สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 17.4 ขิงก็ราข่าก็แรง... เผชิญหน้าในห้องพิจารณาคดี (4)
- Home
- สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2
- บทที่ 17.4 ขิงก็ราข่าก็แรง... เผชิญหน้าในห้องพิจารณาคดี (4)
เหยาก่วงไท่บังคับสายตาตัวเองเบนไปทางอื่น กล่าวไปยังด้านนอก “เบิกตัวกู้ฉางหมิงและมือปราบจากศาลาว่าการพระนครกลุ่มนั้นขึ้นห้องพิจารณาคดี!”
ในยามที่เขาเอ่ยชื่อของตู้ฉางหมิงขึ้น ฉู่สวินหยางก็ไม่ได้ประหลาดใจเลยสักนิด เมื่อวานที่ศาลาว่าการพระนครนางก็ทำเรื่องเกินไปอยู่บ้างจริงๆ เวลานั้นนอกจากจูหยวนซานแล้วก็ยังมีกู้ฉางเฟิงและตู้ฉางหมิงอีกสองคนที่อยู่ในจุดเกิดเหตุ ดังนั้นคนที่สามารถบอกเรื่องราวอย่างตรงไปตรงมาได้ก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้น
ไม่นานนักคนสิบกว่าคนก็ถูกนำตัวเข้ามาจากด้านนอก เมื่อเข้าประตูมาเจอกับฉู่สวินหยางที่นั่งบนเก้าอี้อย่างไม่ทุกข์ร้อนอันใด ตู้ฉางหมิงที่เดินเข้ามาก่อนก็ขมวดคิ้วขึ้นมา จากนั้นจึงก้มหัวคุกเข่าลงไปทำความเคารพ “เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบใต้เท้าเหยา กระหม่อมน้อมคารวะทุกท่านขอรับ!”
“ตู้ฉางหมิง เจ้าจงพูดเรื่องที่ใต้เท้ากู้ถูกทำร้ายเมื่อคืนวานให้พวกเราฟังอีกครั้ง” เหยาก่วงไท่กระแอมคอกล่าว
“ขอรับ!” ตู้ฉางหมิงตอบอย่างให้เกียรติ เล่าอย่างเป็นระบบระเบียบ “เมื่อคืนวาน ยามสองเกิง[1] ใต้เท้ากู้ยังคงสะสางงานอยู่ด้านหลังศาล ข้าจึงเข้าไปเตือนให้เขารีบพักผ่อนเสีย นึกไม่ถึงว่าตอนกำลังจะเข้าไปเรือนด้านหลังก็ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือออกมาจากห้องนั้น ประจวบกับมีมือปราบคนอื่นได้ยินเสียงจึงรีบวิ่งเข้ามาด้วย ในตอนที่ข้าและมือปราบบุกเข้าไปก็ช้าไปหนึ่งก้าว ใต้เท้ากู้ถูกลอบสังหารอยู่ในห้องเสียแล้ว ข้าและมือปราบพยายามจับตัวมือสังหารอย่างสุดกำลัง ทว่าคนผู้นั้นเหมือนว่าจะเตรียมการดื่มยาพิษมาก่อนเพื่อให้ตายในเวลาที่เหมาะสม ยาพิษจึงออกฤทธิ์ตายในที่เกิดเหตุขอรับ”
“ผู้ที่ลงมือในห้องมีเพียงนางคนเดียวเท่านั้น?” เหยาก่วงไท่ถาม
“ขอรับ!”
