริงจังนั้น ทำให้เขาประหลาดใจขึ้นมา เขาจึงพูดว่า “ขี้ปากของคนพวกนั้นหากเจ้าไม่อยากฟัง ข้ากลับไปจะวางยาลงไปในบ่อน้ำคนพวกนั้นซะ ปิดปากทุกคนไม่ให้พูดได้อีกดีหรือไม่?”
ฉู่สวินหยางมองค้อนเข้าให้ แล้วก็ไม่สนใจปัญหาเหล่านี้อีก ถึงแม้จะนอนไม่หลับแต่ก็พยายามข่มตาหลับเอาแรง
เหยียนหลิงจวินส่งนางบริเวณด้านข้างวังบูรพา รอนางเข้าไปข้างในแล้วจึงให้อิ้งจื่อรีบรุดกลับไปเตรียมพวงหรีดไว้ล่วงหน้า แล้วเขาก็เดินเข้าทางประตูหลักของวังบูรพา
ทางด้านฉู่สวินหยางเพิ่งกลับมาก็รีบเปลี่ยนชุดที่ห้องแต่งตัว ชิงเถิงก็เข้ามารายงานว่า “ท่านหญิง หรูโม่บ่าวข้างกายของฮูหยินใหญ่มาแล้ว นางบอกว่ามาเชิญท่านหญิงไปเจ้าค่ะ”
—————————————-