สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 15.4 คดีเลือด (4)
หลัวอวี่ก่วนไตร่ตรองสักพัก แล้วก็ไม่รอช้าพยักหน้าถอยห่างหนีออกไปพร้อมเซียงเฉ่า
ซูหลินเองก็ชักกระบี่ออกมาแล้วพุ่งเข้าไปประจันหน้า
เขาคิดจะฆ่านาง หลังจากเหตุการณ์ลอบสังหารในวันส่งท้ายปีเก่าครั้งที่แล้ว เขาจึงยอมทุ่มเงินเป็นจำนวนมากเพื่อซื้อตัวองครักษ์มาคอยคุ้มครองอยู่ข้างกาย แม้ฝีมือการต่อสู้ของชิงหลัวจะไม่เลว แต่ภายใต้การต่อสู้กับกลุ่มองครักษ์ที่รุมล้อมหมายจะเอาชีวิตนางก็ทำให้นางไม่อาจต้านทานได้ ผ่านไปเพียงแค่ยี่สิบกระบวนท่า นางก็ถูกฟันเข้าที่ไหล่สาหัสเสียจนไม่อาจถือกระบี่ได้อย่างมั่นคง
ซูหลินแววตาอาฆาตแค้นคิดเพียงแต่จะเอาชีวิตนาง เขาได้ทีขี่แพะไล่ใช้กระบี่แทงทะลุเข้าไปกลางท้องน้อยของนางและยกเท้าขึ้นมาถีบนางกระเด็นออกไปไกล
ชิงหลัวล้มลงไปบนพื้นแล้วกระอักเลือดออกมาคำโตในทันใด นางกุมบาดแผลตรงท้อง และไร้เรี่ยวแรงจนคล้ายจะทรุดไปทั้งตัว
“จะโทษก็โทษที่เจ้าพละกำลังไม่พอ กล้ามาลองดีแอบฟังเรื่องของข้า แล้วก็อย่าคิดว่าวันนี้เจ้าตายอย่างไม่ยุติธรรม อย่างไรก็ตามข้าจะให้เจ้าตายอย่างไม่ทรมาน!” ซูหลินพูดอย่างเลือดเย็น แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดคราบเลือดที่เลอะกระบี่พลางสั่งองครักษ์ว่า “เอาร่างนางไปโยนลงแม่น้ำ ส่วนที่นี่จัดการเก็บกวาดไม่ให้เหลือร่องรอย ปกปิดหลักฐานให้เหมือนการฆ่าชิงทรัพย์ แล้วเช็ดถูคราบเลือดให้สะอาดหมดจด!”
“ขอรับ!” องครักษ์รับคำสั่งแล้วสองคนนั้นก็เดินเข้าไปยกร่างของชิงหลัวออกไป
ซูหลินคิดจะเอาชีวิตนาง ชิงหลัวบาดเจ็บเจียนตายเลือดไหลไม่หยุด หากนางยังสามารถมีชีวิตรอดได้คงเป็นปาฏิหาริย์แล้ว นางหมดกำลังจะขัดขืน องครักษ์สองคนลากนางออกไปนอกเรือน
ซูหลินจ้องมองด้วยสายตาเย็นชา ในสายตาของผู้อื่นคงคิดว่าชิงหลัวตายไปแล้ว แต่ขณะที่นางถูกลากออกไปถึงหน้าประตูใหญ่นั้นจู่ๆ ก็ลุกพรวดขึ้นมา นางไถลกริชที่อยู่ในแขนเสื้อออกมาแล้วใช้แรงเฮือกสุดท้ายแทงองครักษ์คนหนึ่งที่กำลังลากนางออกไปจนบาดเจ็บสาหัส
เขากรีดร้องออกมาพลางกุมแผลที่ท้องแล้วล้มลงไปบนพื้น
ซูหลินและคนอื่นๆ ตกตะลึงไปตามๆ กัน ตอนนั้นชิงหลัวตาพร่ามัวสะลึมสะลือแต่ยังหาโอกาสใช้เรี่ยวแรงที่เหลือดิ้นรนลอบทำร้ายองครักษ์คนหนึ่งที่กำลังลากนางจนล้มไปนอกประตูได้
ซูหลินไม่นึกว่านังเด็กเมื่อวานซืนยังสู้อุตส่าห์รวบรวมสติลุกขึ้นมาจู่โจมราวกับสายฟ้าแล่บ พอได้สติกลับมาก็ตะคอกเสียงดังว่า “มัวอึ้งทำอะไรอยู่? ยังไม่รีบตามนางไปอีก? วันนี้หากปล่อยให้นางหนีไปได้ พวกเจ้าทุกคนอย่าหวังว่าจะมีชีวิตรอด!”
