สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 13.3 พยายามเอาชนะด้วยกลอุบายอันแยบยล (3)
ฉู่เยว่ซินพอจะรู้ใจฉู่เยว่เหยา แม้แต่เฉินเซียงก็รู้ว่าที่พึ่งพิงของนางคือวังบูรพาและฉู่อี้อัน เพียงแต่หากคนโง่อย่างฉู่เยว่เหยาจะมาแค้นท่านพ่อเพราะแม่กับพี่ชายที่ไม่ได้เรื่องของตนเอง ก็เหมือนตัดทางรอดของตนเองไปหมด
“เดิมทีพี่หญิงใหญ่ก็เป็นคนวู่วามอยู่แล้ว” ฉู่เยว่ซินเอ่ยตามอีกประโยค และไม่มีแสดงความรู้สึกอะไรเป็นพิเศษ นางหยุดไปชั่วครู่แล้วถามอีกว่า “แล้วหลังจากนั้นล่ะ? ท่านพ่อไปหรือ?”
“ไม่เจ้าค่ะ!” เฉินเซียงตอบ “ท่านหญิงสวินหยางไปเจ้าค่ะ แค่รื้อฟื้นเรื่องเก่าของท่านชายจ่างซุนก็ปิดปากท่านหญิงใหญ่ได้ หลังจากนั้นก็หาข้ออ้างกล่อมให้นางไปอีก แล้วก็ไล่ออกไปทางประตูหลังแล้วเจ้าค่ะ”
“ไล่ไปแล้วหรือ?” ฉู่เยว่ซินประหลาดใจมากจนวางช้อนในมือลง
“ใช่เจ้าค่ะ!” เฉินเซียงตอบ ถึงแม้จะอยู่ในห้องก็เกรงกลัวเหมือนกัน จึงลดเสียงลงต่ำว่า “ทุกคนต่างพูดกันว่าท่านจวิ้นอ๋องเป็นคนฆ่าท่านชายจ่างซุน ท่านหญิงใหญ่ทั้งเยาะเย้ยเสียดสี ท่านหญิงสวินหยางคงกลัวว่านางจะก่อความวุ่นวายเจ้าค่ะ”
ฉู่เยว่ซินขมวดคิ้ว…
นางไม่ได้สนิทกับน้องสาวอย่างฉู่สวินหยางนัก แต่พอฉู่ฉีฮุยตายก็เห็นได้ชัดมากว่าต่อไปพวกเขาจะส่งต่อทั้งความร่ำรวยและฐานะของวังบูรพาให้ฉู่ฉีเฟิงทั้งหมด หากเกิดเหตุไม่คาดฝันกับฉู่ฉีเฟิง ก็ไม่เป็นผลดีต่อนางเช่นเดียวกัน
ทว่าเวลานี้พี่ชายใหญ่ตายไปแล้ว ตอนนี้ฉู่ฉีเฟิงก็เป็นลูกชายเพียงคนเดียวของท่านพ่อ ไม่ว่าฉู่ฉีเฟิงจะเป็นคนทำหรือไม่ ท่านพ่อย่อมไม่ทอดทิ้งเขาไปอีกแน่ เรื่องนี้นางมั่นใจยิ่งนัก
ฉู่เยว่ซินเหม่อลอยไปชั่วครู่แล้วดึงสติกลับมาอีกครั้ง นางค่อยๆ ดื่มน้ำแกงไก่ไปพลาง ถามไปพลางว่า “แขกที่มาเรือนด้านหน้าคงไม่น้อยใช่หรือไม่?”
“เจ้าค่ะ เยอะมาก! ท่านพ่อยังไม่ออกหน้า ฮูหยินใหญ่ทำไม่ไหวแน่ ท่านหญิงสวินหยางก็ไปช่วยแล้วเหมือนกันเจ้าค่ะ” เฉินเซียงพูดไปพลันนึกบางอย่างขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน นัยน์ตาทอประกายวาบ แล้วทำท่าทางลับๆ ล่อๆ ว่า “เมื่อครู่ตอนที่ข้ากลับมายังเจอใต้เท้าเหยียนหลิงในสวนดอกไม้ด้วย เหมือนได้ยินว่าคุณชายรองซูก็มาเหมือนกันเจ้าค่ะ!”
