สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 19.2 องค์รัชทายาทโมโหเกรี้ยวกราดและข้อตกลงสำคัญ (2)
- Home
- สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2
- บทที่ 19.2 องค์รัชทายาทโมโหเกรี้ยวกราดและข้อตกลงสำคัญ (2)
เหตุการณ์ทุกอย่างคลี่คลายหมดแล้ว หยางเถี่ยเป็นฆาตกร และใช้เงินจำนวนมากซื้อตัวอู่ตั้นแห่งคณะงิ้วซื่อสี่ปัน สั่งให้แม่นางผู้นั้นไปลอบสังหารคนอื่นอีก
“ใต้เท้ากู้เป็นถึงขุนนางคนสำคัญของราชสำนัก ชดใช้ด้วยชีวิตอย่างเดียวเห็นทีคงไม่ได้!” ฉู่สวินหยางกล่าว จ้องมองหยางเถี่ยที่ถูกกดตัวอยู่บนพื้นอย่างเย็นชา “เจ้าบังอาจนัก ริอาจจ้างมือสังหารเข้าไปลอบฆ่าคนอื่นถึงศาลาว่าการพระนคร หยางเถี่ย อย่าบอกนะว่าเป็นแผนของเจ้าแต่เพียงผู้เดียว โทษหนักขนาดนี้ เจ้าแบกรับคนเดียวไว้ไม่หมดหรอก!”
“ข้าบอกว่าข้าเป็นคนทำไง มีอะไรให้พูดอีกเล่า?” หยางเถี่ยบ้วนเลือดทิ้ง ใบหน้าของเขาแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มอันบ้าคลั่ง “ท่านหญิง ท่านไม่รู้รายละเอียดเบื้องลึกเกี่ยวกับตัวข้าใช่ไหมขอรับ? เมื่อสิบปีก่อนตระกูลหยางของพวกเราก็เป็นครอบครัวมั่งคั่งมีอันจะกินอยู่ในแถบหลิ่งหนาน แต่มีใครบางคนดูถูกกิจการร้านขายยาของพวกเรา มีคนจ้างพวกขุนนางมา แล้วตอนนั้นเจ้ากู้ฉางเฟิงเอาแต่กัดครอบครัวของข้าไม่ยอมปล่อยเพียงเพราะต้องการผลงาน จนทำให้ครอบครัวของข้าล่มจมเสียชีวิต จนถึงวันนี้เวลานี้ ข้าจ้างคนอื่นไปฆ่าเขาบ้างแล้วมันจะทำไม? ข้าเอาแค่ชีวิตของมันมาคนเดียว ก็ถือว่าข้าปรานีมากแล้ว!”
เขาพูดอย่างเกรี้ยวกราด ราวกับว่าเรื่องทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องจริง
ฉู่อี้เจี่ยนได้ยินคำพูดพวกนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง “แต่งเรื่องได้ไม่เลวเลยนี่ แต่ว่าเจ้าเลือกคนเก่งเหมือนกันนะ ทั้งยังเลือกใช้เวลาได้อย่างเหมาะสมด้วย เลือกมือสังหารที่หน้าตารูปร่างคล้ายกับสาวใช้ของฉู่สวินหยาง ทั้งยังบังเอิญมาก บังเอิญไปตรงกับช่วงที่สาวใช้ของสวินหยางหายตัวไปอีก? ว่าแล้วสาวใช้ของสวินหยางคนนั้นคงดวงไม่ดีสักเท่าไร!”
