สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 15.3 คดีเลือด (3)
ณ หอยลนที
หลัวอวี่ก่วนออกมาจากหอยลนทีแล้วก็รีบขึ้นรถม้าของตนเอง แต่ก็อดเปิดผ้าม่านมุมหนึ่งมองไปทางด้านหลังไม่ได้
ถึงแม้ฉู่สวินหยางจะเข้าไปในหอนั้นแล้ว ในใจของนางก็ยังคงกระวนกระวาย ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจำนางได้จริงๆ แล้วหรือเปล่า
เซียงเฉ่าสาวใช้ข้างกายของหลัวอวี่ก่วนเห็นท่าทางนางกลัดกลุ้มใจจึงรินชาแล้วส่งให้นาง พูดประจบว่า “คุณหนูดื่มชาจะได้ชุ่มคอเจ้าค่ะ!”
หลัวอวี่ก่วนกำลังไม่สบายใจ นางรับน้ำชาไปอย่างจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทีแรกว่าจะดื่ม แต่ก็ยังคงรู้สึกว้าวุ่นใจ และพลิกมือสาดน้ำชาใส่หน้าเซียงเฉ่าพลางด่าทอนาง “นังไพร่ชั้นต่ำ เจ้าไม่ดูตาม้าตาเรือหรืออย่างไร ข้าบอกกี่หนแล้วว่าอย่าตะโกนโหวกเหวก นี่เจ้าหูหนวกหรือตาบอดกันแน่?”
แม้ว่าน้ำชาจะไม่ร้อนมาก แต่ใบชาเปรอะอยู่บนหน้าเซียงเฉ่าก็ตกใจสะดุ้งและรีบคุกเข่าลงขอรับโทษ “ทั้งหมดเป็นความผิดของบ่าวเองเจ้าค่ะ บ่าวไม่ดูตาม้าตาเรือ คุณหนูยกโทษให้บ่าวด้วยเถิด บ่าวไม่กล้าทำอีกแล้วเจ้าค่ะ!”
หลัวอวี่ก่วนวุ่นวายใจ จึงไม่ได้ใส่ใจจะเอาผิดนาง จ้องมองนางด้วยสายตาดุร้ายอยู่นาน สุดท้ายก็ยังไม่สบายใจจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ประเดี๋ยวผ่านถนนเส้นนี้ไปข้าจะไปตรอกข้างหน้า เจ้าไปรอซูซื่อจื่อข้างทางแล้วเชิญเขามาหาข้า ข้ามีเรื่องจะคุยด้วย!”
แม้ว่านางจะคลุมผ้าปกปิดใบหน้าไว้ หากว่าฉู่สวินหยางจำหน้าได้จะทำอย่างไร?
ช่วงนี้ในจวนหลัวกั๋วกงกำลังวางแผนจัดงานศพของหลัวอี้ เพราะศพของหลัวอี้ยังไม่ทันได้ส่งกลับมาเมืองหลวง ดังนั้นช่วงนี้นางจึงไม่ได้เข้าวัง แต่เล่นบทเป็นลูกสาวผู้กตัญญูอยู่ในบ้าน แล้วก็หาโอกาสออกไปเจอซูหลินได้บ่อยๆ
ภายในจวนของซูหลินมีคนมากหน้าหลายตาเหมือนกำแพงมีหูประตูมีตา แม้ว่าเขาจะเป็นนายที่ปกครองจวนนี้แต่ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงเรื่องต่างๆ รั่วไหล ภายในเมืองมีคนพลุกพล่านไม่อาจเปิดเผยหน้าตา ดังนั้นพวกเขาสองคนจึงเลือกหอยลนที แต่ไม่นึกว่าวันนี้จะบังเอิญเจอฉู่สวินหยาง
หลัวอวี่ก่วนว้าวุ่นใจ พอถึงทางแยกก็จอดรถม้าให้เซียงเฉ่าลงจากรถม้า แล้วสั่งให้คนขับรถม้าเลี้ยวเข้าไปยังตรอกข้างหน้าเพื่อไปรอบริเวณอื่นที่ห่างออกไป
เนื่องจากในจวนจะต้องจัดการเรื่องงานศพ นางจึงย่องออกมาจากประตูหลังบ้าน นางไม่ต้องการจะใช้รถม้าและคนขับรถประจำตระกูล จึงให้เซียงเฉ่าไปเช่ารถม้าที่ไม่คุ้นตา เช่นนี้แล้วก็ไม่มีผู้ใดรู้แล้วว่าจริงๆ แล้วนางเป็นใคร
เซียงเฉ่าชะโงกหัวด้อมๆ มองๆ อยู่ข้างทางไม่นานก็เห็นซูหลินและองครักษ์สองสามคนขี่ม้ามาจากด้านหลัง
“ซูซื่อจื่อ!” เซียงเฉ่าดีใจ รีบวิ่งเข้าไปแล้วแสดงความเคารพ
ซูหลินดึงบังเหียน แล้วมองไปรอบๆ อย่างแปลกใจ “เจ้ามาอยู่นี่ได้อย่างไร?”
