สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 16.1 เข้าเลือดเข้าเนื้อ (1)
ซูอี้นัดพบเหยียนหลิงจวินที่หอยลนที ฉู่สวินหยางจะปรากฏตัวอยู่แถวๆ นี้เขาก็เข้าใจได้ทันที แต่มองสีหน้าของอีกฝ่ายแล้ว…
ซูอี้ก็ยังเลี่ยงไม่ได้ที่จะแอบสูดลมหายใจเข้า
“ท่านหญิงสวินหยาง!” เขาสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเดินหน้าไปทักทาย “ช่างบังเอิญนักที่พบท่านที่นี่”
“คุณชายรอง!” ฉู่สวินหยางพยักหน้าให้เขาเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่านางไม่มีอารมณ์ต่อล้อต่อเถียงกับเขาจึงแค่ถามพอเป็นพิธีว่า “ทำไมถึงได้ก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เกิดอะไรขึ้นที่นี่รึ?”
พูดไปก็เหมือนอยากรู้อยากเห็นมากแล้ว จึงเดินผ่านซูหลินและซูอี้สองพี่น้องไปแล้วเลี้ยวเข้าไปตรวจสอบข้างในเรือนของชาวนา
แม้ว่าซูหลินได้ทำการปกปิดร่องรอยที่น่าสงสัยในสถานที่เกิดเหตุ แต่เนื่องจากสถานการณ์คับขันจึงไม่มีเวลาตรวจสอบความเรียบร้อย
ฉู่สวินหยางเดินเข้าไปในเรือน สิ่งที่นางมองเห็นเป็นอย่างแรกคือศพขององครักษ์ที่นอนอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้าหนึ่งศพ แล้วพอเห็นกระบี่อ่อนจมอยู่ในกองเลือดก็รู้สึกหวั่นใจขึ้นมา
“ท่านหญิง…” ชิงเถิงที่ติดตามนางเข้ามาหน้าซีดเผือดและน้ำตาคลอเบ้า
ฉู่สวินหยางไม่พูดอะไร นางรีบเดินเข้าไปหยิบกระบี่อ่อนเล่มนั้นขึ้นมา
ถึงแม้ชิงเถิงจะเสียใจและหวาดกลัวมากน้อยเพียงใด แต่นางก็ยังคงมั่นคงหนักแน่น แล้วรีบฉีกกระโปรงชั้นในออกมาเพื่อใช้เป็นผ้าห่อกระบี่อ่อนเปื้อนเลือดเล่มนั้น
ฉู่สวินหยางกวาดสายตามองไปรอบๆ บ้านหลังนั้นอย่างละเอียดและรวดเร็ว เมื่อได้ตรวจสอบจนครบทุกซอกทุกมุมอย่างถี่ถ้วน นางจึงเดินออกจากเรือน พลางเอ่ยขณะที่เดินไปนอกตรอกว่า “เจ้ารีบกลับไปบอกให้ท่านพี่ส่งคนมาแอบค้นหาร่องรอยของชิงหลัว”
“ท่านหญิงหมายความว่า…” ชิงเถิงรู้สึกดีใจ สีหน้าเริ่มมีความหวังขึ้นมา
“ไม่แน่ใจ!” แต่ดูท่าทางซูหลินเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด จึงเป็นไปได้ว่าชิงหลัวยังมีชีวิตรอด “ เวลาไม่คอยท่า เจ้ารีบไปจัดการ!” ฉู่สวินหยางสั่งการอย่างกระชับและรวดเร็ว ระหว่างที่เอ่ยนั้นนางก็กลับไปถึงปากทางเข้าตรอกที่สองพี่น้องยืนอยู่แล้ว
ซูหลินเห็นชิงเถิงหอบห่อผ้าไว้ในอ้อมแขนออกมา สายตาก็มืดมน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร แค่กัดฟันแล้วละสายตามองไปที่อื่น…
ไม่ว่าอย่างไรคนที่เข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้ยิ่งน้อยก็ยิ่งดี ถึงแม้การที่ฉู่สวินหยางให้คนสะกดรอยตามเขาจะเป็นเรื่องที่ไม่สมควร แต่หากเรื่องนี้ลุกลามไปถึงขั้นทางการต้องเข้ามาตรวจสอบ ก็ปิดเรื่องของเขาและหลัวอวี่ก่วนไม่ได้แล้ว และจะได้ไม่คุ้มเสียอย่างแน่นอน
ฉู่สวินหยางมองเขาอย่างเย็นชา นางไม่พูดไม่จาแต่กลับไม่ยอมจากไป
ชิงหลัวหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย คนที่ร้อนใจมากที่สุดคือซูหลิน ในใจของเขาร้อนรุ่มดั่งไฟสุมอก ไม่อาจควบคุมความวู่วามจึงพูดแดกดันไปว่า “ที่นี่กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง ท่านหญิงเป็นสตรีสูงศักดิ์ อยู่ที่นี่คงจะไม่เหมาะสมกระมัง?”