“อืม!” เหยาก่วงไท่พยักหน้า เวลานี้จึงค่อยเบนสายตาไปยังฉู่สวินหยาง “เรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบท่านหญิงน่าจะฟังเข้าใจแล้ว”
“หูของข้ายังนับว่าดีอยู่ ฟังภาษาคนรู้เรื่อง” ฉู่สวินหยางตอบกลับไปอย่างไม่รู้สึกรู้สา
ใบหน้าของเหยาก่วงไท่ยิ่งดูบิดเบี้ยวขึ้นไปอีก อดไม่ไหวจึงสูญเสียความอดทนกล่าวไปด้วยเสียงเย็น “ศพของหญิงมือสังหารผู้นั้น ข้าได้หาคนพิสูจน์ออกมาแล้ว ทั้งยังผ่านการยืนยันจากคนมากมาย ล้วนแต่พิสูจน์ได้ว่านางเป็นบ่าวข้างกายของท่านที่ชื่อว่าชิงหลัว เช่นนั้นท่านหญิงมีสิ่งใดจะอธิบายกับเรื่องนี้บ้าง? ”
“คนตายไม่สามารถให้การได้ คนที่ฆ่าก็ไม่ใช่ข้า? แล้วเจ้าจะให้ข้าอธิบายให้เจ้าฟังได้อย่างไร?” ฉู่สวินหยางถามกลับ ยังคงมีท่าทีกระด้างกระเดื่อง ราวกับตัดสินใจแน่วแน่วแล้วว่าจะไม่ยอมให้ความร่วมมือ
ฉู่อี้หมินที่เห็นเหตุการณ์ เดิมทีอดไม่ไหวอยากจะเปิดปากกล่าวสั่งสอน แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด กลับลังเลไปชั่วครู่ ไม่ได้พูดอันใดออกมา เพียงแต่แสร้งหลับตาดื่มชาอย่างเงียบๆ ทว่าสายตาที่มืดมนเอาแต่จับจ้องไปที่ความเคลื่อนไหวของ
ฉู่สวินหยางและคนพวกนั้นบนห้องพิจารณาคดี
“ท่านหญิง ข้าถามเช่นนี้ก็เพื่อให้โอกาสท่านในการอธิบาย ท่านไม่ให้ความร่วมมือเช่นนี้ เพราะต้องการจะสร้างความลำบากให้ข้าใช่หรือไม่?” เหยาก่วงไท่เผยสีหน้าเย็นเยียบลงมา เคาะไม้ลงบนโต๊ะ “พวกเจ้า ไปนำศพมือสังหารขึ้นมา”
“ขอรับ ใต้เท้า!” คนของทางการรับคำสั่งออกไป สักพักก็ยกร่างที่ห่อหุ้มด้วยผ้าสีขาวเข้ามา มองจากภายนอกคล้ายกับรูปร่างของเด็กสาวที่ยังไม่โตเป็นสาวดี
ในใจของฉู่สวินหยางสั่นไหวเล็กน้อย เกิดความสับสนวุ่นวายในใจขึ้นมาอย่างทันที…
หากผู้ที่นอนอยู่ด้านล่างเป็นชิงหลัวจริงๆ ควรจะทำอย่างไร? หากชิงหลัวตายจริงๆ แล้ว…
เวลานี้นางไม่สามารถเผยท่าทีให้ศัตรูรู้ได้!
พยายามเก็บซ่อนไว้ในใจ ใบหน้าของฉู่สวินหยางยังคงรักษาท่าทีไว้เช่นเดิม
เหยาก่วงไท่ส่งสายตาเป็นนัยให้มือปราบเปิดผ้าขาวนั้นออก ฉู่สวินหยางขมวดคิ้วมอง ช่วงเวลาอันสั้นนั้นก็ปักใจได้อย่างทันที…
ศพผู้หญิงที่นอนอยู่นั้น แม้ว่าจะมีรูปร่างและเสื้อผ้าที่สวมใส่คล้ายชิงหลัวอย่างกับแกะ เค้าโครงใบหน้าก็นับว่ายังพอแอบอ้างได้ ทว่าเวลานี้ร่างของศพกลับดูเหมือนถูกช่วยดึงขึ้นมาจากกองเพลิงก็มิปาน รูปลักษณ์ถูกทำลายไปกว่าครึ่ง แม้ว่าครึ่งหน้าที่เหลืออยู่จะดูคล้ายกับชิงหลัวเป็นอย่างมาก แต่ฉู่สวินหยางมั่นใจ…
นางไม่ใช่!
ฉู่อี้อันและฉู่ฉีเฟิงพูดแล้วว่าไม่สามารถสอดมือยุ่งเรื่องนี้ได้ หากว่าอีกฝ่ายควบคุมชิงหลัวไว้ในมือจริงๆ เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นที่ต้องปกปิดเพื่อให้เห็นพิรุธง่ายเช่นนี้
“ศพ…ศพนี้เหตุใดถึงเปลี่ยนเป็นเช่นนี้?” ผู้ที่เปิดปากถามคนแรกกลับเป็นตู้ฉางเฟิง ใช้ท่าทีที่ทั้งแปลกใจและโมโหจ้องมองศพผู้หญิงนั้นเขม็ง
จากนั้นแววตาที่ราวกับมีดคมก็ปราดมองไปที่ฉู่สวินหยาง
ฉู่สวินหยางคิ้วกระตุก บังเกิดความสงสัยในใจขึ้นมาโดยพลัน…
แววตาของคนผู้นี้เหมือนจริงเกินไปแล้ว กลับไม่เหมือนกำลังแสดงละครอยู่ หรือเขาจะไม่ใช่คนของฝั่งนั้น?
