สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 14.1 ท่านหญิงใหญ่บ้าไปแล้วหรือ? (1)
หญิงรับใช้สองคนก้าวเข้าไปหาด้วยสีหน้าเย็นชา พวกนางแยกกันจับแขนฉู่เยว่เหยาคนละข้างซ้ายคนขวาคน และออกแรงมากจนทำให้ฉู่เยว่เหยาแทบจะอกสั่นขวัญหาย
ยายเฒ่าจะทำอะไร? สถานการณ์นี้…
หัวใจนางเต้นแรงจนเหมือนจะหลุดลอยไปในอากาศ นางเงยหน้ามองชิงหลัวทันที
เห็นได้ชัดว่าแม่นมหูก็ไม่ได้ประทับใจในตัวชิงหลัวเช่นกัน นางหันไปมองแล้วพาคนเดินเข้าไปทางประตูในทันใด
ชิงหลัวหันกลับไปกระโดดขึ้นรถม้า แล้วองครักษ์ก็ขับรถม้าจากไปอย่างองอาจ
แม่นมหูเป็นสินเดิมที่ติดตัวมาของฮูหยินเจิ้ง นางไม่แต่งงานตลอดชีวิต คอยติดตามรับใช้ตลอดเวลา พูดจามีน้ำหนักมาก ในจวนผิงกั๋วกงนั้นแม้แต่ฮูหยินกั๋วกงแซ่หลินก็ต้องให้เกียรตินาง
เวลานี้นางเดินหน้าตาเยือกเย็นและนิ่งเงียบมาตลอดทาง มุ่งหน้าพาฉู่เยว่เหยาไปเรือนตะวันตก
ฮูหยินเจิ้งกินเจสวดมนต์มาหลายปี แม้แต่เรือนหลักก็แบ่งให้ลูกชายและลูกสะใภ้อยู่อาศัย ที่ตั้งของเรือนตะวันตกคับแคบเล็กน้อย ผิงกั๋วกงไม่อยากทำให้แม่ตนเองรู้สึกน้อยใจจึงให้คนเจาะทะลุเชื่อมกับเรือนข้างๆ ที่อยู่ติดกันเพื่อรวมสองเรือนเข้าด้วยกันแล้วบูรณะใหม่ ถึงแม้เรือนนี้ดูแล้วไม่โอ่อ่าเท่าเรือนหลัก แต่ก็ดูโอ่โถงมากเช่นกัน
ทว่าเพราะเป็นที่อยู่อาศัยของฮูหยินเจิ้ง ตั้งแต่ดอกไม้ใบหญ้าด้านนอกจนถึงการตกแต่งห้องด้านในต่างดูมืดมัว
พอฉู่เยว่เหยาเข้าไปในเรือนนี้ก็รู้สึกหวาดกลัวจนลนลานอย่างบอกไม่ถูก
“ฮูหยิน ข้าพาฮูหยินของซื่อจื่อมาแล้วเจ้าค่ะ!” แม่นมหูเปิดม่านเข้าไปรายงาน
“อืม!” เวลานั้นฮูหยินเจิ้งกำลังนั่งหลับตานับลูกประคำอยู่บนเตียงในห้องอุ่นพอดี ได้ยินแล้วก็ไม่ลืมตาขึ้นสักนิด นางเพียงแค่ขานรับอย่างเฉยชาเท่านั้น
“หลานสะใภ้คารวะท่านย่าเจ้าค่ะ!” ฉู่เยว่เหยาเดินเข้าไป แล้วย่อตัวคำนับฮูหยินเจิ้งอย่างนอบน้อม และทำเสียงให้อ่อนหวานเล็กน้อย
ถึงแม้นางจะเกิดเป็นราชนิกุล แต่เพราะตอนแรกไม่ได้แต่งงานเข้าจวนผิงกั๋วกงมาอย่างมีเกียรติมากนัก ประกอบกับตระกูลเจิ้งมีอำนาจและอิทธิพลในราชสำนักมากทีเดียว ดังนั้นนางอยู่ตระกูลเจิ้ง แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่กล้าวางท่าอวดดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อหน้าฮูหยินเจิ้งกับเจิ้งตั๋วผิงกั๋วกง นางถึงขั้นค่อนข้างระวังตัวด้วยซ้ำ
ฮูหยินเจิ้งนั่งอยู่บนเตียง สีหน้าเรียบเฉยราวกับไม่มีนางอยู่ตรงหน้า
