สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 17.2 ขิงก็ราข่าก็แรง... เผชิญหน้าในห้องพิจารณาคดี (2)
- Home
- สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2
- บทที่ 17.2 ขิงก็ราข่าก็แรง... เผชิญหน้าในห้องพิจารณาคดี (2)
ที่ตั้งของคุกหลวงอยู่ทางตะวันออกของพระราชวัง ไม่ห่างจากวังเหมันต์มากนัก
ตอนที่ฉู่ฉีเฟิงพาคนเข้าไปก็ล่วงเวลาเป็น ยามสี่เกิง[1]แล้ว ผืนฟ้านั้นมืดมิดดำสนิท เมื่อเดินอยู่บนทางที่ว่างเปล่าในวัง ความรู้สึกนั้นราวกับไม่ได้อยู่ในพระราชวังที่งามล้ำไร้ซึ่งเทียบเทียม แต่ทว่ากลับคล้ายกับเดินอยู่บนซากปรักหักพังก็มิปาน หนาวเหน็บอ้างว้างจนทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกเย็นเยียบอยู่ในใจ
ฉู่ฉีเฟิงเผยใบหน้าไร้อามรณ์รีบเร่งเดินไปด้านหน้า ตอนที่มองเห็นแสงสลัวของสิ่งปลูกสร้างในยามค่ำคืนอยู่ไกลๆ ด้านตรงข้ามก็ปรากฏทหารที่รักษาการณ์ช่วงค่ำคืนเข้ามาหา เมื่อเห็นว่าด้านหลังเขายังมีเจี่ยงลิ่วและจูหยวนซานที่ถือของอยู่ในมือ ก็ค่อยกล่าวด้วยใบหน้าที่เปลี่ยนสี “ท่านชายมาเยี่ยมท่านหญิงสวินหยางใช่หรือไม่ขอรับ?”
“อืม!” ฉู่ฉีเฟิงพยักหน้า กวาดตามองไปรอบด้านข้างล่างอย่างเงียบๆ กล่าวด้วยเสียงเกรงขาม “เปิดประตู!”
คนผู้นั้นลังเลแต่ก็ไม่ได้ขยับ เพียงกล่าวด้วยสีหน้าลำบากใจ “ท่านชาย ไม่ใช่ข้าไม่ให้เกียรติท่านนะขอรับ เพียงแต่ครั้งนี้เป็นสถานการณ์พิเศษ ท่านหญิงถูกฝ่าบาทหมายหัวเป็นนักโทษสถานหนัก ทั้งยังกำชับเป็นพิเศษว่าต้องดูแลอย่างเข้มงวด เช่นนั้นท่านชายว่า…ของพวกนี้ให้ข้านำไปให้แทนดีหรือมะ…”
“นักโทษสถานหนัก?” มุมปากของฉู่ฉีเฟิงยกยิ้มขึ้นได้รูป ใช้สายตาที่มืดมนคลุมเครือมองเขา
เขานั้นมักจะวางตัวต่อผู้คนอย่างอ่อนโยนและมีมารยาท ทว่าแววตาที่จ้องมองมาครั้งนี้กลับทิ่มแทงจนทำให้คนรู้สึกเย็นยะเยือกอยู่ในใจ “แม้แต่คนในเชื้อพระวงศ์ก็ยังไม่มีใครกล้ากล่าวโทษมั่วซั่วกับราชนิกุล? เจ้าคิดว่าในหัวเจ้ามีกี่สมองกัน?”
