สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 13.2 พยายามเอาชนะด้วยกลอุบายอันแยบยล (2)
ทว่าเหยียนหลิงจวินกลับไม่ได้รอให้นางพูดออกมา เขายิ้มแล้วพูดขึ้นมาก่อนจะมองซ้ายมองขวาพูดว่า “ไอ้หยา ท่านหญิงสวินหยาง วังบูรพาของพวกท่านกว้างเกินไป นี่ข้าลองเดินไปเรื่อยก็หลงทางแล้ว อีกสักครู่คงต้องรบกวนให้ท่านนำทางส่งข้ากลับไป”
ฉู่เยว่เหยาฟังแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจ
แต่ฉู่สวินหยางกลับไม่มีอารมณ์ดูเขาแสดงฝีมือ นางโบกมือพลางเอ่ย “ชิงหลัว เจ้าไปส่งฮูหยินของซื่อจื่อด้วยตนเอง ถือโอกาส…ทักทายฮูหยินเจิ้งแทนข้าด้วย”
ฮูหยินเจิ้งเป็นท่านหญิงอาวุโสแห่งจวนผิงกั๋วกง อายุคราวเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว เวลานี้ฮูหยินกั๋วกงเป็นคนดูแลทั้งตระกูลเจิ้ง แต่ฮูหยินมักเก็บตัวอยู่แต่ในจวน แทบจะไม่ออกมาร่วมงานเลี้ยงอีกแล้ว
ฉู่สวินหยางพูดถึงนางขึ้นมาอย่างกะทันหัน ถึงแม้ฉู่เยว่เหยาจะไม่รู้ว่านางจะทำอะไร แต่ก็เห็นท่าไม่ดีอย่างชัดเจน จึงอดที่จะถามอย่างลนลานไม่ได้ว่า “เจ้าจะทำอะไร? เจ้าบ่าวชั้นต่ำนี่ยังไม่ปล่อยข้าอีก? กล้าลงมือกับข้า พูดแล้วยังไม่ฟังอีกหรือ”
ชิงหลัวไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียวและออกแรงดึงแขนนางไว้ ฉู่เยว่เหยาร้องเสียงเจ็บปวดจนหน้าตาบิดเบี้ยว แล้วก็ถูกชิงหลัวใช้กำลังลากตัวออกไปอย่างไม่ไยดี
จนกระทั่งมองตามหลังฉู่เยว่เหยาออกไปแล้ว ฉู่สวินหยางถึงได้เงยหน้ามองเหยียนหลิงจวิน “ข้าก็ว่าด้วยนิสัยของนางแล้ว หากเมื่อครู่ไม่ก่อความวุ่นวายจนโกลาหลไปหมดจะยอมหยุดง่ายๆได้อย่างไร ที่แท้ก็แอบซ่อนเขี้ยวเล็บไว้ ก่อกวนด้านนอกไปก่อนแล้ว”
เหยียนหลิงจวินยิ้ม แต่กลับเห็นได้ชัดว่าไม่ยอมเสียเวลาพูดถึงผู้หญิงคนนั้นแม้แต่นิดเดียว เขาเพียงเอ่ยเสียงเนือยว่า “ตอนนี้เจ้าว่างหรือไม่? พาข้าเดินชมวังของเจ้าหน่อยได้หรือไม่?”
ฉู่สวินหยางเม้มปากแล้วยิ้ม นางเลิกคิ้วสูงว่า “ทำอะไร? วันนี้เจ้าจะมาเป็นแขกจริงๆ หรือ?”