หยางเถี่ยสบถออกมาอย่างไร้เยื่อใย แล้วหันหน้าไปอีกด้าน
ดูออกได้ไม่ยาก คนคนนี้เป็นพวกดื้อด้านสู้ไม่ถอย ถึงแม้ว่าจะถูกบีบบังคับให้รับโทษสาหัส เขาก็จะยอมรับมันแต่เพียงผู้เดียว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงประโยคเมื่อกี้ที่เขาพูดอีก มันชัดเจนหมดแล้วทุกอย่าง…
ตระกูลหยางตายยกครัว ส่วนตัวเขาเองก็หาได้เกรงกลัวการตายไม่ ทำให้ไม่มีช่องโหว่ในการบีบบังคับตัวเขาเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเจอเข้ากับคนแบบนี้ มันยิ่งทำให้คนรู้สึกหงุดหงิด แต่ในเวลาเดียวกันก็ไม่รู้จะจัดการกับเขาอย่างไรเช่นเดียวกัน
ฉู่อี้หมินนั่งดูเหตุการณ์อยู่ด้านข้าง ในใจของเขาร้อนรน ไม่ได้สงบนิ่งเลยแม้แต่วินาทีเดียว…
ตัวเขาเองก็รู้ดี ว่าคำสารภาพของหยางเถี่ยมันไม่หนักแน่นพอ ถึงแม้จะเค้นคำพูดออกมาจากปากหยางเถี่ยไม่ได้เลยแม้แต่นิด แต่ในใจของฮ่องเต้เองต้องรู้สึกสงสัยในตัวเขาแน่นอน สำหรับเขาแล้วนี่มันเป็นการคุกคามที่อันตรายถึงแก่ชีวิตเลยทีเดียว
หันมองไปยังเด็กสาวที่ร้องไห้จนแทบจะขาดลมหายใจคนนั้น เดิมทีฉู่สวินหยางเองก็โกรธจนโมโหลุกเป็นไฟ แต่พอถึงตอนนี้นางกลับรู้สึกโมโหจนหัวเราะออกมา สุดท้ายสะบัดกระโปรงแล้วเดินกลับไปนั่งบนเก้าอี้ เหล่ตามองซูหลินอย่างไม่แยแสแล้วกล่าวว่า “ดูท่าดวงชะตาของข้าคงถึงคราวซวยจริงๆ ในเมื่อมันบังเอิญขนาดนี้ งั้นข้าก็ขอรับกรรมนั้นไว้แล้วกัน ส่วนซูซื่อจื่อ…ท่านจะรับกรรมร่วมกับข้าหรือไม่เจ้าคะ? ไม่แน่นะเจ้าคะว่าองครักษ์ทั้งสองของท่านกับขุนนางคนสนิทของท่านอารอง อาจจะมีความแค้นเคืองส่วนตัวกันอยู่ก็ได้นะ!”
ใบหน้าของฉู่อี้หมินขาวซีด ทนไม่ไหวจึงตะโกนออกมาเสียงดังว่า “สวินหยาง อย่างไรเสียข้าก็อายุมากกว่าเจ้านัก ข้ารับใช้ในจวนของข้าทำผิดนั่นเป็นเพราะข้าดูแลจัดการได้ไม่เข้มงวดมากพอ ต่อหน้าฝ่าบาทกับท่านพ่อของเจ้า ไม่ว่าจะอย่างไรก็แล้วแต่ มันยังไม่ถึงเวลาให้เด็กอย่างเจ้ามาพูดเสียดแทงเหิมเกริมใส่ข้าได้เยี่ยงนี้หรอกนะ!”
ฉู่สวินหยางขมวดคิ้ว ทำท่าทางน้อยใจ
ฉู่ฉีเฟิงเอ่ยพูดขึ้นด้วยใบหน้าเย็นชา “ท่านอารอง ข้ารับใช้ในจวนของท่านไม่รู้ความ สวินหยางเองก็ถูกคุมขังเพราะเหตุการณ์ครั้งนี้ ในเมื่อท่านคิดว่าตนเป็นถึงผู้อาวุโส ท่านไม่เพียงไม่คิดที่จะพูดปลอบใจนาง และยังต่อว่านางอีก? หากเปลี่ยนเป็นบุตรสาวหรือบุตรชายของท่านถูกกระทำเยี่ยงนี้บ้าง ท่านจะยังทำเป็นไม่สนใจแบบนี้ได้อยู่หรือไม่?”
ฉู่อี้หมินโดนพูดตอกหน้าจนหน้าแดงก่ำไปด้วยความโกรธ เขาตบโต๊ะลงอย่างแรง “พวกเจ้าคิดจะก่อกบฏงั้นรึ?”