คนผู้นั้นตกตะลึงไป ใบหน้าของเขาซีดเผือด รีบคุกเข่าข้างหนึ่งลงไปอย่างร้อนรน “เป็นข้าที่พลั้งปากไปขอรับ ข้าไม่ได้หมายความว่าเช่นนั้น เพียงแค่…”
“เปิดประตู!” ฉู่ฉีเฟิงกดเสียงต่ำ แทบไม่ได้สนใจสิ่งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ก็เดินเข้าไปทางประตูใหญ่ของคุกหลวง
ปากประตูที่มีทหารอารักขาคนอื่นๆ อยู่ต่างก็มองหน้ากันไปมา ไม่รู้ว่าควรจะต้องหลีกทางให้หรือไม่ จึงทำได้แค่เตรียมพร้อมและเผยท่าทีลำบากใจมองเขา
พูดได้ว่าใบหน้าของคังจวิ้นอ๋องเวลานี้ราวกับมีชั้นน้ำแข็งเคลือบอยู่หนึ่งชั้น ดูองอาจน่าเกรงขาม ต่างก็พาให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัว
“ท่านชาย พวกข้าเพียงแต่ปฏิบัติตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายมา เหตุใดท่านจึงทำให้ข้าลำบากใจ…” หัวหน้าทหารอารักขาผู้นั้นเดินตามมากล่าวด้วยเสียงเบา
“คำสั่ง? ฝ่าบาทสั่งห้ามไม่ให้ข้าเข้ามาเยี่ยมนางอย่างนั้นรึ?” ฉู่ฉีเฟิงยิ้มเย็น
“คือว่า…” ราชโองการของฝ่าบาทไม่ใช่สิ่งที่สามารถนำมาใช้กดดันผู้อื่นได้ง่ายๆ คนผู้นั้นลังเลไปครู่หนึ่ง ท้ายที่สุดก็จำต้องฝืนใจกล่าว “ขณะนี้ท่านหญิงตกเป็นผู้ตกสงสัยคนสำคัญในการสังหารคน ใต้เท้าเหยากำชับมาว่าจะต้องเฝ้าดูอย่างดี ไม่สามารถจะปล่อยคนเข้าไปเยี่ยมตามใจชอบได้ขอรับ หากว่า…”
“เหยาก่วงไท่? นับว่าเป็นใครกัน? อาศัยคำสั่งกล้าดีของเขามาใช้กับท่านชายพวกเราอย่างนั้นหรือ?” จูหยวนซานกล่าวอย่างเสียดสี “เจ้าน้อยครั้งที่จะอยู่ที่นี่กลับใช้คำสั่งนั้นมาเป็นข้ออ้าง หน้าที่นี้หากเจ้าไม่อยากทำแล้วก็มีคนที่เข้าแถวรออยู่ด้านหลังอีกมากมาย ไม่จำเป็นจะต้องพูดอ้อมค้อม!”
ฮ่องเต้เกิดโทสะเช่นนี้เป็นเพราะฉู่สวินหยาง แต่ว่าก่อนการตัดสินโทษอย่างเป็นทางการ ไม่ว่าใครก็มิอาจไม่ให้เกียรติตำแหน่งของฉู่สวินหยางได้
ฉู่ฉีเฟิงดึงดันจะทำตามใจตน กลับยิ่งไม่มีผู้ใดกล้าขัดขวาง
ทหารผู้นั้นแม้จะลังเลแต่ก็ยังคงไม่ยอมปล่อย ประจวบกับประตูคุกหลวงถูกเปิดจากด้านใน เป็นผู้ดูแลที่มีอายุคนหนึ่งเดินออกมา
กลับเป็นเขาที่มีกาลเทศะ เมื่อเจอกับฉู่ฉีเฟิงที่เผยใบหน้าเยือกเย็นยืนอยู่หน้าประตู ก็ก้าวเข้าไปเคารพด้วยใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยรอยยิ้มอย่างทันที “คารวะท่านชาย ท่านชายคงมาเยี่ยมท่านหญิงสวินหยางใช่หรือไม่ขอรับ?”
ฉู่ฉีเฟิงเหลือบตามองเขาอย่างราบเรียบ ไม่ปริปากพูดคำใดออกมา
คนผู้นั้นทำงานมาอย่างยาวนานแล้ว จึงเข้าใจได้ทันทีว่าบรรยากาศที่นี่ไม่ดีเสียแล้ว รีบเร่งหันข้างเปิดทางให้เขาทั้งยังขยิบตาให้ลูกน้องสองคนไปพลาง “ยังไม่รีบเข้าไปช่วยถือของอีก!”
ขณะที่พูดก็ประสานมือคารวะฉู่ฉีเฟิง กล่าวด้วยสีหน้าลำบากใจ “ท่านชาย คุกหลวงนั้นกว้างใหญ่ มีผู้คนมากมายที่ถูกห้ามเข้าไปภายใน สิ่งของนี้พวกบ่าวจะช่วยท่านถือเข้าไปให้ ท่านว่าดีหรือไม่ขอรับ?”
ฉู่ฉีเฟิงส่งเสียงเหอะในลำคอ ไม่ได้พูดอะไรออกมา ยกชุดคลุมขึ้นก้าวเท้ายาวเข้าไปอย่างรวดเร็ว
คนก่อนหน้านี้ยืนด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด ชายมีอายุคนนั้นจึงทุบเขาไปที “ยืนบื้ออะไรอยู่? ยังไม่ไปช่วยถือของอีก?”