“ก็ประมาณนั้น!” เหยียนหลิงจวินตอบ
ฉู่ฉีฮุยจะเป็นหรือตายไม่เกี่ยวข้องกับเขาสักนิด หรือถ้าพูดอย่างไม่เกรงใจคือคนคนนี้ตายไปแล้วเขาก็ทางสะดวกขึ้นหน่อย…
อย่างน้อยที่สุดก็หาข้ออ้างมาเยี่ยมเยียนถึงวังได้อย่างเปิดเผย
ทว่าเวลานี้ ฉู่สวินหยางกลับไม่มีอารมณ์มาเล่นลิ้นกับเขา “ข้ายังมีธุระต้องสะสาง เจ้าอยากเดินเล่นก็ไปเดินเองเถอะ หากหลงทางขึ้นมาจริงๆ ก็เรียกบ่าวรับใช้คนไหนก็ได้ให้นำทางพาเจ้ากลับไป”
พูดจบนางก็ยกชายกระโปรงเดินจากไป
เหยียนหลิงจวินยืนนิ่งอมยิ้มอยู่ตรงนั้น แต่สายตาเฉียบคมกลับกวาดมองไปทั่วทิศ พอแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้แล้วก็คว้าข้อมือฉู่สวินหยางไว้แน่นแล้วลากนางมาข้างๆ พุ่มไม้สีเขียวที่ทอดตัวยาวอยู่ด้านหลัง
ถึงแม้จะอยู่ในสวนดอกไม้ด้านหลังของวังตนเอง แต่เขาก็ทำให้ฉู่สวินหยางตกใจจนยกมือขึ้นผลักเขาออก
เหยียนหลิงจวินโอบเอวนางไว้ไม่ปล่อย เขาก้มศีรษะลงเล็กน้อยแนบหน้าผากกับนาง แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ยากที่ข้าจะมาที่นี่ได้อย่างเปิดเผยสักครั้ง ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ควรทำหน้าที่เจ้าบ้านต้อนรับข้าสักหน่อย”
เขาเอ่ยเย้าด้วยเสียงต่ำและเนิบช้าอย่างชัดเจน
ฉู่สวินหยางก้มหน้าไม่พูดไม่จา แต่กลับรู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านในใจเล็กน้อย ผ่านไปชั่วครู่ถึงเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าไม่ได้คิดมาก ท่านพี่เจอเรื่องแบบนี้ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงการตกอยู่ในสถานการณ์เช่นเวลานี้ เจ้าไม่จำเป็นต้องคิดหาวิธีทำให้ข้าสบายใจทางอ้อมหรอก!”
“หึ…” เหยียนหลิงจวินหัวเราะเสียงต่ำ แล้วปิดปากเงียบไม่พูดสักคำ
นางยังต้องต้อนรับแขกอีกมากที่เรือนด้านหน้า ฉู่สวินหยางไม่มีเวลามาแอบคุยกันส่วนตัวกับเขาที่นี่จริงๆ จึงขยับตัวหลบเขาไปด้านหลัง เอ่ยว่า “หากเจ้าไม่อยากแสร้งยิ้มกับคนพวกนั้นที่นี่ก็กลับไปก่อน ฮูหยินใหญ่คนเดียวทำไม่ไหวแน่ ข้าต้องไป!”
เหยียนหลิงจวินโอบนางไว้และยังไม่ยอมปล่อยมือ สายตาพราวระยับราวกับดอกไม้ไฟเล็กๆ ก้มมองลงมา
ฉู่สวินยางถูกเขาจับจ้องจนรู้สึกอึดอัด เผลอคิดอยากจะขยับหลบสายตาไปข้างๆ แต่เขากลับก้มลงมาฉกริมฝีปากนางอย่างรวดเร็ว ทว่าไม่ได้ล่วงเกินมากนัก เพียงแค่แตะริมฝีปากอ่อนนุ่มของนางเบาๆ เท่านั้น แล้วหัวเราะเสียงแหบอย่างยั่วเย้าว่า “อันที่จริงข้ากลับไม่ได้สนใจเรื่องในวังเจ้ามากนัก”
แท้จริงแล้วเขาอาศัยสถานที่ใหญ่โตขนาดนี้ของคนอื่นเพื่อมาเอาเปรียบแค่นี้หรือ?
ฉู่สวินหยางไม่รู้จะทำอย่างไรดี นางหน้าแดงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดแทรกคำเย้าหยอกของเขา แล้วผลักเขาถอยหลังไปหนึ่งก้าวว่า “เจ้าไปเดินเองเถอะ ข้าขอตัวก่อน!”
