สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 16.2 เข้าเลือดเข้าเนื้อ (2)
กู้ฉางเฟิงเพิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้จัดการได้ยาก เขาชั่งใจอย่างรวดเร็วแล้วเอ่ยถามฉู่สวินหยางว่า “ท่านหญิง เห็นว่าเรื่องนี้ควรจัดการอย่างไรดีขอรับ?”
“ข้า?” ฉู่สวินหยางยิ้มมุมปาก “ใต้เท้ากู้ถามผิดคนแล้วกระมัง? ประการแรกข้าไม่ได้เป็นขุนนาง ประการที่สองข้าไม่ได้โชคดีบังเอิญเจอฆาตกรฆ่าคนในที่เกิดเหตุเหมือนซูซื่อจื่อ ใต้เท้ากู้เป็นผู้ดูแลที่นี่ ข้ามีสิทธิ์ไปสั่งท่านทำงานตั้งแต่เมื่อไรกัน?”
กู้ฉางเฟิงโดนนางพูดจนพูดไม่ออกและหน้าเขียว
ฉู่สวินหยางพูดจบก็ไม่สนใจ แต่ยังคงไม่ไปไหน
ซูหลินกัดฟันจ้องนางไม่กะพริบตาราวจะกินเลือดกินเนื้อ
กู้ฉางเฟิงลังเลคิดแล้วคิดอีกในที่สุดก็ไม่กล้าชะล่าใจ จึงก้าวเข้าไปคารวะซูหลินอย่างเกรงใจ “ซูซื่อจื่อ คดีนี้แปลกมาก ในเมื่อท่านเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ ก็ต้องรบกวนท่านตามข้าไปให้การอย่างละเอียดที่ศาลาว่าการพระนครอีกรอบขอรับ!”
ซูหลินทำหน้าเย็นชาและปิดปากเงียบไม่พูดสักคำ
หากเขาตามกู้ฉางเฟิงไปศาลาว่าการพระนคร ต่อให้กู้ฉางเฟิงไม่ได้หลักฐานที่ไม่เป็นผลดีต่อเขา เขาก็ต้องกลายเป็นตัวตลกอยู่ดี
องครักษ์ที่เหลืออยู่ข้างกายสองคนเห็นแล้วขัดใจ จึงเดินเข้าไปพูดเองว่า “ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นพวกข้าก็อยู่ข้างกายซื่อจื่อตลอด สิ่งที่ซื่อจื่อเห็นพวกข้าต่างก็เห็นเหมือนกัน หากใต้เท้าจะหาคนกลับไปช่วยไขคดี ข้าจะตามท่านไปขอรับ!”
กู้ฉางเฟิงก็ไม่กล้าล่วงเกินจวนอ๋องฉางซุ่นอย่างเปิดเผยเช่นกัน วิธีนี้จึงเป็นการพบกันครึ่งทางจริงๆ
กู้ฉางเฟิงคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้า “ได้! ฉางหมิง เจ้ารีบพาพวกเขาสองคนกลับไปสอบปากคำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด แล้วก็จัดการสถานที่เกิดเหตุ เคลื่อนย้ายศพกลับไปให้หมด”
“ขอรับ ใต้เท้า!” ตู้ฉางหมิงประสานมือขานรับอย่างคล่องแคล่วว่องไว แล้วพาเจ้าหน้าที่ไปจัดการร่องรอยทั้งในและนอกตรอกจนหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว
กู้ฉางเฟิงทำหน้าเย็นชาสั่งสอนประชาชนโดยรอบอีกเล็กน้อย แล้วก็พาคนจากไป
คงเป็นเพราะถูกฉู่สวินหยางบีบบังคับจนร้อนรน ก่อนไปเขาจึงทำหน้าเย็นชา และไม่ทักทายพวกฉู่สวินหยางอีก
เมื่อเจ้าหน้าที่ของทางการไปแล้วก็ไม่มีอะไรน่าดู ประชาชนที่มุงดูอยู่โดยรอบจึงค่อยๆ แยกย้ายไปเช่นกัน
ซูหลินจ้องฉู่สวินหยางอย่างเลือดเย็น กัดฟันกรอดพลางพูด “เจ้าจะโยนความผิดให้ข้างั้นหรือ?”
