สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 18.3 ไล่บี้อย่างไม่ลดละ พลิกสถานการณ์ (3)
ใบหน้าของซูหลินไม่สู้ดี เขาส่งเสียงเหอะในลำคอครั้งหนึ่ง “ท่านหญิงอย่าได้พูดจาเหลวไหลไม่เป็นความจริง ตามที่ได้ยินมา องครักษ์สองคนของซื่อจื่อนั้นเมื่อคืนวานก็ตายอย่างแปลกประหลาดในคุก ท่านกล่าวลอยๆ เช่นนี้ เกรงว่าจะไม่สมเหตุสมผลไปหน่อยกระมัง?”
“ใครจะไปรู้ว่าเป็นเจ้าหรือไม่ที่เป็นคนฆ่าปิดปากสองคนนั้น!” ฉู่สวินหยางตอกกลับอย่างประชดประชัน ประกายตาดุดัน หันหน้าไปกล่าวกับตู้ฉางหมิง “ในเมื่อซูซื่อจื่อกล่าวว่าสิ่งที่ข้าพูดนั้นไม่น่าเชื่อถือ เช่นนั้นหัวหน้ามือปราบตู้ เจ้าลองพูดสิ เมื่อวานตอนที่ข้าไต่สวนสองคนนั้น ทั้งเจ้าและใต้เท้ากู้ต่างก็อยู่ในเหตุการณ์ เจ้าจงนำคำพูดตั้งแต่ต้นที่สองคนนั้นกล่าว พูดอีกครั้งให้เสด็จปู่ ท่านอาท่านอื่นๆ และใต้เท้าทั้งหลายเข้าใจเสียสิ!”
ตู้ฉางหมิงใบหน้าซีดเผือด เรื่องมาถึงจุดนี้กลับไม่ได้เป็นดังเส้นทางที่เขาเลือก ทำได้เพียงแต่ฝืนใจกล่าวไปเท่านั้น “เวลานั้นสองคนนั้นต่างก็รับสารภาพ กล่าวว่าเด็กคนนั้นถูกจับได้ ซูซื่อจื่อบันดาลโทสะจึงออกคำสั่งสังหารนาง เพียงแต่สองคนนั้นยังพูดอีกว่า ท้ายที่สุดนั้นนางถูกใครบางคนช่วยหนีไป จึงหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยขอรับ!”
ซูหลินหน้าพลันเปลี่ยนสี ตอนที่กำลังจะโต้กลับไป ฮ่องเต้ก็กวาดสายตาเย็นยะเยือกมาเสียก่อน ตบโต๊ะอย่างโมโห ด่ากราดที่ฉู่สวินหยางและซูหลิน “ดียิ่ง! พวกเจ้าสองคนล้วนแต่เห็นข้าเป็นตาแก่หูตาฝ้าฟางใช่หรือไม่? เอาแต่พูดโกหกต่อหน้าข้าไม่หยุดหย่อนเช่นนี้ น่าเกลียดชังเสียยิ่งกระไร!”
“ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” ซูหลินรีบเร่งโขกศีรษะลงกับพื้น น้ำเสียงนั้นรู้สึกได้ถึงความสั่นไหวอยู่บ้าง “กระหม่อม…กระหม่อม…”
ฉู่สวินหยางกลับไม่มีท่าทีเกรงกลัวอันใด ยักคิ้วขึ้นอย่างยั่วยุ กล่าวเสียงแกมประชด “เจ้าทำไม? ซูซื่อจื่อ เจ้าอย่ามาเล่นลิ้นว่าเจ้าไม่ได้พบชิงหลัว เจ้าคิดว่าเจ้าฆ่าองครักษ์สองคนนั้นแล้วก็จะไม่มีหลักฐานแล้วงั้นรึ? เมื่อวานในตรอกนั้นศพที่ถูกยกไป ข้าจำได้ว่าเป็นศพที่ถูกสังหารด้วยกริช เวลานั้นยามที่ศพถูกเคลื่อนย้ายก็คงไม่ได้เก็บอาวุธมาใช่หรือไม่?”