หากเป็นเช่นนี้ เรื่องก็ซับซ้อนชึ้นมาแล้ว ฉู่ฉีเฟิงด้านนั้นไม่รู้ว่าจะสามารถรับมือได้หรือไม่
เหยาก่วงไท่กลับไม่อธิบาย เพียงแต่ทำสีหน้าไม่ยินดีกล่าวกับฉู่สวินหยาง “เชิญท่านหญิงมองดูเถิด นางใช่บ่าวของท่านหรือไม่?”
“ไม่ใช่!” ฉู่สวินหยางกล่าวสองคำอย่างชัดเจนเด็ดขาด ทว่าเพราะตอบเร็วเกินไป ผู้อื่นที่กำลังฟังอยู่กลับให้รู้สึกว่ากลบเกลื่อนความสงสัย
“ไม่ นี่เป็นบ่าวของท่านหญิงสวินหยาง!” มือปราบของศาลาว่าการคนหนึ่งที่เข้ามา กล่าวด้วยความขุ่นเคือง “บ่าวผู้นี้ชื่อชิงหลัว ฝีมือยอดเยี่ยมเป็นอย่างยิ่ง เป็นบ่าวคอยรับใช้ข้างกายของท่านหญิงสวินหยาง ข้าเคยเห็นด้วยตาของตนเอง มิอาจมองผิดเป็นอันขาด!”
เหยาก่วงไท่หัวเราะอยู่ในลำคอ โบกมือทีหนึ่ง มือปราบก็ผลักคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาจากด้านนอก บ้างก็หนุ่มบ้างก็แก่ ในนั้นมีคนหนึ่งที่ฉู่สวินหยางมองออกอย่างทันที เป็นสาวใช้ที่ปัดกวาดในเรือนนางนามว่าฮว่าเหมย ส่วนฐานะคนอื่นๆ ล้วนไม่อาจแยกออกได้ อาจจะเป็นคนที่ขายผักหรือคอยจัดหาผักให้กับครัวของวังบูรพาอยู่บ่อยๆ ไม่ก็อาจจะเป็นเหล่าฮั่นที่มาเก็บขยะทุกวันที่หน้าประตู สรุปก็คือล้วนแต่เป็นคนที่มีโอกาสปรากฏตัวอยู่รอบๆ วังบูรพา
คนส่วนมากก็ดูเหมือนชาวบ้านที่ซื่อๆ ทั่วไป อยู่ในห้องพิจารณาต่อหน้าคนชั้นสูงมากมายขนาดนี้ บางคนถึงกับตัวสั่นอยู่บ้าง หลังจากมองดูสักครู่ก็ล้วนแต่กัดฟันตอบไปว่าศพผู้หญิงนั้นก็คือชิงหลัว บ่าวรับใช้ข้างกายของฉู่สวินหยาง
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ นี่ก็คือพี่ชิงหลัว!” ฮว่าเหมยกล่าวตอบเสียงเบา ก่อนน้ำตาจะร่วงไหลตามมา ราวกับเศร้าใจเป็นอย่างมาก “ตั้งแต่เช้าเมื่อวานหลังจากนางออกไปกับท่านหญิงแล้ว บ่าวก็ไม่ได้พบนางอีกเลย ไม่คาดคิดว่า…ไม่คาดคิดว่า…”
พูดได้ว่าหลายปากพูดตรงกันก็อาจเปลี่ยนผิดให้กลายเป็นถูกได้ ตอนที่เหยาก่วงไท่มองไปที่ฉู่สวินหยางอีกครั้งนั้น ในสายตานั้นยิ้มเย็นทั้งแฝงด้วยความยินดีเป็นอย่างมาก “ท่านหญิงยังมีอะไรอยากจะกล่าวหรือไม่?”
“ชิงหลัวอายุแค่หกปีก็ติดตามข้าเป็นเหมือนเงาตามตัว เจ้าว่าเป็นข้าที่คุ้นเคยนางหรือคนพวกนั้นที่เจ้าหามาเป็นพยานคุ้นเคยมากกว่าเล่า?” ฉู่สวินหยางกล่าวอย่างเรียบเย็น เหลือบตามองจากด้านบนลงไปยังศพผู้หญิงที่นอนอยู่ตรงหน้าด้านล่าง “รูปลักษณ์ของคนผู้นี้มีส่วนที่คล้ายกับชิงหลัวอยู่จริงๆ แต่ใบหน้ากลับถูกทำลายไปครึ่งหนึ่ง ใต้เท้าเหยาไม่รู้สึกว่าแปลกไปหน่อยหรือ? หากไม่ใช่ว่ามีคนวางแผนปกปิดกลบเกลื่อนให้มีพิรุธเช่นนี้ เหตุใดไม่จับมือสังหารอย่างเป็นๆ มายังห้องพิจารณาคดีอย่างบริสุทธิ์ใจให้ข้าดูเล่า? คนตายเช่นนี้ ทั้งใบหน้ายังเสียหาย ก็กล่าวหาว่าเป็นบ่าวของข้าง่ายๆ? นี่จะไม่ใช่กล่าวไปอย่างน้ำขุ่นๆ หน่อยหรือ?”