ฉู่เยว่เหยาใจเต้นแรงตลอดเวลา สายตาสอดส่ายเห็นจดหมายที่นางเปิดอ่านแล้ววางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง นัยน์ตาฉายแววเป็นกังวลอย่างชัดเจน…
เจ้าเด็กบ้าฉู่สวินหยางเล่นตุกติกอะไรกันแน่? เหมือนกับยุให้ยายเฒ่าลุกขึ้นมาได้จริงแล้ว
สายตาฉู่เยว่เหยาเคร่งขรึม ไม่คิดว่าฮูหยินเจิ้งจะลืมตาขึ้นมาอย่างกะทันหัน พอเห็นสีหน้าและนัยน์ตานางทอประกายกร้าวก็ขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยเสียงเย็นว่า “คุกเข่าลง!”
ฉู่เยว่เหยาได้สติกลับมาและนิ่งอึ้งไป
ฮูหยินเจิ้งพูดเสียงไม่สูงนักจนเรียกได้ว่านิ่งเรียบ นางสงสัยว่าตนเองฟังผิดไปจึงเงยหน้ามองฮูหยินเจิ้งอย่างงุนงง
ฮูหยินเจิ้งหลับตาลงนับลูกประคำอีกครั้ง แต่กลับเป็นแม่นมหูที่เดินเข้ามาไม่พูดไม่จาเตะข้อพับฉู่เยว่เหยาทันที
“อา…” ฉู่เยว่เหยาร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดและล้มลงบนพื้น เข่ากระแทกอิฐปูพื้นจนเหมือนกระดูกจะแตก ความเจ็บปวดทำให้เหงื่อตกเต็มหน้าผากในชั่วพริบตา
“เจ้า…” นางเงยหน้ามองแม่นมหูอย่างเดือดดาล แต่ยังไม่ทันได้ผรุสวาทออกไป เห็นรอยยิ้มเย็นเยียบบนหน้าแม่นมหูก็ใจสั่น ไม่กล้าแม้แต่จะทำตัววางอำนาจ นางทำได้เพียงมองฮูหยินเจิ้งที่อยู่บนเตียง น้ำตาคลออย่างน้อยใจว่า “ท่านย่า หลานไม่รู้ว่าไปทำอะไรผิดให้ท่านโมโห? หากท่านไม่พอใจอะไรข้าก็พูดมาตรงๆ เถิด หลานจะปรับปรุงตัวแน่นอน แต่นี่ท่าน…”
“หึ!” ฮูหยินเจิ้งส่งเสียงหัวเราะเยาะออกมา แล้วลืมตาขึ้นมองนางอย่างเย็นชา แต่ท่าทางคล้ายไม่อยากพูดกับนางแม้แต่คำเดียว เพียงแค่เอ่ยกับแม่นมหูว่า “ไปดูหน่อย ทำไมพวกท่านกั๋วกงยังไม่มาอีก ต่อให้มีเรื่องสำคัญแค่ไหนก็ต้องให้พวกเขาพักไว้ก่อน ไปเรียกพวกเขามาหาข้าเดี๋ยวนี้”
สมัยฮูหยินเจิ้งยังสาวก็เป็นคนโหดเหี้ยม นางใช้เล่ห์เหลี่ยมกำจัดอนุภรรยาและลูกที่สามีรักมากเพื่อให้เจิ้งตั๋วได้เลื่อนขึ้นตำแหน่งสูงด้วยตัวคนเดียว ดังนั้นจริงๆ แล้วในจวนผิงกั๋วกงฮูหยินเจิ้งถึงจะเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น ในขณะที่เจิ้งตั๋วก็เคารพยำเกรงแม่ของตนเองมากเช่นกัน
ฉู่เยว่เหยาฟังน้ำเสียงของนางแล้วก็อึ้งไปทันที
“เจ้าค่ะ ข้าจะไปดู!” แม่นมหูตอบรับและกำลังจะหันตัวเดินออกไปข้างนอก ม่านประตูก็ถูกเปิดออกจากด้านนอก เจิ้งตั๋วผิงกั๋วกงกับเจิ้งเหวินคังซื่อจื่อก็ทยอยเดินตามกันเข้ามา
“ท่านแม่!”
