สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 16.3 เข้าเลือดเข้าเนื้อ (3)
กู้ฉางเฟิงได้ยินเช่นนั้น สายตาของเขาก็เต็มไปด้วยความสับสน พยายามระงับสติอารมณ์แล้วพูดว่า “ข้าน้อยล้วนทำทุกอย่างตามกฎหมาย ความผิดร้ายแรงของตระกูลซูในตอนนั้นก็จัดการไปแล้วขอรับ!”
“จัดการอย่างไรหรือ?” ฉู่สวินหยางยังคงแสร้งทำเป็นยิ้มระรื่นมองดูเขา “ข้าจำได้ว่าตอนนั้นเอกสารคำพิพากษาฉบับคัดลอกที่ท่านส่งมาวังบูรพาเป็นโทษประหารด้วยการตัดหัว แต่ความจริงล่ะ?”
กู้ฉางเฟิงเริ่มควบคุมสีหน้าไม่ไหวแล้ว เม็ดเหงื่อไหลลงมาท่วมตัว น้ำเสียงขาดความมั่นใจอย่างชัดเจน “ข้า…ข้าน้อยไม่ทราบว่าท่านหญิงพูดเรื่องอะไรอยู่ขอรับ?”
“งั้นหรือ? เช่นนั้นหากข้าขุดศพสองคนนั้นออกมาแล้วส่งไปเบื้องหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท ท่านคงจะรู้ว่าข้ากำลังพูดถึงอะไรอยู่แล้วสินะ?” ฉู่สวินหยางเอ่ย และยังคงมองเขาด้วยรอยยิ้มสดใสเช่นเดิม
กู้ฉางเฟิงยืนอยู่ตรงนั้น กระทั่งสายตาก็เหมือนสับสนไปหมด เขากวาดสายตาสะเปะสะปะไปรอบๆ อย่างหาที่พักสายตาไม่เจอ
ฉู่สวินหยางมองเขาจนรู้สึกเอือมระอา จึงละสายตาไปโดยไม่คิดสนใจเขาอีกว่า “ใต้เท้ากู้อยากจะคบหาสมาคมหรืออยากเป็นที่โปรดปรานข้าก็ไม่ขัดศรัทธา แต่อย่าทำอะไรได้คืบจะเอาศอก เข้าใจหรือไม่?”
ความจริงแล้วครานั้นบ่าวไพร่ของตระกูลซูตายไปสองศพก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพียงแต่ซูหว่านกลับไม่ยอมแพ้ฉู่สวินหยาง แล้วยังแอบสับเปลี่ยนตัวหลังศาลาว่าการตัดสินคดี
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต แต่เพราะฮ่องเต้เคยตำหนิติเตียนตระกูลซู หากฉู่สวินหยางคิดจะยัดความผิดฐานโกหกหลอกลวงก็สมเหตุสมผล
กู้ฉางเฟิงนั่งเก้าอี้ดำรงตำแหน่งนี้มาเนิ่นนาน เดิมทีหากชั่งน้ำหนักให้ดี เรื่องนี้ก็เป็นเพียงเรื่องของบ่าวไพร่ จึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ดังนั้นจึงเห็นแก่หน้าตระกูลซู แต่อย่างไรก็ไม่เคยคิดว่าเรื่องที่เขาทำจะตกเป็นจุดอ่อนอยู่ในกำมือฉู่สวิน
หยาง
ตอนนี้เขาตื่นตระหนก เหงื่อไหลท่วมตัว แล้วก็กลับไปนั่งบนเก้าอี้อย่างหวาดผวา
องครักษ์ที่ถูกกดไว้บนพื้นได้ยินเรื่องนี้ก็ขวัญหนีดีฝ่อไปตามๆ กัน…
พวกเขาได้ยินในสิ่งที่ไม่ควรได้ยิน ถึงแม้ฉู่สวินหยางจะไม่ทำอะไรพวกเขา แต่กู้ฉางเฟิงจะต้องฆ่าปิดปากแน่?
“ท่านหญิง ข้าบอกแล้ว! พวกเราจะบอกทุกอย่าง!” องครักษ์คนนั้นรีบตะโกนออกมา “สาวใช้ของท่านถูกข้าน้อยทำร้ายจริง นางแอบสะกดรอยตามซื่อจื่อมา เขารู้เข้าจึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟและจะฆ่าปิดปากนาง พวกข้าน้อยจึงต้องทำตามคำสั่ง!”