เหยาก่วงไท่ตะลึงไป กลับเป็นตู้ฉางหมิงที่กล่าวด้วยโกรธอย่างสุดขีด “ความหมายของท่านหญิงคือ พวกข้าจงใจฆ่าปิดปากคนเพื่อใส่ร้ายท่านอย่างนั้นรึ?”
“หากเป็นดังที่เจ้าพูด นางฆ่าตัวตายเพื่อหนีความผิด เช่นนั้นข้าก็แปลกใจแล้ว เหตุใดใบหน้าของนางถึงเปลี่ยนไปเช่นนี้เล่า?” ฉู่สวินหยางกลับถามกลับอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“เมื่อคืนวานตอนที่ศพนางถูกพาออกไปไม่ได้เป็นเช่นนี้!” ตู้ฉางหมิงกล่าว เงยหน้าขึ้นไปมองเหยาก่วงไท่ที่บนศาลอย่างไม่พอใจ
สีหน้าของเหยาก่วงไท่ดูไม่ค่อยดี
กลับเป็นฉู่อี้เจี่ยนที่นั่งดื่มชาสบายๆ อยู่ด้านข้างค่อยๆ เอ่ยขึ้นมา “เมื่อวานกลางดึกโคมที่อยู่หน้าประตูห้องเก็บศพของศาลาว่าการถูกลมพัดตก จึงเกิดอุบัติเหตุขึ้น!”
“ช่างบังเอิญนัก?” ฉู่สวินหยางเมื่อได้ยินอย่างนั้น จู่ๆ ก็ยิ้มขึ้นมา ใช้สายตาเหน็บแนมมองไปยังเหยาก่วงไท่ที่อยู่หลังโต๊ะ
เหยาก่วงไท่จึงกระวนกระวายใจขึ้นมาโดยพลัน กล่าวอย่างโมโห “ท่านหญิงหมายความว่าอย่างไรกัน? หรือท่านยังสงสัยว่าข้าตั้งใจทำให้เรื่องเป็นเช่นนี้?”
เรื่องนี้ก็เหนือความคาดหมายเขาเช่นกัน เดิมทีก็เป็นหลักฐานอยู่ดีๆ ตอนนี้กลับถูกเปลี่ยนให้เป็นเช่นนั้น ตอนเช้าตรู่ฮ่องเต้ก็เรียกตัวเขาเข้าไปด่าถึงในวังชุดใหญ่ เขาก็เคยสงสัยว่าอาจจะเป็นคนของวังบูรพาที่วางแผนเผาศพทำลายหลักฐาน ทว่าเมื่อสังเกตในสถานที่แห่งนี้อย่างละเอียดกลับไม่พบคนที่น่าสงสัยแม้แต่น้อย
ใบหน้าของเหยาก่วงไท่มืดคล้ำในทันที ในตอนที่กำลังจะพิจารณา ก็พบคนของทางการมีท่าทีร้อนรนก้าวเท้าเข้ามาจากด้านนอกอย่างรวดเร็ว กล่าวรายงานด้วยความรีบร้อน “ใต้เท้า ผู้คุมนักโทษของศาลาว่าการพระนครรายงานว่า เมื่อวานองครักษ์สองคนของจวนอ๋องฉางซุ่นที่ถูกขังคุก เมื่อคืนได้ฆ่าตัวตายหนีความผิดแล้วขอรับ!”
ฉู่สวินหยางยกมุมปากขึ้นยิ้มอย่างเยือกเย็น…
จะต้องดึงซูหลินเข้ามา ละครฉากนี้ถึงจะสามารถเล่นใหญ่ต่อไปได้ นี่ถือเป็นลางดีจริงๆ!
ตู้ฉางหมิงเหลือบมองเห็นท่าทางนั้นของนางโดยไม่ได้ตั้งใจ เวลาต่อมาจึงเบิกตาโกรธเกรี้ยว คำรามด้วยความโมโห “ท่านหญิงสวินหยาง แผนของท่านช่างโหดเหี้ยมดีจริง!”
——————————————————————-
[1] ยามสองเกิง เวลาประมาณ 21.00-22.59