“ขอรับ ซื่อจื่อ!” เหล่าองครักษ์ถูกเขาแผดเสียงใส่ราวเพิ่งตื่นจากฝัน รีบร้อนถือกระบี่วิ่งตามนางไป
ชิงหลัวได้รับบาดเจ็บสาหัส ไร้พละกำลัง วิ่งหนีหัวซุกหัวซุนแล้วล้มคะมำตรงตรอกเล็กๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเหล่าองครักษ์ไล่จี้ตามมาข้างหลัง
ขาทั้งสองข้างของนางไม่อาจลุกขึ้นยืนมาได้ ทำได้เพียงตะเกียกตะกายไปข้างหน้า ในใจนางหมดหวังว่าตนจะรอดชีวิต แต่คาดไม่ถึงว่าขณะที่นางกำลังคลานหนีไปข้างหน้า ทันใดนั้นก็มีคนที่ผ่านมาข้างทางช่วยประคองนางขึ้นมา
ตอนนั้นเลือดท่วมตัวชิงหลัว มือไม้อ่อนปวกเปียกหมดสิ้นเรี่ยวแรงกำลัง บนหน้าผากเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ นางกระเสือกกระสนหอบสังขารและสติอันน้อยนิดเงยหน้าขึ้นมอง ภาพที่ปรากฏเป็นใบหน้าเลือนรางของคนแปลกหน้ายังดูเยาว์วัยรูปร่างหน้าตาธรรมดาคนหนึ่ง
คนๆ นั้นขมวดคิ้วมองนางเหมือนรังเกียจมาก บนหน้าไร้ความรู้สึก แต่กลับเต็มไปด้วยจิตสังหารที่หนาวสะท้านไปถึงกระดูกอย่างไร้ที่มา ทำให้หัวใจนางที่ยังเหลือความอบุอ่นอยู่บ้างหนาวจนเหมือนก้นหุบเขาที่หนาวเหน็บ
“มีคนมาหรือ?” องครักษ์ที่ตามมาเห็นว่ามีคนเดินผ่านมาเห็นนางเข้า ก็พุ่งเข้าไปโดยไม่แม้แต่จะลังเล “ฆ่าให้หมด!”
พอนางนึกถึงหญิงชาวนาที่ทำให้นางเดือดร้อน ชิงหลัวก็โกรธจนฮึดสู้ขึ้นมา รวบรวมแรงทั้งหมดที่มียกมือจะผลักคนๆ นั้นออกไป
แม้ว่านางยังได้รับบาดเจ็บแต่พละกำลังก็ไม่ถือว่าน้อย นึกไม่ถึงว่าคนๆ นั้นไม่ขยับสักนิด มือข้างหนึ่งของเขาจับไหล่นางไว้ ระหว่างนั้นองครักษ์ก็พุ่งเข้ามาอย่างเลือดเย็น แต่เขากลับไม่ยอมหลบ และเพียงยื่นมือออกไปต่อสู้กับเหล่าองครักษ์พวกนั้นด้วยมือเปล่าข้างเดียวอย่างเยือกเย็น ไม่มีผู้ใดเชื่อว่าเขาทำได้อย่างไร ขณะที่ร่างล่ำสันกำยำขององครักษ์พวกนั้นล้มกระโจนไปในโคลนตม เขายังยืนอย่างแน่นิ่งไม่ไหวติง ในมือของเขา…
กุมมีดที่เปื้อนเลือดอยู่ในมือ
เมื่อครู่คนๆ นั้นใช้อาวุธเล่นงานเขา
หลายคนที่อยู่ข้างหลังตกใจจนหน้าซีดไปหมดและเผลอถอยหลังไปราวกับเจอศัตรูตัวฉกาจ พลางถามเสียงสั่นว่า “เจ้า…เจ้าเป็นใคร?”