เซียงเฉ่ารู้ว่าเรื่องที่หลัวอวี่ก่วนทำไม่อาจให้คนล่วงรู้ได้ นางก็แอบกวาดสายตาดูรอบด้านอย่างระมัดระวังเพื่อให้แน่ใจแล้วว่าไม่มีคนจึงพูดเสียงเบาว่า “คุณหนูกำลังรอท่านอยู่ในตรอกข้างหน้า บอกว่ามีเรื่องจะคุยกับซื่อจื่อเจ้าค่ะ”
ซูหลินขมวดคิ้วแน่น
แม้ว่าช่วงนี้ทั้งสองคนรักเหนี่ยวแน่นร้อนแรงดั่งไฟ แต่เป็นเพราะว่าเมื่อครู่เพิ่งพบเจอกัน หากหลัวอวี่ก่วนเสี่ยงอันตรายออกมารอเขาแสดงว่าไม่ใช่แค่ออกมาเพื่อเกี้ยวพาน ทันใดนั้นในสมองของเขาราวกับมีแสงสว่างวาบออกมา เขาพอเดาออกแล้วจึงลงจากม้าและเดินมุ่งตรงไปยังตรอกที่ดูลึกลับข้างหน้าที่อยู่ไม่ไกลมาก
“ซื่อจื่อ!” หลัวอวี่ก่วนรออย่างกลุ้มใจ พอเห็นเขามาก็รีบจับกระโปรงเดินเข้าไปหา แต่พอเห็นองครักษ์ที่ตามซูหลินมาก็เงียบไปทั้งที่อยากพูด
ซูหลินโบกมือส่งสัญญาณให้องครักษ์ “พวกเจ้าไปเฝ้านอกตรอกเอาไว้ก่อน”
“ขอรับ!” เหล่าองครักษ์ขานรับแล้วเดินไปนอกตรอก
“ซื่อจื่อ!” หลัวอวี่ก่วนก้าวเข้าไปหา แล้วรีบกุมมือซูหลินพลางพูด “ทำไมท่านถึงเพิ่งมา? ข้ารอท่านตั้งนานแล้ว”
ซูหลินยิ้มพลางยื่นมือไปสัมผัสแก้มแดงอมชมพูของนาง “ข้าสั่งให้คนไปดูบ้านในเมืองหลวงแล้ว ไม่นานคงเลือกบ้านหลังที่เหมาะสมได้ อีกสองสามวันก็คงจัดการเรียบร้อยแล้ว ถึงตอนนั้นเวลาพบหน้ากันก็ไม่ต้องลำบากอีกแล้ว”
การตายของหลัวอี้ทำให้หลัวอวี่ก่วนต้องไว้ทุกข์ถึงสามปี ดังนั้นพวกเขาทั้งสองจึงไม่ได้รีบร้อนอะไร แต่ว่าต้องนัดพบที่โรงเตี๊ยมโรงน้ำชาที่ผู้คนผ่านไปผ่านมาช้าเร็วจะต้องเกิดเรื่องแน่ ดังนั้นซูหลินจึงได้ให้คนไปเลือกบ้านพักที่ลับหูลับตาคนเตรียมไว้แล้ว
หลัวอวี่ก่วนดีใจจนหน้าแดง นางจับมือของเขาแน่นพลางพูดน้ำเสียงหวาดกลัว “ข้ามีเรื่องสำคัญจะบอกท่าน…”
“ข้าก็กำลังพูดเรื่องสำคัญนะ!” ซูหลินพูดล้อนางเล่น
หลัวอวี่ก่วนโกรธเขา แล้วก็ดึงมือเขาพลางพูด “เมื่อครู่ตอนที่ข้าเดินออกมาจากหอยลนทีข้าบังเอิญเจอ
ฉู่สวินหยางเข้า คงมิเป็นอะไรกระมัง?”