“หึ!” ฉู่สวินหยางเปล่งเสียงออกมาอย่างไม่พอใจ แล้วเดินจากไปทันที
ซูหลินอึ้งไป เดิมทีเขานึกว่านางจะเซ้าซี้ถามเกี่ยวกับเรื่องของชิงหลัว แต่คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายกลับหันตัวเดินไปเหมือนไม่สนใจแม้แต่นิดเดียว
ซูอี้ค่อยๆ ถอนหายใจแผ่วเบา แล้วตามหลังฉู่สวินหยางออกไปจากตรอก
ราชรถของวังบูรพารออยู่ที่นั่น ฉู่สวินหยางออกมาจากตรอกนั้นก็ขึ้นรถม้าทันที พลางสั่งว่า “ไปศาลาว่าการพระนคร!”
“ขอรับ ท่านหญิง!” คนขับรถม้ากระโดดขึ้นรถ แล้วขับรถม้าตามหลังพวกกู้ฉางเฟิงไปติดๆ
“เฮ้อ…” ซูอี้ยกมือ เดิมทีอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ฉู่สวินหยางกลับไม่ให้โอกาสเขาเอ่ยปากด้วยซ้ำ
เขาขมวดคิ้วลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็หันตัวขึ้นหลังม้าไปทางหอยลนทีต่อ
พวกกู้ฉางเฟิงเข้าไปในศาลาว่าพระนครแล้ว ฉู่สวินหยางก็ตามมาถึง
พอได้ยินเจ้าหน้าที่รายงานว่าฉู่สวินหยางมาเยือน กู้ฉางเฟิงหน้าดำคร่ำเครียดทันที ก้นยังไม่ทันได้นั่งบนเก้าอี้ก็ต้องลุกขึ้นออกไปต้อนรับนางอีกครั้ง
“ไม่ทราบว่าท่านหญิงมามีสิ่งใดจะชี้แนะ?” กู้ฉางเฟิงเอ่ยด้วยท่าทีเคารพนับถือ แต่สีหน้าไม่ได้เกรงใจขนาดนั้นแล้ว
ฉู่สวินหยางเดินเข้าไปข้างในโดยไม่หยุดฝีเท้า และไม่สนใจสีหน้าท่าทางของเขาเช่นกัน เอ่ยเพียงว่า “ข้าอยากพบสองคนนั้นที่ท่านพากลับมา ใต้เท้ากู้อำนวยความสะดวกให้ข้าด้วยเถิด!”
กู้ฉางเฟิงขมวดคิ้ว…
เดิมทีฉู่สวินหยางบังคับให้เขาพาตัวคนของจวนอ๋องฉางซุ่นกลับมาเขาก็ลำบากใจมากแล้ว ตอนนี้นางยังขอร้องเช่นนี้อีกช่างเสียมารยาทยิ่งนัก
“ทำไม? ไม่สะดวกหรือ?” ฉู่สวินหยางเห็นเขายังนิ่งเฉย ก็ยิ้มเยาะแล้วหันกลับไปมองเขา
“ท่านหญิง ไม่ใช่ว่าข้าไม่ยอมอำนวยความสะดวกให้ท่าน แต่เพราะศาลาว่าการต่างก็มีกฎระเบียบข้อบังคับ ทั้งสองคนนี้เป็นพยานปากสำคัญของคดีนี้ จริงๆ แล้วข้า…” กู้ฉางเฟิงพูดด้วยสีหน้าลำบากใจ
“แค่พยานไม่ใช่ฆาตกรสักหน่อย มีอะไรน่าลำบากใจนักหรือ?” ฉู่สวินหยางเอ่ยพลางสะบัดกระโปรง แล้วไปนั่งในห้องพิจารณาคดีของเขาอย่างไม่สนใจแม้แต่นิดเดียว พลางปรายตามอง “ข้าก็แค่จะถามพวกเขาสักสองสามคำแล้วก็ไป เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ หากท่านไม่อยากไว้หน้าข้าก็พูดมาตรงๆ ไม่จำเป็นต้องอ้างโน่นอ้างนี่เพื่อกีดกันข้า กฎระเบียบข้อบังคับของราชสำนักสมัยซีเยว่ข้าก็รู้ดีไม่แพ้ท่านหรอก!”