คนๆ นั้นรูปร่างไม่สูงนัก แต่ผอมมาก มองเผินๆ เหมือนหญิงสาวที่รูปร่างผอมบาง ใบหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก แต่สามารถทำให้คนหวาดหวั่นได้ถึงเพียงนี้ ครั่นคร้ามเสียจนหัวใจทั้งดวงสั่นสะท้านตับไตไส้พุงหดตัวกองรวมอยู่ด้วยกัน
เขาไม่สนใจคำถามของคนพวกนั้น มือข้างหนึ่งหิ้วตัวชิงหลัวไว้ ในขณะที่กระโจนมาอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า เหล่าองครักษ์พวกนั้นวิ่งตะบึงเข้าไปยังฝุ่นตลบ เขาหมุนตัวเสื้อคลุมสีน้ำเงินที่เขาสวมใส่สะบัดกลางอากาศ ทันใดนั้นบรรยากาศรอบๆ พลันหยุดนิ่งกระทั่งเสียงเต้นของหัวใจยังได้ยิน ลำคอและหัวใจขององครักษ์พวกนั้นกลายเป็นช่องโหว่เลือดพุ่งกระฉูดออกมาไม่หยุด
เสียงหัวใจเต้นตึกๆ ค่อยๆ ช้าลงจนเสียงหยุดนิ่ง เบื้องหน้าเกลื่อนไปด้วยร่างกำยำไร้วิญญาณนอนตายตาไม่หลับ
“แค่ผู้หญิงคนเดียว เหตุใดถึง…” ซูหลินไม่ได้ยินความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นข้างนอก เขาพาองครักษ์ที่เหลืออยู่สองคนวิ่งออกมาจากเรือนนั้น
คนๆ นั้นจดจ้องแวบหนึ่ง แล้วเขวี้ยงมีดที่อยู่ในมือทิ้งไป ส่วนมืออีกข้างก็หิ้วตัวชิงหลัวที่ตัวอ่อนปวกเปียกจากไปอย่างรวดเร็ว
ซูหลินวิ่งออกมาจากตรอก เห็นแค่เงาสลัวๆ ของคนที่สวมชุดสีน้ำเงินเข้มที่อยู่เบื้องหน้าค่อยๆ หายไปด้วยความรวดเร็ว หากไม่ได้เห็นศพที่นอนเกลื่อนเต็มพื้น เขาก็เกือบจะคิดว่าตนเองดูผิดไป เพราะรอบด้านเงียบสงัดโล่งโจ้ง แม้กระทั่งเงาวิญญาณสักตนก็ไม่มี
แต่คนของเขาตายหมดแล้ว!
ภายใต้ท้องฟ้าที่สว่างไสว ศพอยู่บนถนนและพื้นเต็มไปด้วยเลือดสีแดงอย่างไม่น่าเชื่อ คนเห็นคงขวัญหนีดีฝ่อ
“นี่…นี่มัน…” เห็นเลือดไหลมาถึงเท้า องครักษ์คนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างซูหลินหน้าเขียวและค่อยๆ ถอยไปทีละก้าว พลางเอ่ยอย่างไม่อยากเชื่อว่า “ผู้หญิงคนนั้นดูอย่างไรก็เจ็บปางตาย เหตุใด…เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้?”
ซูหลินใจตุ๊มๆ ต่อมๆ สีหน้าขาวซีด…
ชิงหลัวหมดเรี่ยวแรงจะต่อสู้ ดังนั้นคนที่ลงมือไม่ใช่นางแน่นอน เมื่อครู่เขาก็เห็นเต็มสองตาว่ามีเงาคนปรากฏ
ดังนั้น…
ชิงหลัวถูกคนช่วยชีวิตไปหรือ?