เมื่อซูหลินได้ยินแล้วก็ค่อยๆ ตีหน้าขรึม “นางจำเจ้าได้หรือ?”
“ข้าไม่รู้!” พอนึกขึ้นมาได้นางก็เดินไปอีกทางพูดน้ำเสียงเคียดแค้นว่า “เป็นเพราะนังเด็กบ้าเซียงเฉ่าคนเดียวที่หลับหูหลับตาเดินชนนางเข้าให้ หากนางจำหน้าได้คราวนี้จะทำอย่างไรดีเล่า?”
ซูหลินแววตาหมองหม่อง พลางเม้มปากแน่นจนเป็นเส้นตรงและไม่ได้ตอบทันที
หากว่าฉู่สวินหยางบังเอิญเจอนางแต่จำหน้าไม่ได้ก็ปล่อยเลยตามเลย แต่หากนางจำหลัวอวี่ก่วนได้ต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่
เด็กคนนี้ไม่ปรากฏตัวตั้งนาน เหตุใดต้องมาเจอเอาตอนที่กำลังหน้าสิ่วหน้าขวานด้วย?
“ซื่อจื่อ หากมีคนรู้เรื่องของเราขึ้นมา ข้าคงไม่รอดแน่” หลัวอวี่ก่วนยิ่งคิดก็ยิ่งอกสั่นขวัญแขวน…
นางยังไม่ได้แต่งงานอย่างถูกต้องตามประเพณีกลับทำเรื่องไร้ยางอาย อีกทั้งช่วงนี้นางก็อยู่ในช่วงไว้ทุกข์แต่กลับออกมานัดพบกับบุรุษตามลำพัง หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปนางคงจบเห่เป็นแน่
“นางคงไม่น่าจำเจ้าได้กระมัง?” ซูหลินครุ่นคิดพลางพยายามปลอบใจนาง
“ถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้นเล่า?” เรื่องคอขาดบาดตาย หลัวอวี่ก่วนจะไม่เป็นกังวลได้อย่างไร
“เจ้าอย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้ อีกเดี๋ยวหาคนไปสืบเรื่องนี้แล้วค่อยว่ากัน หากดูท่าไม่ดีจริงๆ…” ซูหลินหรี่ตานัยน์ตาเยือกเย็น ขณะที่เขากำลังเหม่อลอยนั้นจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องอย่างตกใจดังมาจากเรือนข้างๆ “เจ้า…เจ้าเป็นใคร? เหตุใดจึงมาอยู่ในเรือนของข้าได้?”
ซูหลินและหลัวอวี่ก่วนโกรธจนหน้าเปลี่ยน
“ทหาร!” ซูหลินเดือดดาลเรียกองครักษ์ พลางวิ่งเข้าไปถีบประตูบ้านสภาพผุพังแตกหัก
ผู้หญิงที่ยืนอยู่ในลานบ้านสาดลูกพลัมแห้งที่อยู่ในกระบุงที่นางถือหลุดมือหล่นกระจัดกระจายลงไปกองบนพื้น มือของนางคว้าแขนของชิงหลัวไว้แน่นพูดด้วยความโมโห “เจ้าเป็นขโมยใช่หรือไหม? ไป ตามข้าไปหาทางการ!”