เหยียนหลิงจวินเพียงแค่อมยิ้มมองตามหลังนางจากไปและไม่ได้ตามไปอีก รอจนนางจากไปครู่หนึ่งแล้วถึงแกล้งทำเป็นหลงทางในสวนดอกไม้ แล้วให้เด็กรับใช้ที่ทำความสะอาดพื้นพาเขากลับไปเรือนด้านหน้า
วันนี้มีคนมามอบของร่วมงานศพที่วังบูรพาเพื่อประจบสอพลอฉู่อี้อันไม่น้อย
พอเหยียนหลิงจวินกลับถึงเรือนด้านหน้าก็เห็นซูอี้ปะปนอยู่ในกลุ่มคนทันที ดังนั้นเขาจึงเดินอมยิ้มเข้าไปทักทาย
ทั้งสองคนต่างก็เก่งเรื่องมีโอกาสก็ไปร่วมสนุกเป็นครั้งคราว พูดคุยต่อหน้าคนอื่นได้ครู่หนึ่งแล้วก็ถอยออกไปนอกฝูงชน
“เจ้ามาหาข้าหรือ?” เหยียนหลิงจวินเอ่ยถาม
“ข้าช่วยตรวจสอบให้เจ้าแล้ว แต่ยังไม่ได้เบาะแสที่แน่ชัด จริงๆ เมื่อคืนทางจวนอ๋องหนานเหอมีความเคลื่อนไหว แต่ว่าฉู่ฉีเหยียนก็แอบพาคนไปตรวจสอบรอบที่เกิดเหตุก่อนพวกเจ้าแล้วเหมือนกัน ดูท่าทางระแวง อยากจะพบบางอย่างเหมือนกัน” ซูอี้เอ่ย ในขณะเดียวกันสายตาอันเฉียบแหลมยังคอยสังเกตความเคลื่อนไหวของแขกคนอื่นรอบตัว “เจ้าว่าจำเป็นต้องตรวจสอบอย่างอื่นเพิ่มอีกหรือไม่?”
แบบนี้ก็กำจัดฉู่ฉีเหยียนออกจากเป็นผู้ต้องสงสัยหรือ?
นัยน์ตาเหยียนหลิงจวินสงบนิ่ง เขาถอนหายใจออกมาเล็กน้อย แล้วหันไปมองทางเรือนด้านหลัง
“เจ้าสงสัยฉู่ฉีเฟิงหรือ?”
“เป็นไปไม่ได้งั้นหรือ?” ซูอี้ย้อนถาม “ถึงแม้พอเรื่องนี้เกิดขึ้นคนที่น่าสงสัยที่สุดจะเป็นเขา แต่ก็ตัดเขาที่มีเล่ห์เหลี่ยมทิ้งไปโดยสิ้นเชิงไม่ได้ ทั้งที่มีความเป็นไปได้ว่าต่อให้ทำไปก็ไร้ประโยชน์แต่ก็ยังดื้อดึงจะทำให้ได้ใช่หรือไม่?”
เขาเป็นคนที่น่าสงสัยที่สุดในเวลานี้ ดังนั้นก็ยิ่งมีคนมากมายคิดว่าเขาคงไม่โง่ทำเรื่องแบบนี้ แต่มักมีบางพวกที่ชอบพยายามเอาชนะด้วยกลอุบายอันแยบยล
รอยยิ้มบนหน้าเหยียนหลิงจวินจืดจางไปเล็กน้อย เขามองไปที่ขอบฟ้าไกลอย่างไร้อารมณ์อยู่นาน
ซูอี้เห็นท่าทางเขาแล้วก็ตบบ่าเขาว่า “ถือว่าข้าไม่เคยพูดอะไรกับเจ้าแล้วกัน!”
พูดจบก็เดินผ่านเขากลับเข้าไปจุดธูปในห้องโถง
ความจริงแล้วเรื่องนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเขาแม้แต่น้อย ทว่าเขาเปิดหอเชียนจีซื้อข่าวมาขายเก็งกำไรนานขนาดนี้ ก็มักมีนิสัยหมกมุ่นกับเรื่องราวที่ซับซ้อนเช่นนี้ ถึงแม้ว่าต้องสืบต่อไปเพียงเพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็นส่วนตัวก็ตาม
สำหรับเหยียนหลิงจวิน…
เขารู้สึกกังวลใจแทนฉู่สวินหยาง อย่างร้ายแรงก็คือ…หากสืบรู้ความจริงแล้วไม่บอกเขาเป็นต้น แล้วทุกคนก็อยู่ด้วยกันอย่างสงบ
ในเรือนจิ่นเซ่อบริเวณเรือนด้านหลัง ฉู่เยว่ซินพิงขอบโต๊ะแล้วลูบรูปปั้นสองตัวที่สีสดเหมือนจริงมากอย่างเบามือ
สาวใช้เฉินเซียงประคองถ้วยน้ำแกงไก่เดินเข้าไป เห็นมุมปากนางยกขึ้นเป็นรอยยิ้มแสนหวานอย่างเหม่อลอยพอดี จึงอดที่จะชะงักไปไม่ได้และเรียกนางอย่างระมัดระวัง “ท่านหญิง?”