ครั้งที่แล้วทุกคนเดินเที่ยวงานวัดด้วยกัน แน่นอนว่าเฉินเซียงก็ต้องสนใจเหยียนหลิงจวินกับซูอี้มากหน่อย แต่ถึงแม้จะเห็นได้ชัดว่านางแค่พูดขึ้นมาลอยๆ ทว่านัยน์ตาของฉู่เยว่ซินกลับสว่างวาบในชั่วพริบตา แวววาวอยู่ไม่กี่นาที แล้วกวาดสายตามองรูปปั้นที่ผ้าเช็ดหน้าคลุมปิดเอาไว้ ทันใดนั้นใบหน้าก็ดูมีสีสันแต่งแต้มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“เฉินเซียง…” นางครุ่นคิดอย่างรวดเร็วไปชั่วครู่ แล้วฉู่เยว่ซินก็พึมพำว่า “เจ้าไปหาเสื้อผ้ามาให้ข้าเปลี่ยนที พวกเราไปเรือนด้านหน้ากัน ลองดูว่าจะช่วยฮูหยินใหญ่ได้บ้างหรือไม่”
เฉินเซียงนิ่งอึ้งไป มองนางอย่างประหลาดใจไม่หยุด…
ปกติแล้วถ้าเลี่ยงได้ฉู่เยว่ซินจะเลี่ยงสถานที่ที่มากคน หากเลี่ยงไม่ได้ก็หดตัวเป็นตัวประกอบอยู่ข้างหลังคนอื่น เคยกระตือรือร้นอยากทำขึ้นมาเองแบบนี้เมื่อไร?
ท่าทางนางสงสัยอย่างยิ่ง
ฉู่เยว่ซินกลัวแต่ว่าคนอื่นจะอ่านใจออก จึงทำหน้าเคร่งขรึมเอ่ยอย่างไม่พอใจทันทีว่า “บอกให้เจ้าไปเจ้าก็ไปสิ มัวชักช้าอยู่ทำไม?”
“เจ้าค่ะ!” เฉินเซียงรีบรับคำ แล้วไปหาเสื้อผ้ามาให้นางเปลี่ยนจากตู้เสื้อผ้าในห้องติดกัน
ฉู่เยว่ซินเลือกเสื้อผ้าอยู่นาน ในที่สุดก็เลือกชุดเสื้อและกระโปรงสีน้ำเงินอ่อนเลี่ยมขอบเงิน และยังค้นกล่องเครื่องประดับอยู่อีกครู่ใหญ่ แล้วหยิบที่ติดผมที่ถักเป็นรูปดอกไม้หลากสีฝังหยกสองอัน อันหนึ่งใหญ่อันหนึ่งเล็กมาประดับ เมื่อแน่ใจว่าแต่งตัวเรียบร้อยไร้ที่ติแล้วเฉินเซียงถึงประคองนางเดินออกไปอย่างอ่อนช้อย
ตั้งแต่เจอกันครั้งแรกที่ถนนไฉ่ถังวันนั้น การได้เห็นรอยยิ้มแสนอ่อนโยนของคนนั้นใต้แสงไฟริบหรี่ ก็ทำให้นางยากที่จะลืมเลือนได้ สองวันมานี้ในหัวก็มีแต่ภาพเลือนรางของซูอี้ตลอดเวลาจนลืมไม่ได้สักที
ก่อนที่จะเจอซูอี้ นางเฝ้าฝันถึงอนาคตอย่างเรียบง่าย อาศัยข้อได้เปรียบที่ตนเองมาจากตระกูลวังบูรพา แต่งงานกับคนที่ร่ำรวยและมีอำนาจสักคน เป็นภรรยาที่คอยดูแลครอบครัวของเขาอย่างมั่นคง ไม่ต้องโดนเหลยเช่อเฟยกดขี่ข่มเหงเหมือนตอนนี้อีกต่อไป แม้กระทั่งกับพี่สาวและน้องสาวที่วัยใกล้เคียงกันทั้งหมดก็ต้องกล้ำกลืนฝืนทนด้อยกว่าผู้อื่นหนึ่งขั้น
แต่ว่าตั้งแต่ที่เจอกันวันนั้น ประตูอีกบานในใจนางก็เปิดออกกว้างอย่างเงียบๆ
ถึงแม้ในตระกูลซูซูอี้ก็เป็นคนที่ไม่ได้รับความสำคัญเหมือนกัน แต่ว่าอากัปกิริยาของคนนั้นกลับงดงามอย่างที่สุด ที่สำคัญที่สุดคือรอยยิ้มที่แฝงความอ่อนโยนนั้น ราวกับส่องแสงสว่างให้กับเส้นทางในอดีตทั้งหมดไปสู่อนาคตของนาง
ใช่แล้ว ในเมื่อฉู่สวินหยางสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ เพลิดเพลินกับการดูแลเอาใจใส่ของเหยียนหลิงจวินได้อย่างไร้ความกังวล แล้วทำไมนางจะหาผู้ชายที่จริงใจและจะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิตให้ตนเองสักคนไม่ได้?
และซูอี้ก็เป็นคนที่นางเลือกให้เป็นคนนั้น!