“น้องรอง ต่อหน้าท่านพ่อ เจ้าพูดอะไรก็ระวังปากหน่อย!” ฉู่อี้อันปรายมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “หากบุตรสาวหรือบุตรชายของข้าจะสู้หรือจะด่า มันก็ไม่ถึงคราวให้คนรอบข้างเข้ามายุ่งวุ่นวายหรอก อีกอย่างเรื่องวันนี้ที่จู่ๆ พวกมันเข้ามาต่อว่าข้าด้วยคำพูดกล่าวเกินจริงพวกนั้น เดิมทีข้าเองก็คิดจะให้อภัยอยู่แล้ว พวกเจ้าเองก็อยู่ที่นี่พอดี การที่สวินหยางต้องรับโทษที่ตนไม่ได้ทำผิด เป็นเพราะจวนอ๋องหนานเหอของพวกเจ้านั้นเป็นเรื่องจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ตอนนี้ข้าไม่สนว่าข้ารับใช้คนสนิทของเจ้าจะพูดว่าอะไร…แต่ต่อหน้าท่านพ่อ ข้าต้องการให้เจ้า…ชดใช้ให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
น้ำเสียงของเขาไม่ได้เฉียบคมมากเท่าใดนัก แต่ทุกประโยคทุกถ้อยคำนั้นหนักแน่น ให้ความรู้สึกน่าเกรงขามและทรงพลังยากที่จะปฏิเสธ
การแอบซ่อนว่าพวกเขามีความสัมพันธ์อันดีต่อกันและกัน มันเป็นเรื่องธรรมดาของพวกเขาตั้งนานแล้ว ในครั้งนี้ฉู่อี้อันโมโหจนปะทุความโกรธออกมา เป็นเรื่องที่ฉู่อี้หมินเองคาดไม่ถึงเหมือนกัน ทำให้เขารู้สึกเกรงกลัวขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
“ฆ่าคนตายไปก็แค่ชดใช้ด้วยชีวิตเท่านั้นเอง…” ฉู่อี้หมินเอ่ยปากขึ้นพูด น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหงุดหงิด
“คนที่ต้องชดใช้ด้วยชีวิตคือมัน ซึ่งเรื่องนี้ตระกูลเหยาจะเป็นผู้จัดการเอง ส่วนตอนนี้…ข้าต้องการให้เจ้าชดใช้ให้กับสวินหยางและวังบูรพาของข้า!” ฉู่อี้อันกล่าวซ้ำอีกครั้ง พูดตัดหน้าเขาด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดเย็นชา
“เจ้า…” ฉู่อี้หมินจ้องเขาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธโมโห พยายามระงับอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ แต่เมื่อสายตาเหล่มองเห็นใบหน้านิ่งสงบของฮ่องเต้แล้ว เขาก็สะดุ้งรีบลุกขึ้นยืน คุกเข่าลงทูลกับฮ่องเต้อย่างหวาดกลัว “เสด็จพ่อ กระหม่อมดูแลจัดการได้ไม่ดีพอ ทำให้ข้ารับใช้บุกเข้าไปกระทำการอันมิสมควรได้ เป็นความผิดของกระหม่อมเอง ที่ทำให้หลานสาวฉู่สวินหยางถูกเข้าใจผิด ข้าจะส่งของกำนัลไปให้นางเป็นการชดใช้เอง แต่สำหรับการกระทำของหยางเถี่ยคนนี้ กระหม่อมไม่รู้เรื่องด้วยจริงๆ ท่านพี่เอาแต่บีบบังคับให้ข้า…”
“ข้าแค่ต้องการความยุติธรรมให้กับบุตรสาวของตนเองเท่านั้น!” ฉู่อี้อันพูดขึ้นอย่างเย็นชา โดยที่ไม่รอให้ฮ่องเต้เอ่ยปากขึ้นเลยสักนิด
“ทุกคนเงียบซะ!” ฮ่องเต้ตะโกนเสียงเยือกเย็น “ที่นี่คือศาลพิจารณาคดี พวกที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปให้หมด!”