“อุ๊ย!” ฉู่เยว่ซินสะดุ้งตกใจนั่งตัวตรงขึ้นมา เกือบปัดรูปปั้นใกล้มือตกพื้น นางรีบหยิบมาดูอย่างกระวนกระวาย พอแน่ใจว่าไม่เป็นไรแล้วก็โล่งอก และหันมาตวาดเฉินเซียงอย่างไม่พอใจว่า “ทำอะไรตกอกตกใจหมด? ระวังหน่อยไม่เป็นรึไง?”
ปกตินิสัยของฉู่เยว่ซินไม่ว่าจะอยู่ต่อหน้าหรือลับหลังก็คล้ายๆ กัน นางเป็นคนนิ่งเงียบและพูดน้อย และอ่อนโยน
เฉินเซียงตกใจจนหน้าตาซีดเซียวแล้วรีบเอ่ยว่า “ข้าไม่ระวังเอง ขอท่านหญิงโปรดอภัยให้ด้วย!”
ฉู่เยว่ซินพลันรู้สึกว่าตนเองทำกิริยาไม่เหมาะสม รู้สึกหงุดหงิดไปพักหนึ่ง แล้วรีบกลบเกลื่อนว่า “ช่างเถอะ ต่อไปทำอะไรก็ระวังหน่อย อย่าสะเพร่าแบบนี้ กับข้าน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่หากล่วงเกินเจ้านายคนอื่นเข้าล่ะก็แย่แน่!”
“เจ้าค่ะ ข้าจะจำไว้” เฉินเซียงตอบรับ เห็นสีหน้านางกลับมาเป็นเหมือนตอนแรกก็ไม่ได้คิดมากและส่งน้ำแกงไก่ให้ “วันนี้ในวังยุ่งวุ่นวาย ทางห้องครัวบอกว่าไม่ได้เตรียมอะไรไว้ให้ ข้าต้มน้ำแกงไก่มาให้ท่านก่อน ท่านหญิงรองท้องไว้ก่อนเถอะเจ้าค่ะ!”
“อื้ม!” ฉู่เยว่ซินหยิบผ้าเช็ดหน้าติดมือมาคลุมรูปปั้นบนโต๊ะไว้ แล้วค่อยๆ ดื่มน้ำแกงไก่ในมือ พลางถามไปด้วยว่า “งานศพของพี่ชายใหญ่ราบรื่นดีหรือไม่? พี่หญิงใหญ่น่าจะกลับมาแล้วใช่หรือไม่?”
พอพูดถึงฉู่เยว่เหยา พลันนัยน์ตานางก็ทอประกายวาบ แต่กลับก้มหน้าลงไม่ให้เฉินเซียงเห็น
“เจ้าค่ะ!” เฉินเซียงตอบ นางหันไปมองข้างหลังแล้วเดินไปปิดประตูก่อน
ฉู่เยว่ซินเห็นท่าทางนางก็รู้ว่าเรื่องต้องใกล้เคียงกับที่นางคิดไว้มากแน่ จึงยิ้มมุมปากว่า “ทำไม? นางก่อความวุ่นวายหรือ?”
“เจ้าค่ะ!” เฉินเซียงตอบ แล้วถอนหายใจหนัก “ก็ไม่รู้ว่าท่านหญิงใหญ่คิดอะไรอยู่ เวลานี้ไม่มีเหลยเช่อเฟยแล้ว นางไม่ประจบองค์ชายกับฮูหยินใหญ่ก็ช่าง แต่กลับทะเลาะกับฮูหยินใหญ่อย่างโจ่งแจ้งที่โถงตั้งศพ ทั้งยังเอาแต่ตะโกนว่าท่านชายจ่างซุนถูกใส่ร้ายจนตาย และต้องการให้องค์ชายรัชทายาทให้ความเป็นธรรมเจ้าค่ะ”
—————————————-