ตอนนั้นเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงจากความสงสัย นางจึงส่งสัญญาณให้ชิงเถิงเก็บกระบี่ที่ชิงหลัวทำตกไปด้วย แต่กลับเหลืออะไรบางอย่างไว้เช่นกัน
จุดนี้ซูหลินกลับไม่ได้ตระหนักถึง เมื่อได้ฟังก็ตกใจขึ้นมา
ฉู่สวินหยางย้ายสายตาไปที่ตู้ฉางหมิง “หัวหน้ามือปราบตู้ ของกลางนั้นคงเก็บไว้ภายในศาลาว่าการของพวกเจ้าใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้วขอรับ!” ตู้ฉางหมิงกล่าว “แต่ว่าอาวุธนั้นข้าได้ตรวจอย่างละเอียดแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พบเจออะไรเป็นพิเศษ”
“ไปเอามา!” ฮ่องเต้สั่งเสียงเย็น
ตู้ฉางหมิงรับคำสั่ง ยืนขึ้นหมุนกายออกไปอย่างรวดเร็ว
ฉู่สวินหยางหัวเราะในลำคอ มองไปทางซูหลินอีกครั้ง “ซูซื่อจื่อ เรื่องนี้เดิมทีข้าอาจทำไม่ถูก ข้าไม่ได้อยากจะกล่าวเกินจริงอันใด แต่เมื่อเรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว เจ้ายังไม่ยอมรับตามตรง จะทำเป็นไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาอย่างนั้นรึ?”
ฉู่สวินหยางพูดด้วยความน่าเชื่อถือ ทั้งยังกล้าเรียกคนนำของกลางมาตรวจสอบ ฮ่องเต้ในใจนั้นกลับมีคำตอบแล้ว
แผ่นหลังของซูหลินเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น กัดฟันแน่น กล้ามเนื้อที่กระพุ้งแก้มนั้นกำลังสั่นกระตุกเบาๆ…
เขาส่งคนไปฆ่าปิดปากในคุก หลังจากที่ได้ยินว่าฉู่สวินหยางตั้งศาลเตี้ยไต่สวนสองคนนั้นด้วยตนเอง ก็รีบวางแผน
ลงมือทันที ไม่ใช่เพื่อเรื่องอื่นใด อย่างน้อยที่สุดก็คือไม่ให้ผู้คนถามถึงเรื่องของเขาและหลัวอวี่ก่วนออกมาได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถพายเรือตามน้ำโยนความผิดให้ฉู่สวินหยางได้อีกด้วย การยิงปืนนัดเดียวที่ได้นกสองตัว เรื่องที่น่ายินดีเช่นนี้ เหตุใดจะไม่ทำเล่า?
เพียงแต่ไม่คาดคิดว่าฉู่สวินหยางจะสร้างความลำบากให้เขาไปก่อนก้าวหนึ่งแล้ว เดิมทีก็ไม่ได้รอให้เขาใช้การตายของสองคนนั้นออกมาเล่นงาน ก็มาถูกกัดกลับ ยิ่งโชคร้ายที่กู้ฉางเฟิง คนที่สนิทชิดเชื้อกับสกุลซูของเขาดันมาถูกลอบสังหารอย่างไม่คาดคิด
เรื่องราวพลิกกลับตาลปัตรเช่นนี้ ได้อยู่เหนือการควบคุมของเขาเสียแล้ว
เมื่อเห็นว่าจะจับคนพร้อมของกลาง เขาก็ไม่กล้าจะยืนหยัดต่อหน้าฮ่องเต้อีกแล้ว จึงกล่าวอย่างตื่นตระหนก “ฝ่าบาท กระหม่อมเพียงบันดาลโทสะแค่เพียงชั่วครู่เท่านั้น ใต้ฝ่าพระบาท ท่านหญิงสวินหยางยังกล้าไม่เกรงกลัวสิ่งใดส่งคนมาติดตามความเคลื่อนไหวกระหม่อม กระหม่อม…กระหม่อมละอายใจยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ!”
อย่างไรก็แค่คนตายเพียงคนเดียวเท่านั้น!
“พูดเช่นนี้แสดงว่าเจ้ายอมรับแล้วว่าเจอกับชิงหลัว?” ฉู่สวินหยางกล่าวด้วยเสียงเย็น “แล้วนางเล่า?”