เป็นฝีมือฉู่สวินหยาง? หรือจะเป็นเหยียนหลิงจวินกันแน่?
แต่หากเป็นพวกเขาทั้งสองจริง เหตุใดพวกเขาไม่กักตัวเขาไว้ที่นี่? แต่กลับพาชิงหลัวหนีไป?
ตอนนั้นในหัวของเขาความคิดสับสนวุ่นวาย เขาคิดแค่ว่า “ไม่ควรอยู่ที่นี่นาน พวกเรากลับ!”
บางทีตอนที่เขาพูดคำนี้ออกมาอาจจะสายไปเสียแล้ว บนถนนเลียบแม่น้ำข้างหน้ามีเสียงเท้าม้าและเสียงโลหะกระทบกันโฉ่งฉ่าง พอหันไปมองตามเสียงเห็นซูอี้กำลังขี่ม้าสูงใหญ่บึกบึนมาจากในเมืองอย่างรวดเร็ว
เขามาเพียงคนเดียว แต่โชคไม่ดีเท่าไร สายตาที่เฉียบคมของเขาทำให้รู้สึกประหลาดใจ เขาสามารถสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวที่อยู่ในตรอกไกลออกไป เขาเผลอมองไปตามเสียงที่ได้ยินแล้วก็ทักทายซูหลินพอดี
“ซูซื่อจื่อ!” ซูอี้ดึงบังเหียนแล้วเลี้ยวเข้ามาในตรอก กวาดตามองซูหลินและศพที่นอนเรียงรายอยู่บนพื้น แม้ในใจตกตะลึงแต่ไม่แสดงออกทางสีหน้า เขากลับยิ้มกลบเกลื่อนความรู้สึก “ท่านถูกจี้ชิงทรัพย์หรือ? ต้องการให้ข้าช่วยรายงานทางการให้หรือไม่?”
เขาพูดไปก็ถอนหายใจอีกโดยที่ซูหลินยังไม่ได้ตอบว่า “เรื่องนี้เป็นคดีอาญาต้องรายงานทางการ!”
พูดจบก็พลิกตัวแล้วลงมาจากหลังม้าอย่างคล่องแคล่วว่องไว เขาเดินออกไปจากตรอก เห็นคนกำลังเดินผ่านมาไม่ไกลนักเขาก็เดินเข้าไปขัดจังหวะ ซูหลินเห็นเพียงแค่เขายืนคุยกับคนที่ผ่านมาแล้วซูอี้ก็ชี้มายังตรอก แล้วยัดเหรียญเงินให้คนที่เดินผ่านมาคนนั้น จากนั้นคนๆ นั้นก็พยักหน้าแล้ววิ่งเผ่นไปไกล
เดิมทีตรอกแห่งนี้ไม่ได้ลึกมาก อีกทั้งยังมีซูอี้เขามาเกี่ยวข้องอีก บวกกับกลิ่นคาวเลือดที่ยังคละคลุ้งไปทั่ว ไม่ว่าอย่างไรเรื่องที่นี่ก็ปิดบังต่อไปไม่ได้แล้ว
คนที่เดินสัญจรไปมาบนถนนเลียบแม่น้ำเริ่มทยอยกันมามากขึ้นเรื่อยๆ โอบล้อมตรอกจนแน่นขนัด
ซูหลินติดอยู่ที่นี่
ซูอี้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขาก็ยังคงแสดงท่าทางองอาจส่งรอยยิ้มอย่างสุภาพอ่อนน้อมให้ซูหลิน
ซูหลินยิ่งคิดเรื่องนี้ก็ยิ่งรู้สึกว่ามีพิรุธ สองพี่น้องมองหน้ากันนานมาก ในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหวกัดฟันถาม “เจ้าเป็นคนทำใช่หรือไม่?”
“ทำอะไรรึ?” ซูอี้งอึ้งไปแล้วเผลอโพล่งย้อนถามไป
แต่ซูหลินยังไม่ทันได้ตอบกลับ นอกตรอกก็เห็นฉู่สวินหยางแทรกตัวเบียดผ่านฝูงชนเข้ามาด้วยสีหน้าหม่นหมอง
——————————————————–