‘ราชวงศ์’ ก็คือชนชั้นที่มีสิทธิพิเศษ ส่วน ‘กฎระเบียบข้อบังคับ’ ล้วนแต่เป็นเพียงบรรทัดฐานทางสังคมที่ไว้ให้สามัญชนปฏิบัติตาม หากพูดถึงการอาศัยอำนาจรังแกและข่มเหงผู้อื่น…
ฉู่สวินหยางคิดว่าไม่คุ้มที่จะทำ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะไม่ทำตลอดไปจริงๆ
กู้ฉางเฟิงหน้าเขียว เมื่อเห็นนางนั่งในห้องพิจารณาคดีก็รู้แล้วว่าไม่อาจไล่นางไปได้ เขาลังเลแล้วลังเลอีกก็กัดฟันสั่งตู้ฉางหมิงว่า “ไปพาตัวสองคนนั้นมาเถอะ!”
“ขอรับ!” ตู้ฉางหมิงรับคำสั่ง ไม่นานเจ้าหน้าที่ก็นำตัวองครักษ์สองคนนั้นที่เมื่อครู่เพิ่งยัดเข้าคุกไปออกมา
ทั้งสองคนนั้นอาศัยว่ามีจวนอ๋องฉางซุ่นหนุนหลังอยู่เบื้องหลัง เดิมทีพวกเขาไม่ได้คิดอะไรมากและไม่ได้รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจ แต่พอเห็นชัดเจนว่าคนที่นั่งเล่นไม้ปลุกสติอยู่ในห้องพิจารณาคดีนั้นคือฉู่สวินหยาง ส่วนใต้เท้ากู้ที่มีอำนาจสูงสุดในศาลาว่าการพระนครนั่งที่นั่งรองลงมาอยู่ข้างๆ นาง ในใจพวกเขาก็จำเป็นต้องให้ความสำคัญขึ้นมา
“คุกเข่าลง!” ตู้ฉางหมิงยกขาถีบสองคนนั้น
พวกเขาเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน แล้วก็คุกเข่าลงอย่างไม่ค่อยเต็มใจ
ฉู่สวินหยางนั่งอยู่ในห้อง กวาดตามองทั่ว ในมือก็แค่หมุนไม้ปลุกสตินั้นตามใจชอบ ไม่ได้มองใครเจาะจง
ภายในห้องพิจารณาคดีเงียบเป็นป่าช้า ทำให้คนรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก
กู้ฉางเฟิงสีหน้าลำบากใจ เขารู้ดีแก่ใจว่าฉู่สวินหยางกำลังรออะไร แต่เขาอัดอั้นตันใจและไม่ยอมปริปาก
กู้ฉางเฟิงเห็นบรรยากาศชะงักงันตรงหน้า จึงโบกมือเอง ให้เจ้าหน้าที่ถอยออกไปข้างนอกให้หมด แล้วเขาเฝ้าอยู่หน้าประตูทางเข้าด้วยตนเอง
เมื่อทุกคนออกไปจนหมด ฉู่สวินหยางจึงเคาะไม้ปลุกสติ แล้วถามตรงๆ โดยไม่อ้อมค้อมว่า “พูดมาเถอะ สาวรับใช้ข้าล่ะ!”
กู้ฉางเฟิงได้ยินแล้วก็สูดลมหายใจเข้าโดยไม่รู้ตัวทันที แล้วเงยหน้ามองอย่างประหลาดใจ
ฉู่สวินหยางแค่ทำเหมือนเขาไม่ได้อยู่ตรงนี้ แววตาเยือกเย็นจดจ้องไปยังองครักษ์สองคนที่คุกเข่าอยู่กลางห้องพิจารณาคดี…
ซูหลินและนางไม่ถูกกัน อยากเขาซักไซ้เรื่องชิงหลัวคงเป็นไปไม่ได้แน่นอน ดังนั้นนางจึงบังคับกู้ฉางเฟิงทางอ้อมให้นำตัวสองคนนี้กลับมาที่ศาลาว่าการพระนคร
สองคนนั้นหน้าตาตื่นตระหนก แล้วโต้คอเป็นเอ็นว่า “ข้าน้อยโง่เขลา ไม่รู้ว่าท่านหญิงกำลังพูดถึงใครขอรับ!”
“ไม่พูดงั้นรึ?” ฉู่สวินหยางเดือดดาล นางเชิดคางขึ้นพลางพูดกับจูหยวนซานว่า “ตีขาพวกมันคนละข้าง!”