พอความคิดนี้ได้หยั่งรากลึกลงในจิตใจก็เริ่มลุกลามแผ่กิ่งก้านสาขาออกไปไม่หยุด สองวันมานี้นางกังวลใจมากมาตลอด ราวกับสามารถเห็นนัยน์ตาคู่ที่ประดับด้วยรอยยิ้มหล่อเหลาของเขาผ่านรูปปั้นสองตัวที่เขาให้มา พอคิดถึงขึ้นมาก็จะรู้สึกใจเต้นตึกตัก
เพราะมัวแต่คิดเรื่องในใจ ฉู่เยว่ซินจึงก้าวเดินอย่างสะเปะสะปะเล็กน้อย นางลุกลี้ลุกลนเข้าไปในเรือนด้านหน้า จนเกือบจะชนเข้ากับฮูหยินใหญ่ที่เดินเข้ามาหา
“ท่านหญิงรอง?” ฮูหยินใหญ่ก็ประหลาดใจกับการปรากฏตัวของนางมากเหมือนกัน “เจ้ามาทำไมรึ? ที่นี่กำลังยุ่งวุ่นวาย เจ้ากลับไปเรือนด้านหลังเถอะ ระวังจะโดนชนเข้า”
ฮูหยินใหญ่กำชับไม่กี่ประโยค แล้วจะเดินไปทางห้องครัว
“ฮูหยินใหญ่!” ฉู่เยว่ซินรีบเรียกนางไว้ นางยิ้มด้วยท่าทีที่ยังเขินอายและขี้ขลาดอยู่บ้างว่า “ข้าได้ยินว่าที่นี่ยุ่ง ดังนั้นจึงมาดูว่ามีอะไรพอจะช่วยได้หรือไม่”
ฮูหยินใหญ่รู้ได้ถึงความผิดปกติแวบหนึ่ง กวาดสายตามองจากหน้านางไปแต่กลับไม่พบอะไร และไม่มีเวลามายุ่งกับนางแล้วจริงๆ จึงรีบร้อนเอ่ย “เจ้าลองไปดูเถอะ หากเรือนด้านหน้ามีแขกใหม่มาก็ช่วยดูแลสักหน่อย ข้าจะไปห้องครัว!”
“ได้!” ฉู่เยว่ซินพยักหน้า จับมือเฉินเซียงเดินไปเรือนด้านหน้าอย่างเปิดเผย
หรูโม่เดินมาข้างกายนาง แล้วเอ่ยอย่างระวังว่า “ฮูหยินใหญ่ ดูท่าทางของท่านหญิงรองไม่ค่อยปกติ จะให้…”
“ยังไม่ต้องสนใจนาง” ฮูหยินใหญ่เอ่ย เวลานี้นางยุ่งมากจริงๆ ว่าแล้วก็เดินไปทางห้องครัวอย่างรวดเร็ว
ณ ห้องทรงอักษร
คืนนั้นฉู่ฉีเหยียนไปกลับเมืองหย่งโจวมาหนึ่งรอบ เพียงแค่รีบกลับจวนไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็เข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้อย่างรีบร้อน
คืนก่อนฮ่องเต้โมโหเพราะเรื่องฉู่หลิงอวิ้น เวลานี้ก็น่าจะหายโมโหบ้างแล้ว เขาต้องฉวยโอกาสตอนนี้เข้าวังไปขออภัยแทน เช่นนี้ถึงจะสามารถคลายปมในใจของฮ่องเต้ได้ในที่สุด
เขาคิดว่าตนเองมาเช้าพอแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าตอนที่เย่าสุ่ยพาเดินเข้าไปในห้องทรงอักษรกลับพบว่ายังมีคนมาเช้ากว่าเขาอีก…
ฉู่ฉีเฟิงนั่งดื่มน้ำชาอยู่บนเก้าอี้อย่างสงบเสงี่ยม
หัวใจฉู่ฉีเหยียนพลันเต้นช้าลง อยู่ดีๆ ก็รู้สึกลางไม่ดีขึ้นมา แต่กลับไม่แสดงออกมาทางสีหน้า เขาเดินมุ่งตรงไปคุกเข่าลงต่อหน้าฮ่องเต้ “ฉีเหยียนถวายบังคมเสด็จปู่พ่ะย่ะค่ะ!”
เวลานั้นฮ่องเต้นั่งอ่านสาส์นอยู่หลังโต๊ะพอดี พอได้ยินเสียงก็เงยหน้าขึ้นมามองและพูดอย่างไร้อารมณ์ “เจ้ามา…เพราะเรื่องพี่สาวเจ้าใช่หรือไม่?”