“ท่านย่า!”
ถึงแม้ทั้งสองคนเข้ามาแล้วต่างก็เห็นว่าฉู่เยว่เหยาคุกเข่าอยู่ตรงหน้า แต่พวกเขากลับทำเหมือนนางไม่มีตัวตน และเดินเข้าไปคำนับฮูหยินเจิ้ง
ฮูหยินเจิ้งเหลือบมองทั้งสองคนอย่างเยือกเย็น
เจิ้งตั๋วเห็นนางมีสีหน้าไม่ดีนัก ก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาในทันใด เขาเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านแม่เป็นอะไรไปขอรับ? ภรรยาของคังเอ๋อร์ทำให้ท่านโกรธหรือ? ท่านจะลดตัวลงไปทะเลาะกับเด็กอย่างนางอีกทำไม?”
เจิ้งเหวินคังก็รู้สึกกระวนกระวายไปชั่วครู่ เขาแอบส่งสายตาให้ฉู่เยว่เหยาลับหลัง
ฉู่เยว่เหยาเองก็จับต้นชนปลายไม่ถูกและจนปัญญาเช่นกัน นางทำได้เพียงอดทนความเจ็บปวดและมองเขาอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ
“ข้าก็ไม่ได้อยากลดตัวลงไปทะเลาะกับนาง แต่ก็ต้องดูว่าพวกเจ้าจะทำให้ข้าวางใจได้รึเปล่า” ฮูหยินเจิ้งเอ่ย ต่อให้หันหน้าหาเจิ้งตั๋วสีหน้าก็ยังไม่สู้ดี นางถามเสียงเย็นยะเยือกว่า “ภรรยาเจ้าล่ะ? คนใช้ข้าไปเรียกนาง นางก็หาข้ออ้างบอกปัด ยิ่งอยู่ยิ่งทำตัวดีจริงๆ!”
เจิ้งตั๋วหน้านิ่งไปเล็กน้อย รู้ดีว่าครั้งนี้ฮูหยินเจิ้งโกรธแล้วจริงๆ เขาตื่นตระหนกมากจนรีบส่งสายตาให้พ่อบ้านที่ติดตามมาด้วย “ไปดูสิว่าฮูหยินทำอะไรอยู่ รีบเรียกนางมา ให้ท่านแม่รอนางได้อย่างไรกัน!”