“ซูซื่อจื่อเองเจอเรื่องร้ายเช่นนี้ เมื่อข้ามาเจอต่อหน้าแล้วจะไปเช่นนั้นก็จะยิ่งไม่เหมาะสม” ฉู่สวินหยางพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นไร้ความรู้สึก “ไม่ว่าอย่างไรรออีกสักครู่คนของทางการมาแล้วก็ลองถามว่าเกิดอะไรขึ้น”
“หึ!” ซูหลินรู้ว่าไม่อาจทำอะไรนางได้ จึงทำได้เพียงเปล่งเสียงออกมาอย่างไม่พอใจแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยามใต้เท้ากู้ฉางเฟิงแห่งศาลาว่าการพระนครก็รีบพาคนมา เหล่าเจ้าหน้าที่ทางการตะเพิดให้ผู้คนกระจายตัวออก
กู้ฉางเฟิงพาคนเบียดเข้ามาอย่างเหงื่อตกเต็มศีรษะ พอเห็นฉู่สวินหยางอยู่ในที่เกิดเหตุก็อึ้งไปแล้วรีบคำนับว่า “คารวะท่านหญิง!”
เดิมทีเขาได้ยินคนไปแจ้งความที่ศาลาว่าการพระนคร ถึงจะเป็นคดีที่มีคนตายก็คิดว่าจะส่งคนมาดูเท่านั้น ทว่าคนผ่านทางที่ไปแจ้งความนั้นกลับย้ำนักย้ำหนาว่าเกิดเรื่องกับซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องฉางซุ่น กู้ฉางเฟิงถึงรู้สึกว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นจึงรีบมาด้วยตัวเอง ไม่นึกว่าฉู่สวินหยางก็อยู่ที่นี่ด้วย
“ใต้เท้ากู้ไม่ต้องมากพิธี ข้าก็แค่บังเอิญผ่านมาเจอ เห็นซูซื่อจื่ออยู่ที่นี่ก็เลยแวะเข้ามาทักทาย” ฉู่สวินหยางเอ่ยด้วยสีหน้าเฉยชา “ท่านมีอำนาจควบคุมดูแลความสงบพื้นที่เมืองหลวงบริเวณนี้ ตอนนี้ซูซื่อจื่อประสบปัญหาที่ไม่คาดคิด ท่านจะต้องตรวจสอบความจริงให้กระจ่าง ถือเสียว่าข้าไม่ได้อยู่ที่นี่ ท่านปฏิบัติงานตามขั้นตอนของท่านเถอะ!”
“ขอรับ!” กู้ฉางเฟิงขานรับ แล้วหันไปทักทายซูหลินกับซูอี้
ระหว่างนี้เจ้าหน้าที่ทางการตรวจสอบทั้งในและนอกสถานที่เกิดเหตุเสร็จแล้วจึงกลับมารายงานว่า “ใต้เท้า ข้าไปดูมาหมดแล้วขอรับ มีผู้หญิงคนหนึ่งกับองครักษ์คนหนึ่งตายอยู่ในเรือนข้างหน้า ในตรอกนี้หกคน รวมทั้งหมดมีผู้เสียชีวิตแปดคน น่าจะ…”
ขณะที่เจ้าหน้าที่คนนั้นกำลังพูดก็มองไปทางซูหลินอย่างเคลือบแคลงใจ “องครักษ์เจ็ดคนนี้สวมเครื่องแบบเหมือนกันหมด เป็นคนที่อยู่ข้างกายซูซื่อจื่อใช่หรือไม่?”
ซูหลินหน้าเขียว และตอบเสียงเย็นชาอย่างไม่ดีนักว่า “อืม! คนของข้าเอง”
ซูหลินสีหน้าไม่สู้ดี บรรดาเจ้าหน้าที่ทางการก็ไม่กล้าพูดอะไรกับเขา แต่กู้ฉางเฟิงกลับไม่เกรงกลัวเขา แล้วก็แค่เอ่ยอย่างเกรงใจมากขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น พลางประสานมือว่า “อย่างไรก็ขอให้ซูซื่อจื่ออธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ด้วย!”