“ข้าจะรู้ได้อย่างไร?” ซูหลินโพล่งตอบกลับไป
ฉู่สวินหยางเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มมองเขา “แต่ว่าคนสุดท้ายที่เจอนางคือซูซื่อจื่อ ตอนนี้มีคนย้ายศพนางเข้ามา ยังโยนความผิดมาให้ข้าว่าลอบทำร้ายขุนนางในราชสำนักอีก ซูซื่อจื่อ ไม่ใช่ว่าเจ้าอาฆาตมาดร้ายจึงทำเรื่องนี้ลงไปหรอกหรือ?”
“เจ้าอย่าได้พูดจาใส่ร้ายคนอื่น!” ซูหลินกล่าวอย่างโมโห ในอกรัดแน่น เงยหน้าขึ้นอย่างวุ่นวายใจ กลับพบกับฮ่องเต้ที่เผยสีหน้ามืดมนจดจ้องเขาอยู่ตรงข้ามก่อนแล้ว
ฉู่สวินหยางนังเด็กบ้านี้ร้ายกาจเสียจริง ไม่คาดคิดว่าแค่สองสามประโยคก็สามารถเอาเรื่องการตายของกู้ฉางเฟิงโยนมาให้เขาได้
โทษลอบสังหารขุนนางในราชสำนักเช่นนี้เดิมทีก็ต้องชดใช้ชีวิตด้วยชีวิตแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีความเกี่ยวข้องกับการโยนความผิดใส่ร้ายราชนิกุลตามมาอีกด้วย!
จนถึงบัดนี้ซูหลินจึงค่อยตระหนักได้ว่า…
ฉู่สวินหยางนั้นยังไม่แน่ที่จะเล็งเป้ามาที่เขา เพียงแค่อาศัยการโจมตีด้วยวาจามาบีบเขาจนหมดหนทาง เพื่อที่จะทำให้เขาออกหน้าเป็นพยานล้างความสงสัยที่ฆ่าคนออกไปแทนนาง
แม้ว่าในใจจะไม่ยินดี แต่เวลานี้การเอาตัวรอดเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด
ซูหลินกำหมัดแน่น ฝืนเงยหน้าสบตากับฮ่องเต้ กล่าวด้วยท่าทีทั้งกังวลและจริงจัง “ขอฝ่าบาทโปรดพิจารณาให้ดี ระหว่างกระหม่อมและท่านหญิงสวินหยางนั้น เป็นความขัดแย้งส่วนตัวเล็กน้อยเท่านั้น แค่ไม่พอใจกันไปกันมา กระหม่อมคงไม่อาจทำให้คนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเดือดร้อนไปด้วยเพราะเรื่องนี้หรอกพ่ะย่ะค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นใต้เท้ากู้ยังเป็นขุนนางของราชสำนัก กระหม่อมแม้จะมุทะลุขนาดไหน ก็คงไม่ถึงกับทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ลงไปได้หรอกพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เพียงเผยสีหน้าไร้อารมณ์มองเขา นิ่งเงียบไม่กล่าวอันใดออกมา
ซูหลินทั้งโมโหทั้งกระวนกระวายใจ มองหน้าฉู่สวินหยางอย่างโกรธเกรี้ยวก่อนกล่าว “เมื่อวานที่ริมแม่น้ำจ้าวธาร กระหม่อมได้เจอสาวใช้คนนั้นของท่านหญิงจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ จากนั้นก็สั่งให้คนประมือกับนาง แต่ว่าภายหลังนางก็หลบหนีไป มิใช่ว่านางกลับไปหาท่านหญิงแล้วหรอกหรือ?”
“หลังจากที่เกิดเรื่องขึ้นที่นั่น ข้าก็ไปศาลาว่าการพระนครทันที จากนั้นข้ากับพี่รองก็พากันตามหาร่องรอยของนาง” ฉู่สวินหยางกล่าว ในขณะที่พูดก็เปลี่ยนเรื่องพูดเป็นอีกเรื่อง “ซูหลิน องครักษ์สองคนนั้นของเจ้ากล่าวว่าในตอนนั้นนางถูกเจ้าทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส เจ้าแน่ใจนะว่ามิใช่ใจเจ้าบังเกิดคิดชั่วร้ายอยากจะควบคุมนาง แล้วแอบใช้โอกาสนี้มาเล่นละครเพื่อแก้แค้นข้า?”