“พวกเจ้าก็ฆ่านางจริงๆ หรือ?” ฉู่สวินหยางยังไม่ทันได้ถาม จูหยวนซานก็โกรธแค้นจนออกแรงกดไม้โบยไปที่คอของพวกเขามากขึ้น
พวกเขาถูกกดไว้จนตาเหลือก และโบกมือไม่หยุด “ไม่…ไม่ใช่…นางหนี…หนีไปแล้ว!”
“หยวนซาน!” ฉู่สวินหยางเห็นพวกเขาสองคนกำลังจะขาดอากาศหายใจ จึงส่งสายตาให้จูหยวนซาน
จูหยวนซานค่อยๆ เบามือลง พวกเขาทั้งสองไอจนหน้าแดงอยู่พักใหญ่ พอเริ่มหายใจสะดวกขึ้นก็รีบเล่าต่อว่า “เดิมทีซื่อจื่อสั่งให้เอานางไปโยนลงน้ำอำพรางคดี แต่ไม่คิดว่านางจะฤทธิ์มาก นางลอบทำร้ายองครักษ์อีกคนตอนที่ถูกลากออกไปแล้วก็หนีไป พอเราตามออกไป นางก็หายไปแล้ว!”
เวลาเพียงน้อยนิดแค่นั้น ดูอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ที่ชิงหลัวจะหนีไปเอง
องครักษ์คนนั้นสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตของฉู่สวินหยางอย่างชัดเจน เขาเกรงว่านางจะไม่เชื่อจึงรีบพูดเสริมว่า “หลังจากที่ข้าน้อยกับซื่อจื่อตามไปนั้นก็เห็นเงาตะคุ่มๆ ของคนคนหนึ่ง แต่ว่าคนนั้นเคลื่อนไหวเร็วนัก แค่พริบตาเดียวเขาก็หายตัวไปแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่เขาต้องเป็นคนช่วยสาวใช้คนนั้นอย่างแน่นอน! ท่านหญิง สิ่งที่ข้าน้อยพูดล้วนเป็นความจริง ขอได้โปรดไว้ชีวิตและปล่อยพวกเราด้วยเถอะ! สิ่งที่พวกเรารู้ก็บอกไปหมดแล้ว ไม่ได้ปิดบังแม้แต่น้อยเลยขอรับ!”
หากเป็นเช่นนี้ก็เป็นไปได้ว่ามีคนช่วยชีวิตชิงหลัวไปแล้วจริงๆ?
ฉู่สวินหยางค่อยๆ กลับมาเยือกเย็นอีกครั้ง
องครักษ์สองคนนั้นเห็นนางยังไม่ยอมปล่อยก็ร้องไห้คร่ำครวญขอให้ไว้ชีวิต จริงๆ แล้วต่อให้ฉู่สวินหยางไม่เค้นถาม พวกเขาก็ไม่มีทางที่จะหาเรื่องใส่ตัวด้วยการเปิดโปงเรื่องของซูหลินและหลัวอวี่ก่วนออกมาอีก
ฉู่สวินหยางเม้มปากครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ แล้วก็ลุกขึ้นยืนพลางเลื่อนกระบอกใส่แผ่นป้ายลงโทษไปไว้ด้านข้างแล้วก้าวเท้าออกไป “หยวนซาน พวกเรากลับ!”
ไม่รู้ว่าชิงหลัวจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร จูหยวนซานอยากจะฆ่าพวกเขาสองคนเดี๋ยวนั้น แต่ฉู่สวินหยางไม่ได้ออกคำสั่งเขาก็ไม่กล้าทำโดยพลการ จึงแค่เตะไม้โบยระบายอารมณ์แทน
ทั้งสองคนหายใจติดขัด แล้วก็ตาเหลือกเป็นลมล้มพับลงไปทันที
ฉู่สวินหยางมาอย่างรวดเร็วและไปอย่างเร็วยิ่งกว่า ชั่วพริบตากระโปรงก็พลิ้วไสวออกไปข้างนอกแล้ว
ตู้ฉางหมิงเดินเข้ามาด้วยสีหน้าจริงจัง เขาเดินมาถึงตรงหน้ากู้ฉางเฟิงที่สติหลุดล่องลอยว่า “ใต้เท้า จะจัดการสองคนนี้อย่างไรดีขอรับ?”
ในหัวกู้ฉางเฟิงเต็มไปด้วยคำพูดที่ฉู่สวินหยางข่มขู่เขา ตอนนี้เขาจึงมีสีหน้าหวาดกลัว และใช้เรี่ยวแรงไปเยอะมากกว่าจะฝืนสงบจิตสงบใจตอบว่า “เอาพวกมันกลับไปขังไว้คุก!”