คนผู้นั้นหน้าดำทะมึนเข้าไปช่วยรับของจากในมือเจี่ยงลิ่วและจูหยวนซานด้วยท่าทีไม่ค่อยเต็มใจ โดยมีอีกสองคนวิ่งตามฉู่ฉีเฟิงอย่างช้าๆ
ในคุกหลวงแห่งนี้ ผู้ที่ทำความผิดธรรมดาไม่มีทางได้เข้ามา ดังนั้นในห้องขังถึงแม้จะไม่เล็ก แต่ส่วนมากกลับเป็นพื้นที่โล่งว่างเปล่า ผู้คุมนั้นนำทางฉู่ฉีเฟิงก้าวเดินเข้าไปด้านใน จนท้ายที่สุดก็ไปหยุดอยู่ห้องขังเดี่ยวที่เป็นหิน อยู่ติดเกือบด้านในสุด
ห้องขังนั้นทั้งสามด้านล้วนก่อด้วยหินอิฐอย่างแน่นหนา มีเพียงด้านที่อยู่ติดกับทางเดินที่เป็นรั้วทำจากเหล็กกล้า ด้านในมีเตียงหินหนึ่งหลัง ตั่งหินอีกหนึ่งตัว มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่ามีเพียงหน้าต่างเล็กๆ เปิดอยู่บนกำแพงตรงข้ามตะแกรงเหล็กนั่น เวลานี้เป็นเวลาย่ำรุ่ง จึงยังคงมืดสนิทไม่มีแสงส่องสว่างแม้แต่น้อย แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา
สถานที่แห่งนี้ยังนับว่าเรียบร้อยอยู่บ้าง ทว่าในสายตาฉู่ฉีเฟิงก็ยังหลีกหนีความรู้สึกเจ็บปวดใจไม่พ้น ตะโกนเรียกแผ่วเบา “สวินหยาง!”
น้ำเสียงของเขายังแฝงด้วยความโกรธ ทั้งยังมีความรู้สึกเยือกเย็น
เวลานี้ฉู่สวินหยางนั่งขัดสมาธิหลับตาหลังตรงอยู่บนเตียงหิน ได้ยินฝีเท้าจึงคิดว่าเป็นทหารลาดตระเวน ดังนั้นจึงไม่ได้ลืมตาขึ้น เมื่อได้ยินเสียงของเขาจึงค่อยจัดแต่งเสื้อผ้าอย่างสบายๆ เดินลงมาจากเตียงหินนั่น ไปหยุดตรงหน้าประตูห้องขังที่แน่นหนาเผยรอยยิ้มจนเห็นฟันให้เขา “ท่านพี่ ท่านมาแล้ว เอาของกินมาให้ข้าด้วยหรือไม่? อาหารเย็นข้ายังไม่ได้กินอะไรเลย หิวจะตายอยู่แล้ว!”
นางยิ้มอย่างงดงาม แทบจะไม่ถูกความมืนมนของสถานที่แห่งนี้รบกวนแม้แต่น้อย
ฉู่ฉีเฟิงเห็นนางเป็นเช่นนี้ แม้จะรู้ว่านางจงใจแสร้งทำเพื่อให้เขาเห็น ก็ยังรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ดีดหน้าผากนางไปหนึ่งที กล่าวอย่างหยอกล้อ “นี่มันกี่ยามแล้ว ยังอยากจะกินอีก!”
แม้จะพูดเช่นนี้แต่เขาก็ประกายตาเย็นเยียบส่งไปให้ทหารสองคนที่ติดตามมา
ทหารที่มีอายุคนนั้นหัวเราะฝืดๆ เดินมาด้านหน้า ไม่รั้งรอให้เขาออกคำสั่งก็ไขกุญแจเปิดประตูออกมา กล่าวขอโทษไปพลาง “สถานที่แห่งนี้ซ่อมซ่ออยู่บ้าง ลำบากท่านหญิงแล้ว ท่านชาย ท่านมีอะไรก็รีบพูดเถิด พวกบ่าวจะไปรอท่านอยู่ด้านนอกนะขอรับ”
ระหว่างที่พูดก็ช่วยจัดอาหารใส่จานออกมาอย่างเรียบร้อย
ทหารที่หน้าทะมึนนั้นนำชุดสองชุดออกมาวาง จากนั้นก็ถูกเขาดึงตัวออกไปอย่างไม่ยินดี เมื่อออกมาไกลแล้วจึงอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา “เหล่าอู๋นี่ท่านคิดจะทำอันใด? ท่านหญิงสวินหยางก่อเรื่องครั้งนี้คือคดีฆ่าคน พูดตามตรงก็ยังจับมือใครดมไม่ได้ ใต้เท้าเหยามีคำสั่ง…”