“ข้าไปกินข้าวที่หอยลนที ระหว่างทางกลับข้าผ่านมาทางนี้ได้ยินเสียงคนร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ แว่วมาจากข้างในตรอกก็เลยเข้ามาดู” เขาเล่าเหตุการณ์รวบรัดด้วยสีหน้าเย็นชา “น่าจะเป็นการปล้นชิงทรัพย์ มีคนมาเห็นเข้าก็เลยฆ่าปิดปากกระมัง!”
ฉู่สวินหยางสีหน้าสงบดุจน้ำนิ่ง
แม้ว่าซูอี้คิดจะลอบกัดซูหลิน แต่ก็ไม่แน่ใจว่าฉู่สวินหยางอยู่ที่นี่ในฐานะอะไรกันแน่ จึงคอยดูสถานการณ์ไปก่อน
กู้ฉางเฟิงคุมศาลาว่าการพระนครมานานแล้ว ลูกน้องเขาก็มีวิธีการจัดการคดีของตนเอง เวลานี้เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพที่เขาพามาด้วยตรวจสอบศพทั้งหมดคร่าวๆ แล้ว จึงเดินก้มหน้าก้มตาเข้ามาหาว่า “ใต้เท้า ทุกคนถูกแทงตายในดาบเดียว โดยเฉพาะหกคนที่อยู่ในตรอก มือสังหารฝีมือร้ายกาจ น่าจะเชี่ยวชาญด้านการต่อสู้เป็นอย่างมากขอรับ”
“องครักษ์ที่อยู่ข้างกายซูซื่อจื่อไร้ฝีมืองั้นหรือ? ถูกจัดการง่ายขนาดนี้จะไม่กลายเป็นที่หัวเราะเยาะงั้นหรือ?” กู้ฉางเฟิงยังไม่ทันได้พูด ฉู่สวินหยางก็หัวเราะเยาะออกมาแล้ว นางเดินไปข้างหน้าสองก้าวโดยไม่กลัวเลือดที่ไหลนองเต็มพื้นแม้แต่น้อย แล้วมองซูหลินอย่างเยาะเย้ยว่า “ซูซื่อจื่อ ถึงเมื่อครู่ท่านจะอยู่นอกตรอก ก็น่าจะเห็นว่าใครลงมือกับองครักษ์ของท่านใช่หรือไม่?”
ซูหลินจ้องนางอย่างอำมหิต แต่ต้องควบคุมความรู้สึกโกรธแค้นไว้ และแค่ทำเสียงเย็นชาว่า “ทีแรกข้าก็ไม่ได้ใส่ใจ จึงเดินไปไกลแล้ว ตอนหลังที่ได้ยินเสียงตรงนี้ผิดปกติและย้อนกลับมาอีกครั้งก็ไม่เห็นใครแล้ว!”
เรื่องนี้เขาต้องปัดความผิดให้พ้นตัวให้หมด
ถึงอย่างไรผู้ที่รู้เรื่องตรงหน้าส่วนใหญ่ก็อยู่ที่นี่กันหมดแล้ว ยิ่งเขาเปิดเผยข้อมูลมาก เรื่องก็ยิ่งแพร่งพรายออกไปมาก จนถึงขั้นอาจจะถูกเจ้าหน้าที่ทางการซักไซ้ไม่จบไม่สิ้น
กู้ฉางเฟิงได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ไม่ว่าซูหลินจะพูดจริงหรือเท็จก็ไม่มีเหตุผลที่จะถามอีก จึงเอ่ยอย่างสงสัยว่า “หากเป็นเช่นนี้คงจะหาตัวคนร้ายได้ไม่ง่ายนัก…”
เหตุการณ์นี้เกิดได้ระยะหนึ่งแล้ว และดูจากฝีไม้ลายมือของคนร้ายแล้ว อีกฝ่ายก็เป็นยอดฝีมืออย่างชัดเจน หากหลบหนีก็ต้องหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยตั้งนานแล้ว และไม่ทิ้งเบาะแสใดใดให้ตามไปตรวจสอบทั้งนั้น ดังนั้นเวลานี้ในใจของกู้ฉางเฟิงจึงตัดสินใจทำสิ่งที่แย่ที่สุด…
เป็นไปได้มากว่าต้องกลายเป็นคดีที่ไม่มีเบาะแสให้สืบหาได้แล้ว
“ใต้เท้ากู้ ท่านพยายามเต็มที่ก็พอแล้ว…” ซูหลินเอ่ยปากพลางถอนหายใจยาว