เขาลุกขึ้นแล้วเดินไปทางห้องด้านหลัง
ตู้ฉางหมิงหันหลังจะไปทำงาน กู้ฉางเฟิงเดินไปได้สองก้าว ทันใดนั้นเขาก็คิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงหันกลับไปสั่งอีกว่า “แยกขังเดี่ยว!”
แน่นอนว่าตู้ฉางหมิงได้ยินทุกอย่างที่ฉู่สวินหยางพูด ดังนั้นเขาจึงเข้าใจสิ่งที่กู้ฉางเฟิงกังวลเป็นอย่างดีและรีบพยักหน้ารับคำ
ฉู่สวินหยางออกมาจากศาลาที่ว่าการพระนคร พอเงยหน้าก็เห็นฉู่ฉีเฟิงรีบพาคนกลุ่มหนึ่งมา
“สวินหยาง!” ฉู่ฉีเฟิงขยับตัวลงจากม้า พลางมองผ่านนางไปยังประตูศาลาว่าการ “เป็นเช่นไรบ้าง? ได้ความว่าอย่างไร?”
“เป็นฝีมือของซูหลิน!” ฉู่สวินหยางตอบอย่างเย็นชา “แต่เหมือนจะเกิดอุบัติเหตุขึ้น ชิงหลัวอาจจะถูกใครพาตัวไปแล้ว!”
ขณะที่นางพูดก็ชะเง้อมองไปทางข้างหลังฉู่ฉีเฟิง
ฉู่ฉีเฟิงดูเหมือนรู้ว่านางกำลังหาอะไรอยู่จึงเอ่ยว่า “เหยียนหลิงจวินให้คนไปส่งข่าวที่วังแล้วว่าเขาพาคนไปตรวจสอบตามทางที่ไปหอยลนทีมาหนึ่งรอบแล้ว ไม่พบร่องรอยของชิงหลัว สอบถามคนผ่านทางก็ไม่มีใครเห็นนาง”
ชิงหลัวกับชิงเถิงต่างเติบโตและติดตามอยู่ข้างกายฉู่สวินหยางมาตั้งแต่เด็ก นายบ่าวจึงผูกพันกันเป็นอย่างมาก จริงๆ แล้วฉู่ฉีเฟิงก็รู้สึกร้อนใจเช่นกัน เขายกมือโอบไหล่ของนางว่า “ข้าส่งคนไปหาต่อแล้ว จะต้องหาตัวเจออย่างแน่นอน”
“อืม!” ฉู่สวินหยางพยักหน้าอย่างใจลอย ตอนที่นางเงยหน้ามองเขาก็เอ่ยอย่างกลุ้มใจว่า “เป็นเพราะข้าสะเพร่า ตอนนั้นข้าไม่ควรให้นางไปคนเดียว!”
เพราะนางมั่นใจในฝีมือของชิงหลัวมากเกินไป ถึงอย่างไรชิงหลัวทำงานให้นางมาหลายปีก็ยังไม่เคยทำงานพลาด แต่กลับไม่ทันคิดว่าอีกฝ่ายคือซูหลินที่เป็นศัตรูกับนางมานาน
“อย่าเสียใจไปเลย ตอนนี้หานางไม่เจอก็ยังมีหวัง!” ฉู่ฉีเฟิงเอ่ย เพราะอยู่ข้างนอก จะทำอะไรมากเกินไปก็ไม่ได้ เขาจึงยังคงประคองบ่านางและปลอบใจว่า “ข้าไปดูสถานที่เกิดเหตุมาแล้ว น่าจะมีคนมาพานางไป ในเมื่อคนคนนั้นไม่ฆ่านางตรงนั้น บางทีเขาอาจจะช่วยนางจริงๆ ก็ได้”
ฉู่สวินหยางเม้มปากและเหลือบตาลงไม่พูดไม่จา
ฉู่ฉีเฟิงก็จนปัญญาเช่นกัน สุดท้ายจึงทำได้เพียงพยายามกล่อมนางและจับข้อมือของนางผ่านแขนเสื้อว่า “ไปเถอะ ข้าจะไปหาเป็นเพื่อนเจ้า!”