“ขอรับ ท่านกั๋วกง!” พ่อบ้านรีบขานรับแล้วออกไป
ฮูหยินเจิ้งสร้างสถานการณ์ใหญ่ขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่หวังดี ฉู่เยว่เหยาอดที่จะรู้สึกตื่นกลัวเป็นระยะไม่ได้ นางไม่กล้าต่อปากต่อคำกับฮูหยินเจิ้ง จึงมองเจิ้งเหวินคังสามีของตนเองน้ำตาคลอว่า “ซื่อจื่อ หากข้าทำอะไรผิดไปจริง ท่านบอกให้ท่านย่าว่ามาได้เลย ข้าจะได้ขออภัยต่อหน้านาง อย่าให้นางโกรธจนร่างกายทรุดไปด้วย เช่นนั้นถึงจะเป็นความผิดของข้า”
นางกับเจิ้งเหวินคังนิสัยเหมือนกัน ความสัมพันธ์ระหว่างสองคนก็ไม่เลว
ถึงแม้เจิ้งเหวินคังอยากจะเข้าข้างนาง เขาขยับปากจะพูดแล้ว แต่พอเห็นหน้าตาเย็นชาของฮูหยินเจิ้งก็รู้สึกกลัวขึ้นมาแล้วก็พูดไม่ออกอีก
บรรยากาศภายในห้องอึดอัดจนทุกคนต่างรู้สึกไม่สบายใจ ไม่นานด้านนอกก็มีหญิงรับใช้สองคนยกสมุดบัญชีที่เก่าใหม่ปนกันกองใหญ่เข้ามาวางบนโต๊ะข้างเตียงตรงหน้าฮูหยินเจิ้ง
ฉู่เยว่เหยาหน้าซีดเผือด ทันใดนั้นก็มีความคิดหนึ่งกวนใจขึ้นมา ทว่านางกลับพยายามบังคับให้ตนเองไม่คิดไปทางนั้นอย่างที่สุด…
เรื่องนั้นนางลงมืออย่างลับๆ และยังมีท่านแม่แซ่หลินช่วยนางปกปิดอีกคน ฮูหยินเจิ้งจะจับได้ได้อย่างไร?
ฮูหยินเจิ้งไม่ถามเรื่องภายในจวนมาหลายปีแล้ว อยู่ดีๆ ก็ยกสมุดบัญชีมา เจิ้งตั๋วก็รู้สึกได้ว่าเป็นเรื่องสำคัญทันทีเช่นกัน เขาขมวดคิ้วว่า “ท่านแม่ นี่ท่าน…”
“เจ้านั่งลงก่อน ทุกเรื่องต้องรอภรรยาเจ้ามาแล้วค่อยว่ากัน” ฮูหยินเจิ้งหยิบสมุดบัญชีเล่มหนึ่งไปเปิดอ่านและไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย
ฉู่เยว่เหยาหยิกฝ่ามือบังคับให้ตนเองใจเย็นลง นางคุกเข่าอยู่ตรงนั้นในใจก็อดที่จะคิดฟุ้งซ่านวุ่นวายไปหมดไม่ได้ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ถึงจะเห็นพ่อบ้านเดินเข้ามาอย่างกระอักกระอ่วนจากด้านนอก ข้างหลังเขาว่างเปล่า เพราะคนแซ่หลินยังคงไม่มา
“ฮูหยินล่ะ?” เจิ้งตั๋วก็หน้านิ่งเหมือนกัน
“ฮูหยิน ท่านโหว ฮูหยินบอกว่าอาการปวดหัวกำเริบตั้งแต่เช้า เวลานี้ลุกไม่ไหวขอรับ” พ่อบ้านเอ่ยด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก “บอกว่าตอนนี้คงมาไม่ได้ขอรับ!”
“มาไม่ได้หรือไม่กล้ามา?” เจิ้งตั๋วยังไม่ทันพูดอะไร ฮูหยินเจิ้งก็โยนสมุดบัญชีในมือลงบนโต๊ะอย่างแรง นางหันไปบอกแม่นมหูว่า “แม่นมหู เจ้าไป ในเมื่อนางป่วยอยู่ เช่นนั้นก็ไปหามนางมา!”
นางไม่จำเป็นต้องดูสมุดบัญชีที่เหลือต่อแล้ว แค่กวาดสายตาอ่านเล่มหนึ่งคร่าวๆ ก็เห็นช่องโหว่มากมายในนั้น เดิมนางก็ยังคิดว่าฉู่สวินหยางอาจจะยุแยงใส่ร้าย ไม่คิดว่า…
ความโกรธของฮูหยินเจิ้งปะทุขึ้นมา จนหน้าอกกระเพื่อมอย่างรุนแรง
เจิ้งตั๋วเห็นสีหน้านางก็ยิ่งหวาดผวา เขาลุกเข้าไปช่วยนางลูบอกให้หายใจสะดวกว่า “ท่านแม่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่? แต่ฮูหยินกับท่านหญิงทำอะไรให้ท่านไม่พอใจหรือ? หากท่านไม่สบายใจจะด่าบ้างก็ได้ แต่อย่าเก็บไว้ในใจ ระบายอารมณ์ออกมาบ้างก็ยังดี!”