ฉู่อี้หมินพูดอะไรไม่ออก ต่อหน้าฮ่องเต้ที่กำลังโกรธโมโหอยู่แบบนี้ เขาทำได้แค่อดทนต่อไป
พยานหลักฐานและทหารทุกคนออกจากศาลพิจารณาคดี
มุมปากของฮ่องเต้ยิ้มเยาะเย้ยอย่างเย็นชา เขาเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ดื่มชาเข้าไปหนึ่งคำ จากนั้นปรายตามองไปยังหยางเถี่ยที่เลือดกบปากแต่ยังทำตัวดื้อด้านอยู่ แล้วพูดขึ้นว่า “ในเมื่ออย่างไรเจ้าก็ต้องตายอยู่แล้ว งั้นก็พูดมาเถอะ เจ้าแอบลักลอบเข้าไปศาลาว่าการพระนครตอนกลางดึกแบบนั้นทำไม? ฆ่าคนลักทรัพย์แล้วไปเดินเล่นในที่เกิดเหตุต่อ…ถ้าจะสารภาพแบบนี้ ข้าว่ามันก็น่าสนใจดี!”
ฉู่อี้หมินร้อนรนใจมากขึ้นไปอีก ความรู้สึกโกรธแค้นในใจค่อยๆ บังเกิดขึ้นอีกครั้ง
เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมหลังจากเสร็จภารกิจแล้ว หยางเถี่ยต้องไปเดินอยู่แถวศาลาว่าการพระนครด้วย และยังโดนจับตัวมาอีก ถ้าเขาหลบหนีไป เรื่องนี้ก็คงไม่ถูกเปิดเผย
แววตาของหยางเถี่ยส่องประกายขึ้นเล็กน้อย เขารีบเบนสายตาหนีไปอีกฝั่ง แล้วพูดขึ้นอย่างไม่เกรงกลัวว่า “ข้าไม่ไว้ใจนางงิ้วคนนั้น ข้าเลยไปดู”
ฉู่สวินหยางจับตัวผู้ร้ายเบื้องหลังเหตุฆาตกรรมที่ศาลาว่าการพระนครมาได้ เดิมทีเรื่องนี้ก็ควรจะจบลง นางควรจะกลับจวนไปนอนพักแล้วแท้ๆ แต่กลางดึกแบบนี้ จู่ๆ ก็ได้รับคำสั่งลับจากฉู่อี้หมินว่า ยังมีเรื่องยาพิษอีกเรื่อง บอกว่าเป็นฝีมือองครักษ์ข้างกายสองคนของซูหลิน ให้นางไปจัดการปิดปากสองคนนั้นเสีย
เพราะก่อนหน้านี้พวกเขาสองคนโดนฉู่สวินหยางซักถามตัวต่อตัวมาแล้ว ฉู่อี้หมินเลยไม่ได้คิดอะไรมาก เลยสั่งการนางให้ไปทำในทันที
ส่วนเรื่องคุมขังนั้น เดิมทีมันก็ซับซ้อนอยู่พอตัวอยู่แล้ว อีกอย่างตอนนั้นกู้ฉางเฟิงก็ตายไปแล้วด้วย ทำให้ศาลาว่าการพระนครเละวุ่นวายไปหมด เมื่อเขาเสนอเงินก้อนโตซื้อตัวคนอื่นให้ลอบวางยามันก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่คิดไม่ถึงเลยว่าฆ่าคนไปได้อย่างง่ายดาย แต่กลับโดนทหารของศาลาว่าการพระนครจับตัวไปเสียได้ สุดท้ายก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อยู่ดี จัดการไม่รอบคอบจนเกิดเรื่องวุ่นวายตามมาเต็มไปหมด ทั้งยังดึงดันมาถึงขั้นนี้ ดูแล้วอย่างไรก็ไม่มีหนทางหนี
“อ้อ? แล้วยาขวดนั้นล่ะ?” จู่ๆ ฮ่องเต้ก็ยิ้มออกมา รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าเห็นชัดเป็นเส้น แต่รอยยิ้มนั้นกลับทำให้ทุกคนรู้สึกเสียวสันหลังขนลุกวาบกันหมด
นิ้วของเขาสะกิดเล็กน้อย ขวดขวดนั้นก็ตกลงมา กลิ้งหมุนอยู่บนพื้น
หยางเถี่ยเหงื่อผุดไหลท่วมตัว
เขาไม่กลัวตาย แต่ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าต้องใช้วิธีไหนถึงทำให้เจ้านายของตนพ้นผิดดี เห็นได้ชัดเลยว่าฮ่องเต้กำลังสงสัย อีกทั้งในสถานการณ์แบบนี้ หากไม่คิดสงสัยเลยนั่นแหละถึงแปลก
—————————–