เขารู้ดีว่าน้องสาวตัวเองนิสัยเช่นไร ถ้าจะกล่อมให้นางกลับไปรอฟังข่าวก็คงเป็นไปไม่ได้แน่นอน
เวลาล่วงเลยไปนานมาก ท้องฟ้าก็ค่อยๆ มืดแล้ว ฉู่ฉีเฟิงก็เหมือนรู้สึกร้อนใจเช่นกัน เขาค่อยๆ มองไปยังท้องฟ้าที่มืดลงไกลๆ แล้วก็สูดลมหายใจลึกพลางกระโดดขึ้นหลังม้า แล้วพาคนจำนวนหนึ่งควบม้าจากไป
ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองหลวงเต็มไปด้วยบ้านซอมซ่อผุพังจำนวนมาก คนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นคนต่างถิ่น มีบรรดานักเล่นมายากลเร่ร่อน บ้างก็ทำอาชีพซ่อมแซมเบ็ดเตล็ด บ้างก็ทำอาชีพค้าขายประดิษฐ์สิ่งของกระจุกกระจิกไปวางขายข้างทาง ผู้คนสารพัดอาชีพ ความสัมพันธ์ของคนจึงซับซ้อนและวุ่นวายมาก
พอตกกลางคืน ทุกหลังคาเรือนต่างก็ปิดบ้านช่องเข้านอนแต่หัวค่ำ
ในตรอกที่คับแคบแออัด มีคนกำลังเดินอย่างเร่งรีบ
ภายใต้แสงจันทร์นั้นมองเห็นชายร่างสูงผอม แต่แสงมืดดำจนไม่อาจมองเห็นหน้าได้ชัดเจน
เขาดูเหมือนจะรู้จักคุ้นเคยทุกซอกทุกมุมในพื้นที่แห่งนี้เป็นอย่างดี เขาเลี้ยวไปเลี้ยวมาอย่างรวดเร็ว แล้วก็ผลักประตูหายเข้าไปข้างในเรือนของชาวนาหลังเล็กที่ไม่สะดุดตานั้น
ทั้งสองห้องในเรือนนั้น พอถึงกลางคืนแล้วก็ยิ่งแลดูเงียบสงัด ในห้องที่อยู่ตรงกับประตูใหญ่นั้นมีแสงอบอุ่นเล็ดลอดออกมา
ชายคนนั้นดินไปผลักประตูห้องบานนั้น
ภายในห้องจัดวางสิ่งของอย่างเรียบง่าย ข้างในสุดมีเตียงขนาดใหญ่หนึ่งหลัง เตียงเล็กหนึ่งหลัง ตรงกลางห้องมีโต๊ะเก้าอี้ที่เก่าแก่ชุดหนึ่ง
เวลานั้นคนๆ หนึ่งนั่งอยู่ข้างเตียงที่อยู่ตรงกับประตู สวมชุดคลุมสีน้ำเงินเข้ม ผมเผ้าใช้ปิ่นปักผมปักแบบง่ายๆ ผมด้านข้างส่วนหนึ่งปล่อยลงมาปิดหน้าไปกว่าครึ่ง ดูแล้วก็เป็นการแต่งกายแบบผู้ชาย โครงร่างก็แลดูแข็งแรง แต่หากมองอย่างละเอียดก็แน่ใจได้ว่า…
คนนั้นเป็นผู้หญิง
หญิงสาวนั่งนิ่งอยู่บนขอบเตียง ความจริงแล้วตั้งแต่คนนั้นเข้ามาในตรอกก็แยกแยะเสียงฝีเท้าของคนที่มาได้แล้ว
ตอนที่ได้ยินเขาผลักประตูเข้ามานางก็ไม่ได้เงยหน้า ยังคงจับชีพจรหญิงสาวที่สลบไสลไม่ได้สติอยู่บนเตียง และแค่เอ่ยเสียงเบาว่า “มาแล้วหรือ?”
“อืม!” ชายคนนั้นขานตอบแล้วเดินเข้าไปหา
เขาสวมเสื้อคลุมยาวสีเทา เครื่องแต่งกายที่สวมใส่เรียบง่ายธรรมดาทั่วไป ตั้งแต่หัวจรดเท้าแลดูสะอาดสะอ้าน ไม่มีเครื่องประดับแม้แต่ชิ้นเดียว จะเห็นได้ว่าเป็นคนละเอียดรอบคอบมาก
หญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงอายุไม่มากนัก ท่าทางสิบสามสิบสี่ แต่ใบหน้ากลับเหมือนกระดาษขาวที่ไร้ชีวิตชีวา กระทั่งลมหายใจก็ยังอ่อนแรงมาก ซึ่งมิใช่ใครอื่น…
—————————————————-