พอซูหลินเห็นหน้าชิงหลัวก็หน้าตาหม่นหมอง
ชิงหลัวยิ่งรู้สึกหงุดหงิด
นางได้รับคำสั่งจากฉู่สวินหยางให้สะกดรอยตามซูหลินจนมาถึงที่นี่ เดิมทีนางแอบฟังอยู่ตรงมุมรั้วในเรือนชาวนาจนบังเอิญเกิดเหตุ จึงเทความสนใจไปที่พวกเขาสองคนที่กำลังยืนคุยกันนอกรั้ว แต่นึกไม่ถึงว่าเรื่องกลับตาลปัตรนางถูกหญิงชาวนาคนนั้นจับออกมาประจาน
หากว่าเป็นคนอื่นนางคงลงมือจัดการจนเผ่นไปไกลแล้ว แต่สำหรับผู้หญิงที่ใสซื่อบริสุทธิ์ไม่มีความแค้นต่อใครซ้ำยังไร้เรี่ยวแรงจะต่อสู้จึงไม่อาจตัดใจลงมือได้ ระหว่างที่ติดพันอยู่นี้ซูหลินก็มาถึงแล้ว
หลัวอวี่ก่วนรีบตามไปติดๆ เห็นชิงหลัวที่ถูกหญิงชาวนาคนนั้นจับตัวไว้อยู่ในลานบ้านก็หน้าซีดเผือด แล้วขดตัวไปอยู่หลังซูหลินและสั่งองครักษ์ที่ตามเข้ามาด้านหลังเสียงดัง “ยังไม่ไปฆ่านางอีก!”
เมื่อครู่เรื่องที่เขาและหลัวอวี่ก่วนสนทนากันไม่รู้ว่านางแอบฟังได้มากน้อยเพียงใด อย่างไรก็ต้องฆ่าปิดปากนาง!
ซูหลินกับหลัวอวี่ก่วนคิดเหมือนกันโดยไม่ได้ปรึกษากันก่อน เขาดึงนางถอยไปหนึ่งก้าว และสั่งองครักษ์ด้วยสายตาเย็นชา “ฆ่านังเด็กคนนี้เดี๋ยวนี้!”
บรรดาองครักษ์เจ็ดแปดคนจับกระบี่เข้าไปประจันหน้า
หญิงชาวนาที่เดิมทีท่าทีเหิมเกริมนั้น ตอนนี้ตกใจจนแข้งขาอ่อนแรง นางกุมหัวไปหลบอยู่ด้านหลังตุ่มน้ำ สายตาหวาดกลัวนางกำลังจะตะโกนร้อง “มีคนฆ่ากัน…”
สุดท้ายนางไม่ทันได้ตะโกนจนจบประโยคก็ถูกองครักษ์คนหนึ่งเงื้อดาบปาดคอ
หญิงชาวนาคนนั้นเบิกตากว้าง แล้วร่างก็ค่อยๆ ล้มลงไปจมกองเลือดบนพื้น
ในดวงตาชิงหลัวปรากฏจิตสังหารอย่างชัดเจน เดิมทีนางคิดจะหนีเอาชีวิตรอด แต่ตอนนี้กลับถูกยั่วโมโห จึงชักกระบี่อ่อนตรงเอวออกมาต่อสู้กับเหล่าองครักษ์
หลัวอวี่ก่วนเห็นเลือดนองเต็มพื้นก็อดตัวสั่นไม่ได้ แต่ตอนนี้นางเป็นห่วงเรื่องระหว่างนางและซูหลินจะถูกเปิดเผยมากกว่า นางจึงกัดฟันอดทนรวบรวมสมาธิที่มีอยู่จ้องชิงหลัวที่อยู่ในลานบ้านอย่างโหดเหี้ยมอำมหิต
พอที่นี่เริ่มต่อสู้กันก็ทำให้เกิดเสียงดังขึ้นแล้ว
ซูหลินครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วเขาก็ผลักหลัวอวี่ก่วนไปหาเซียงเฉ่าที่หดหัวอยู่นอกประตูพลางพูดว่า “อีกเดี๋ยวหากเป็นเรื่องใหญ่อาจจะรู้ไปถึงทางการเข้า พวกเจ้าไปก่อน ข้าจะรับมือทางนี้เอง!”
——————————————————