“ท่านจะพูดแบบนี้ก็ไม่ได้” ฉู่สวินหยางเข้าไปขัดจังหวะเขา และมองหน้ากู้ฉางเฟิงด้วยสีหน้าเย็นชา “ใต้เท้ากู้ ที่นี่เป็นเมืองหลวงที่ฝ่าบาทประทับอยู่ ช่วงนี้ยังพบเจอคดีเล็กคดีใหญ่น้อยอีกหรือ? แม้ว่าซูซื่อจื่อจะให้อภัยด้วยใจโอบอ้อมอารีไม่อยากให้ศาลาว่าการพระนครของท่านลำบาก ทว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นคดีของตระกูลซูของเขาเท่านั้น ตามคำให้การของซื่อจื่อ ต้นเหตุของเรื่องวันนี้คือมีคนร้ายบุกรุกเข้าไปในบ้านฆ่าชิงทรัพย์ หากท่านไม่สามารถเปิดเผยความจริงออกมาได้ ต่อไปจะไม่ทำให้คนแตกตื่น และทำให้ประชาชนต่างนอนไม่หลับงั้นหรือ?”
ซูหลินสีหน้าเปลี่ยนไป
กู้ฉางเฟิงไม่คิดว่าอยู่ดีๆ นางจะบีบคั้นเขาเช่นนี้ ประชาชนที่อยู่โดยรอบก็เริ่มพูดคุยถกเถียงอื้ออึง
กู้ฉางเฟิงเริ่มเหงื่อตกบนหน้าผากเล็กน้อย…
ที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทั่วป๋าไหวอันหรือเรื่องของฉู่ฉีฮุยที่ถึงจะเป็นคดีใหญ่ที่ทำให้คนคาดไม่ถึง แต่กู้ฉางเฟิงสืบหาเบาะแสไม่ได้ ฮ่องเต้ก็ไม่ได้กดดันมากนัก เขาจึงพูดง่าย
วันนี้ที่นี่หากเป็นแค่เรื่องของซูหลิน ขอเพียงแค่ซูหลินยอมอะลุ่มอล่วย เขาก็สามารถไปต่อได้ แต่ฉู่สวินหยางก็จะเข้าไปยุยงชาวบ้านให้ได้
ฝูงชนก็เริ่มร้อนใจขึ้นมาแล้ว
หัวหน้าตำรวจตู้ฉางหมิงเกรงว่าจะควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ จึงกัดฟันเข้าไปทำความเคารพว่า “ใต้เท้า ข้าน้อยตรวจสอบพื้นที่บริเวณนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว นี่อาจจะไม่ใช่คดีบุกรุกเคหะสถานเพื่อปล้นชิงทรัพย์ องครักษ์ของซูซื่อจื่อเหล่านี้ต่างก็น่าจะมีฝีมือไม่ธรรมดา แม้กระทั่งร่องรอยการต่อสู้รอบๆ ก็มีไม่มากนัก อีกทั้ง…”
เขาพูดไปก็มองซูหลินอย่างกังวล แล้วหยิบดาบเปื้อนเลือดบนพื้นมาส่งให้ถึงตรงหน้ากู้ฉางเฟิงด้วยสองมือเอ่ย “เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพตรวจสอบบาดแผลของผู้เสียชีวิตอย่างละเอียดแล้ว นอกจากองครักษ์ที่ล้มอยู่ใกล้ประตูที่ถูกกริชแทงตาย คนอื่นๆ…รวมถึงผู้หญิงคนนั้นต่างก็ตายด้วยดาบเช่นนี้ขอรับ”
ฆาตกรหายสาบสูญ แต่อาวุธของฆาตกรนั้นกลับมาจากคนของซูหลินทั้งหมด ทันใดนั้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในฝูงชนก็เปลี่ยนทิศทางอย่างฉับพลัน
ซูหลินร้อนใจ และเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ฆาตกรแย่งอาวุธขององครักษ์ข้าไปฆ่าคน มันแปลกตรงไหน?”
ฉู่สวินหยางหัวเราะเยาะอย่างเย็นชา และไม่ต่อล้อต่อเถียงอะไรกับเขาอีก
———————————————