“พ่ะย่ะค่ะ!” แต่ไหนแต่ไรมาฮ่องเต้ก็จัดการเรื่องราวอย่างรวดเร็วเด็ดขาดมาตลอด ไม่เคยชักช้าอืดอาด ฉู่ฉีเหยียนกลั้นหายใจและเอ่ยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “เป็นเพราะพี่สาวข้าเลอะเลือน ทำเรื่องเสื่อมเสียเกียรติของราชวงศ์ และยังทำให้เสด็จปู่กับเสด็จย่าไม่พอพระทัย ท่านพ่อรู้สึกละอายต่อท่านทั้งสองและเสียใจอย่างสุดซึ้งอยู่ตลอด แม้แต่ฉีเหยียนก็รู้สึกละอายใจกับเรื่องนี้ ดังนั้นจึงตั้งใจมาเข้าเฝ้าขอพระราชทานอภัยโทษต่อหน้าพระพักตร์ของเสด็จปู่ ท่านพี่นางมีความผิด เสด็จปู่จะดุด่าว่ากล่าวจะลงโทษนางก็ได้ แต่ขอทรงดูแลรักษาพระวรกาย อย่าได้โกรธนางจนพระวรกายทรุดลงไปด้วย หาไม่แล้ว…ต่อให้ท่านพี่ตายสักหมื่นครั้งก็ยากที่จะหลุดพ้นความผิดนี้ไปได้เช่นกัน”
ความจริงแล้วข้ออ้างแบบนี้เป็นสูตรตายตัวมาก แต่ว่าทั้งสีหน้าและน้ำเสียงของเขาจริงใจเป็นพิเศษ และไม่มีคำประจบสอพลอเจือปนอยู่ในความจริงใจแม้แต่น้อย ทำให้คนฟังรู้สึกสบายใจยิ่งนัก
เดิมทีฮ่องเต้ก็โปรดปรานเขามากอยู่แล้ว เวลานี้เห็นสีหน้าเขาเศร้าสลดไม่สบายใจและท่าทางตื่นตระหนก ท้ายที่สุดก็ไม่ได้พาลโกรธไปด้วย พระองค์ลังเลอยู่ชั่วครู่ แล้วส่งสาส์นฉบับหนึ่งใกล้มือให้ เอ่ยว่า “เจ้าลองอ่านนี่ดูก่อน!”
หลี่รุ่ยเสียงรับสาส์นนั้นมาแล้วยื่นให้
“พ่ะย่ะค่ะ!” ฉู่ฉีเหยียนรับมาอย่างกังวลใจ เพียงแค่พลิกเปิดอ่านก็รู้ว่าเป็นลายมือของฉู่ฉีเฟิง ในนั้นเต็มไปด้วยตัวอักษรหลายหมื่นตัว เขากวาดสายตามองทีละสิบแถวอย่างรวดเร็ว รู้สึกหน้าตึงอย่างไม่รู้ตัว ในเวลาเดียวกันในใจยิ่งหัวเราะเยาะด้วยหลายความรู้สึกหลากหลายที่ประเดประดังเข้ามาพร้อมกัน
หลังโต๊ะนั้นฮ่องเต้อ่านและรับสั่งเกี่ยวกับสาส์นที่อยู่ใกล้มือเรียบร้อยแล้ว เวลานี้จึงเงยหน้าขึ้นมามองเขาเอ่ยว่า “นี่เป็นบันทึกการรับเงินสินบนของจวนติ้งเป่ยโหวที่ฉีเฟิงตรวจสอบมาตลอดหลายวัน เจ้าก็เห็นแล้ว หากในนั้นมีตรงไหนดูไม่สมเหตุสมผลก็บอกข้ามา ถ้าไม่มีความเห็นต่าง ข้าจะส่งสาส์นนี้ต่อให้กรมอาญาแล้ว”
กฎระเบียบข้อบังคับในสาส์นของฉู่ฉีเฟิงชัดเจน ละเอียด และครอบคลุมทุกด้าน โดยเริ่มจากเรียงลำดับหลักฐานเอาผิดจางติ่งรับสินบนซ่อมคูน้ำตั้งแต่ต้นจนจบ ฉู่ฉีเหยียนรู้ดีอยู่แก่ใจว่าพวกนี้เป็นเรื่องจริง แต่สุดท้ายเรื่องที่น่าตกใจคือเขากลับคิดเพิ่มข้อกล่าวหาให้ตระกูลจางได้อีกข้อแล้ว…
บอกว่าคนตระกูลจางวางแผนใส่ร้ายฉู่หลิงอวิ้น และจงใจจะใช้ชื่อเสียงของราชสำนักมาบีบบังคับให้ฮ่องเต้ลงโทษสถานเบา แล้วก็ยั่วโมโหฮ่องเต้ให้ลงโทษตระกูลจางตามกฎหมาย
———————————–