จูหยวนซานเพิ่งกลับมาจากเมืองฉู่ได้ไม่นาน หลังจากจัดการเรื่องฉู่ฉีฮุยเสร็จเขาก็อยู่ข้างกายฉู่สวินหยางตลอด
พอได้รับคำสั่งจากนาง เขาก็หยิบไม้โบยมาจากบนชั้นวางข้างๆ สองท่อน ฟาดท่อนไม้ออกไป แล้วกดสองคนนั้นลงไปบนพื้น โดยที่ทั้งสองคนยังไม่ทันตั้งตัว ใช้ไม้โบยท่อนหนึ่งยึดคอของทั้งสองคนเอาไว้ พอเท้าของเขาเหยียบลงไปตรงกลาง ทั้งสองก็ส่งเสียงร้องออกมา จนเกือบเป็นลมล้มพับลงไป
สองคนนี้ยังพอมีพื้นฐานการต่อสู้อยู่บ้าง อย่างแรกจึงไม่เชื่อว่าฉู่สวินยหยางจะใจกล้าบ้าบิ่นมาใช้อำนาจสั่งการลงโทษในห้องพิจารณาคดีของศาลาว่าการ อย่างที่สองจูหยวนซานลงมือเร็วเกินไปจนทั้งสองคนไม่ทันตั้งตัว พวกเขานอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้นและถูกไม้โบยกดจนร้อนรนและลนลานร้องตะโกนว่า “พวกเราทำผิดอะไร? นี่ท่านหญิงไม่สนกฎหมายบ้านเมือง และตั้งศาลเตี้ย…”
“ตั้งศาลเตี้ยรึ?” ฉู่สวินหยางโยนไม้ปลุกสติไปไกล และโน้มตัวไปเขย่ากระบอกใส่ไม้ตัดสินโทษบนโต๊ะเล่น ขณะที่เสียงแผ่นไม้กลิ้งกระทบกันไปมา นางก็กวาดตามองไปยังกู้ฉางเฟิงที่นั่งอยู่ข้างๆ และพูดลอยๆ ว่า “ใครว่าข้าตั้งศาลเตี้ย? ใต้เท้ากู้เป็นพยานได้ว่าศาลาว่าการแห่งนี้ตัดสินคดีความอย่างยุติธรรม ตรงไปตรงมา และยึดกฎหมายอย่างเคร่งครัด หากข้าฆ่าพวกเจ้าในศาลแห่งนี้ก็เป็นอุบัติเหตุ จะมาพูดเหตุผลกับข้าน่ะหรือ? ข้าไม่สนใจหรอก!”
นางพูดยังไม่ทันจบ จูหยวนซานที่ถือไม้โบยอยู่ในมือก็โบยลงไปตรงกระดูกขาองครักษ์คนหนึ่งอย่างแม่นยำ
“โอ้ย…” องครักษ์คนนั้นร้องโอดครวญ
กู้ฉางเฟิงสีหน้าซีดเผือดสักพักก็ดีดตัวขึ้นมาจากเก้าอี้ พูดด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียวว่า “ท่านหญิง ที่นี่คือห้องพิจารณาคดี ท่านทำเช่นนี้คิดจะทำให้ข้าน้อยลำบากใจหรือขอรับ?”
“ลำบากใจหรือ? เป็นไปได้อย่างไร? ข้ากับท่านไม่เคยมีความแค้นต่อกัน!” ฉู่สวินหยางยิ้ม สีหน้านั้นก็แทบจะเรียกได้ว่าอ่อนโยน
เพิ่งจะเห็นสีหน้าของกู้ฉางเฟิงดีขึ้นบ้าง ต่อมาก็ได้ยินนางเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นต่อว่า “ใต้เท้ากู้คลุกคลีอยู่ในวงการขุนนางมาหลายปี ท่านดูไม่ออกว่าข้ากำลังคิดบัญชีย้อนหลังและแก้แค้นท่านงั้นหรือ?”
กู้ฉางเฟิงหน้านิ่ง และหน้าดำคร่ำเครียดในชั่วพริบตา แล้วมองนางอย่างระแวดระวัง
ฉู่สวินหยางสบตากับเขาอย่างไม่หลบเลี่ยง พลางค่อยๆ ยิ้มว่า “ตอนนั้นซูหว่านขี่ม้าวุ่นวายไปทั้งเมืองจนเกือบจะเอาชีวิตข้า ข้าก็บอกว่าจะให้ท่านมาจัดการใช่หรือไม่? ท่านไม่อยากล่วงเกินตระกูลซูจึงไม่สืบสาวราวเรื่องกับซูหว่าน ข้าก็เข้าใจความลำบากของท่านได้ แต่ตอนหลังเรื่องนั้นฮ่องเต้ก็ทรงมีพระราชโองการให้ท่านลงโทษตระกูลซูสถานหนัก!”
———————————————–