“ด่าออกมารึ? ข้าด่าแล้วจะทำให้ทรัพย์สินในบ้านตระกูลเจิ้งที่สูญเสียไปกลับคืนมาใหม่ได้รึ?” ฮูหยินเจิ้งเอ่ยเสียงเย็นเฉียบ นางคว้าจดหมายบนโต๊ะขึ้นมายัดใส่อกเจิ้งตั๋ว และเบือนหน้าหนีด้วยไม่อยากจะพูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว “เจ้าดูเอาเองเถอะว่าฮูหยินแสนดีที่ว่านอนสอนง่าย จิตใจงดงาม และเฉลียวฉลาดของเจ้าทำอะไรไว้บ้าง!”
“ท่าน…” ฉู่เยว่เหยาเหงื่อตกเต็มศีรษะเงยหน้าขึ้นมา นางรีบร้อนอยากบอกว่าตนเองบริสุทธิ์ แต่พอจะพูดก็ไม่รู้ว่าควรเริ่มพูดจากตรงไหนดี นางลังเลแล้วก็ชะงักไปด้วยความคิดที่ยังตีกันสับสนยุ่งเหยิง
แย่แล้ว!
ฉู่สวินหยางรู้ความลับของนางเข้าแล้วจริงๆ เวลานี้เอาเงินกลับมาไม่ได้ คนตระกูลจางต้องถลกหนังนางแน่!
เจิ้งตั๋วก้มหน้าก้มตาอ่านจดหมายอย่างสงสัย เจิ้งเหวินคังก็เข้าไปอ่านใกล้ๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น หลังจากอ่านจบแล้วสีหน้าของสองพ่อลูกก็เปลี่ยนไปมากเหมือนกันไม่มีผิด
เวลานั้นเอง ในที่สุดฮูหยินแซ่หลินแห่งจวนกั๋วกงก็ทนฮูหยินเจิ้งเร่งเชิญให้มาครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ไหวและถูกสาวใช้ประจำตัวประคองเข้ามา นางจงใจแต่งหน้าเพิ่มให้หน้าตาซีดเซียวอ่อนแอเหมือนคนป่วยจริง พอเข้าไปก็คารวะฮูหยินเจิ้งที่อยู่บนเตียงอย่างอ่อนแรง “ท่านแม่ แม่นมหูบอกว่าท่านรีบร้อนอยากเจอข้า ไม่ทราบว่า…”
คนแซ่หลินยังพูดไม่ทันจบ เจิ้งตั๋วที่หน้าเขียวปั๊ดก็ถลาเข้าไปหาอย่างโมโหสุดขีด แล้วตบหน้านางไปหนึ่งฉาด “นางสารเลว! ดูเรื่องงามหน้าที่เจ้าทำเอาไว้ซะ!”
ถึงแม้เจิ้งตั๋วจะเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น แต่ตอนยังหนุ่มก็เคยเรียนมวยกังฟูมาบ้าง เขาตบไปเต็มแรงจนคนแซ่หลินกระเด็นไปด้านข้างไกลพอสมควรและหน้าผากกระแทกเข้ากับมุมโต๊ะพอดี เลือดไหลทะลักอาบหน้านางในทันใด
“ฮูหยิน!” สาวใช้คนสนิทสองคนที่ติดตามนางมาร้องอย่างตื่นตระหนกจะเข้าไปพยุงนาง
“ไสหัวไปให้หมด!” ฮูหยินเจิ้งตวาดเสียงเย็นเยียบ
สาวใช้สองคนหดมือกลับไปทันที พวกนางหน้าซีดเผือดถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
ในห้องนี้นอกจากคนสนิทข้างกายของฮูหยินเจิ้งเองไม่กี่คนแล้วก็ไม่มีคนใช้เหลืออยู่อีกแม้แต่คนเดียว
—————————————–