“เหตุใดเจ้าไม่พัฒนาสมองบ้าง!” ทหารผู้ที่ถูกเรียกว่าเหล่าอู๋ตบหลังศีรษะเขาไปอย่างแรง กล่าวอย่างเจ็บใจที่สั่งสอนคนของตนไม่ดีพอ “จับมือใครดมไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับพวกเรา? อะไรคือสิ่งที่เรียกว่า ‘ไม่ใช่คู่ปรับที่รับมือได้’ ใต้เท้าเหยามีอำนาจเหนือฮ่องเต้หรือไม่? มีอำนาจเหนือองค์รัชทายาทหรือไม่? มีอำนาจเหนือลูกหลานของพวกเขาหรือไม่? ที่เจ้าพูดว่าจับมือใครดมไม่ได้ หากแม้ว่าท่านหญิงสวินหยางจะถูกรับโทษเช่นนั้นแล้วอย่างไรเล่า? องค์รัชทายาทก็ยังคงเป็นองค์รัชทายาท คังจวิ้นอ๋องก็คือคังจวิ้นอ๋อง อยู่ดีๆ เจ้าจะไปล่วงเกินเขาทำไม? การแสดงน้ำใจเช่นนี้ ยื่นให้สักเล็กน้อยก็พอเหมาะแล้ว เกิดเป็นคนเจ้าต้องมองการณ์ไกลให้มาก”
“ท่านหญิงสวินหยางก่อคดี องค์รัชทายาทและคังจวิ้นอ๋องไม่อาจนิ่งดูดายหรอก จุดประสงค์ของใต้เท้าเหยาก็คือกลัวว่าพวกเขาอาจจะสมรู้ร่วมคิดกัน” คนผู้นั้นดึงเขามาไว้ด้านข้าง พูดด้วยเสียงต่ำ
ครั้งที่แล้วในตำหนักใหญ่ เพื่อที่จะปัดความรับผิดชอบ เหยาก่วงไท่นั้นจิกกัดกองบัญชาการทหารเมืองเก้าที่อยู่ในมือฉู่อี้อันไม่ปล่อย เขาอยากจะมอบโทษให้ฉู่อี้อัน ดังนั้นครั้งนี้คดีของฉู่สวินหยางตกมาอยู่ในมือเขา เขาก็อยากจะลองสักตั้ง
“เจ้าจะสนใจพวกเขาไปทำไม เจ้าคอยดูห้องขังของเจ้าที่นี่ก็พอแล้ว!” เหล่าอู๋เบิกตาจ้องเขาอย่างไม่สบอารมณ์ไปที “หากใต้เท้าเหยามีเรื่องอยู่ในใจจริงๆ เขาจะกัดท่านหญิงสวินหยางไม่ปล่อยนับเป็นอันใด? หากเขาแม้กระทั่งองค์รัชทายาทยังสามารถทำให้ล้มไปด้วยกันได้ เวลานั้นถ้าให้ข้าไปเลียนิ้วเท้าให้เขา อย่างไรข้าก็ยอม!”
คนผู้นั้นเมื่อได้ฟังจบก็ตะลึงไป ไม่กล้าเอ่ยถามขึ้นมาอีก
ใช่แล้ว ใต้เท้าเหยาแม้จะสามารถทำให้ท่านหญิงรับโทษได้แล้วอย่างไร? ก็ในเมื่อผู้ที่ดูแลวังบูรพาเป็นองค์รัชทายาท!
ในคุกหลวง ฉู่สวินหยางแม้จะไม่อยากอาหาร ทว่าเมื่ออยู่ตรงหน้าอาหารที่วางบนโต๊ะกลับไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา หยิบจับสิ่งที่ตัวเองชอบใส่เข้าปากไป
ฉู่ฉีเฟิงคอยนั่งเติมอาหารให้นางอย่างเอาใจใส่ มองนางที่กินไม่หยุด มุมปากที่โค้งขึ้นรูปเป็นรอยยิ้มกลับค่อยๆเปลี่ยนเป็นขมขื่น ยกมือลูบผมของนางพลางกล่าว “รู้สึกลำบากหรือไม่?”
ฉู่สวินหยางยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดที่มุมปาก ทั้งยังบ้วนน้ำก่อนจะเงยหน้าเผยยิ้มรู้สึกผิดให้เขา “ข้าทำให้ท่านและท่านพ่อกังวลใจแล้ว ความจริงที่นี่ นอกจากเล็กไปหน่อย มืดไปหน่อยแล้ว อย่างอื่นก็นับว่าไมได้แย่อะไร”
ฉู่ฉีเฟิงเห็นนางยังมีกะจิตกะใจพูดหยอกล้อ ก็ไม่รู้ว่าควรจะโกรธหรือจะหัวเราะดี ท้ายที่สุดจึงจ้องมองนางด้วยท่าทีไม่ยินดี กล่าวด้วยสีหน้าที่ครุ่นคิด “เรื่องราวซับซ้อนขึ้นมาแล้ว มีคนอาศัยช่วงโหว่ใช้ชื่อของชิงหลัวกล่าวหาว่าฆ่ากู้ฉางเฟิง เห็นได้ชัดว่าวางแผนที่จะยัดความผิดให้แก่เจ้า”
———————————–
[1] ยามสี่เกิง เวลาประมาณ 01:00 – 02:59