ในขณะที่นางพูดก็เบนสายตาไปอีกทาง มองไปยังศพที่นอนอยู่ด้วยมีความนัยแฝง “ผ่านการยืนยันจากคนมากมาย พวกเขาล้วนเห็นพ้องต้องกันว่าศพนี้คือชิงหลัว หากเจ้ายังไม่มีข้อสรุปเป็นชิ้นเป็นอันได้ว่าใครเป็นคนพานางไป…เช่นนั้นข้าก็มีเหตุผลที่จะสงสัยได้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้วนางกลับอยู่ในมือของเจ้ามาโดยตลอด!”
เป็นเพราะว่าใบหน้าที่ไม่ชัดเจนของศพนี้จึงทำให้ถูกคิดว่าเป็นชิงหลัว ดังนั้นฉู่สวินหยางจึงกลายเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆ่าคนจากเรื่องนี้
ซูหลินโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ บีบกำปั้นในมือจนดังกรอดๆ ท้ายที่สุดก็หันไปทางด้านข้าง กล่าวอย่างราบเรียบ “คนผู้นี้ ไม่ใช่สาวใช้ของท่านหญิงสวินหยางพ่ะย่ะค่ะ!”
“นี่เป็นพี่ชิงหลัว!” เด็กสาวฮว่าเหมยคนนั้น เมื่อได้ฟังจบก็ร้อนรน พุ่งเข้าไปกอดศพนั้นไว้ “บ่าวและพี่ชิงหลัวทำงานร่วมกันมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว แม้ว่านางจะถูกเผาจนเหลือแต่ขี้เถ้าบ่าวก็จำได้เจ้าค่ะ!”
ใบหน้าของซูหลินแข็งกร้าว ราวกับมีแผ่นน้ำแข็งสองชั้นเคลือบอยู่ ประสานมือกล่าวไปทางฮ่องเต้ “ฝ่าบาท เมื่อวานองครักษ์ของกระหม่อมและเด็กสาวคนนั้นได้ประมือกัน ทำร้ายนางจนเจ็บสาหัส แม้ว่านางจะตายแล้ว ก็ควรที่จะมีบาดแผลอยู่ ทั้งหมดมีสองบาดแผล ที่หนึ่งอยู่ที่หัวไหล่ขวา อีกที่หนึ่งอยู่ที่ท้องพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทสามารถเรียกคนมาตรวจสอบได้ ใช่หรือไม่ใช่แค่ดูก็รู้แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮว่าเหมยกอดศพนั้นไว้แน่นทั้งสองมือ
ฮ่องเต้พยักหน้า มือปราบกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นทันที ดึงตัวฮว่าเหมยออกไปด้านหน้าแล้วจึงตรวจสอบศพ
ประกอบกับตู้ฉางเฟิงที่นำกริชเล่มนั้นเข้ามาจากด้านนอกพอดี ในใจยิ้มขมขื่นขึ้นมา
เขาเดินไปด้านหน้า คุกเข่าใช้สองมือถวายกริชเล่มนั้น “ฝ่าบาท ของกลางอยู่นี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ฉู่สวินหยางได้ทีรับขึ้นมา มองผ่านๆ ก็โยนทิ้งออกไปไกล กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ชิงหลัวไม่ใช่คนโง่ จะสลักชื่อลงบนอาวุธไว้ได้อย่างไร?”
เมื่อครู่นางกลับไม่กลัวฉวยคว้าอาวุธนั้นมาก่อนตรงหน้าฮ่องเต้ ซูหลินเวลานี้ราวกับดึงสติตื่นขึ้นมาจากความฝันได้…
อาศัยความรอบคอบของฉู่สวินหยางแล้ว ในเมื่อนางจำได้ถึงขนาดเก็บดาบของชิงหลัวมา แล้วเหตุใดจึงยังทิ้งกริชเอาไว้เพื่อสามารถใช้เป็นหลักฐานได้? ทั้งที่จริงแล้วในเวลานั้นนางก็ไม่รู้ว่าจะมีคนฆ่ากู้ฉางเฟิงแล้วโยนความผิดมาให้นาง!
หรือว่าเขาจะตกอยู่ในกับดักนางเสียแล้ว!
ความโกรธพลุ่งพล่านขึ้นในอก ใบหน้าของซูหลินนั้นแดงก่ำด้วยความโมโห แทบที่จะกระอักเลือดออกมา
เป็นฉู่สวินหยางที่พลิกแผนกลับมาได้อย่างร้ายกาจ!
———————————