สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 2 จบเห่! (4)
วินาทีที่ฉู่ฉีฮุยมองเห็นฉู่ฉีเฟิงปรากฏตัวเขาก็ระเบิดอารมณ์โกรธขึ้นมาทันที เส้นเลือดตรงหน้าผากเหมือนจะแตกออกมา กล้ามเนื้อแก้มบิดเบี้ยวสั่นเครือพลางตวาดด้วยน้ำเสียงเกลียดชัง “เยี่ยม! พวกเจ้าสองพี่น้องเยี่ยมไปเลย วางกับดักข้าขนาดนี้เชียวรึ? ข้ายอมรับว่าข้าไร้ความสามารถ ข้าจะรอดูว่าพวกเจ้าสองคนจะจองหองได้นานแค่ไหนเชียว แล้วทั่วป๋าอวิ๋นจีล่ะ? หากนางอยู่วันไหนสักวัน ข้าจะคอยดูว่าพวกเจ้าจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร!”
ขอเพียงทั่วป๋าอวิ๋นจียังอยู่ในเมืองหลวง ช้าเร็วแผนของพวกฉู่สวินหยางคงจะแดงออกมาสักวัน
ฉู่ฉีเหยียนฉงนสนเท่ห์เรื่องนี้ เมื่อได้ฟังนัยน์ตาก็จ้องมองไปยังฉู่สวินหยางอย่างลึกซึ้ง
ไม่คิดว่าหลังจากที่ฉู่สวินหยางได้ยินนางก็เม้มปากเบาๆ แล้วถามกลับไปว่า “ใครว่าทั่วป๋าอวิ๋นจีอยู่ในกำมือข้า?”
ฉู่ฉีฮุยตะลึงงัน
แม้กระทั่งฉู่ฉีเหยียนก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
จากนั้นก็เห็นนางขยิบตาอย่างเจ้าเล่ห์ แล้วเอ่ยต่อว่า “ก็แค่ปัญหาเล็กน้อยเท่านั้นเอง หากแม้แต่นางยังหาวิธีป้องกันตัวไม่ได้…งั้นข้าถือว่าเป็นการยื่นมือเข้าไปช่วยนางสักครั้ง ต่อไปจะพึ่งพาอะไรจากนางได้บ้างล่ะ?”
แล้วอย่างไรเล่า? ทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่เพียงแผนฉ้อฉลหรอกหรือ?
“หึ…” ฉู่ฉีฮุยยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วถอยซวนเซไปหนึ่งก้าว
ฉู่สวินหยางกลับทักทายฉู่ฉีเหยียนด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยพลางพูดว่า “ซื่อจื่อคิดว่าใช่หรือไม่?”
นางตั้งใจหลอกล่อให้ทั่วป๋าอวิ๋นจีมาอยู่ในกำมือ และยังทำลายพันธสัญญาระหว่างฉู่ฉีเหยียนและทั่วป๋าไหวอัน ดังนั้นผู้ที่รู้เรื่องนี้จึงนึกว่าครั้งนี้นางจะต้องยื่นมือช่วยทั่วป๋าอวิ๋นจีให้หนีรอดพ้นจากเงื้อมมืออำมหิตของฮ่องเต้
ฉู่ฉีเหยียนความคิดละเอียดรอบคอบ ฉู่สวินหยาง ฉู่ฉีเฟิง กระทั่งทุกความเคลื่อนไหวของเหยียนหลิงจวินเขาก็…ศึกษามาอย่างละเอียดยิบ เมื่อครู่นี้เขายังนึกว่าครั้งนี้ตนเองคาดการณ์พลาดไปจริงๆ แต่ความจริงแล้วคนที่เป็นไปไม่ได้มากที่สุด…
คือเหยียนหลิงจวินที่เป็นคนคุ้มกันทั่วป๋าอวิ๋นจีหนีไป
แต่คาดไม่ถึงว่า…
เขาคาดการณ์พลาดไปจริงๆ แต่ครั้งนี้กลับผิดอย่างไร้เหตุผล
ฉู่สวินหยางปล่อยทั่วป๋าอวิ๋นจีไปตามยถากรรม แต่นางเล่นละครฉากใหญ่สับขาหลอกเช่นนี้…
ฉู่ฉีเหยียนศึกษาและได้รับความรู้จนแตกฉาน ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“นี่ก็ดึกมากแล้ว ข้าต้องกลับจวนก่อนแล้ว พวกเจ้ายังมีธุระต้องทำอีกไม่ใช่หรือ? วันหลังค่อยพบกันใหม่!” ฉู่ฉีเหยียนกล่าว เขาจงใจกวาดสายตาผ่านฉู่ฉีฮุย แล้วก็พยักหน้าให้ฉู่ฉีเฟิงและฉู่สวินหยางสองพี่น้องเล็กน้อยและควบม้าจากไป
ความจริงคือฉู่ฉีเหยียนถูกผู้หญิงคนนี้หลอกเอาเสียแล้ว ทั่วป๋าอวิ๋นจีอะไรกัน…
เรื่องนี้นางเพียงต้องการจะล้มฉู่ฉีฮุย นางจึงตั้งใจวางแผนอย่างสุดความสามารถ นางคิดว่าแผนนี้จะทำสำเร็จ ผลสุดท้ายนางจะลงมือหรือไม่ลงมือก็มีค่าเท่ากัน!
พูดได้ว่าไม่เสียใจแม้แต่น้อย แต่สิ่งที่ไม่คาดคิด…
พอคิดว่าแผนการของผู้หญิงคนนี้แยบยลเช่นนี้ ในใจของฉู่ฉีเหยียนก็ไม่รู้สึกพ่ายแพ้หรือเสียหายแต่อย่างใด แต่กลับนำมาซึ่งความรู้สึกกระตือรือร้นมากกว่า
ขณะที่มองเขาควบม้าจากไปฉู่ฉีฮุยก็ได้สติ เปลี่ยนจากสีหน้าหงิกงอกลายเป็นโดดเด่นขึ้นมา
ฉู่สวินหยางคร้านจะสนใจเขา จึงเดินไปถึงตรงหน้าม้าของฉู่ฉีเฟิง
ฉู่ฉีเฟิงมองตาก็รู้ใจยื่นมือข้างหนึ่งฉุดนางขึ้นไปบนหลังม้า
นางถีบตัวขึ้นไปแล้วกอดเอวเขาจากข้างหลัง
ฉู่ฉีเฟิงถอดเสื้อคลุมตัวนอกของตนเองออก แล้วหันไปยื่นให้นางพลางพูด “สวมไว้ กลางคืนอากาศหนาว!”
ฉู่สวินหยางไม่ปฏิเสธและสวมอย่างว่าง่าย
ก่อนที่จะบังคับม้าฉู่ฉีเฟิงก็ได้ส่งสายตาแค้นใจมองลงไปยังฉู่ฉีฮุยอีกครั้งพลางพูด “เรื่องในครั้งนี้เจ้าเป็นคนหาเรื่องใส่ตัวเอง หากแม่ของเจ้าไม่มีความคิดชั่วร้ายก่อนล่ะก็ ใครจะหาโอกาสลงมือกับพวกเจ้าได้ ดังนั้นเจ้าก็ไม่ต้องคิดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะทั้งหมดนี้หากเจ้าทำอะไรก็จะได้รับผลกรรมเช่นนั้น!
เมื่อพูดจบก็หันหัวม้ามุ่งหน้าไปทางวังหลวงทันที
ฉู่ฉีฮุยยืนโดดเดี่ยวเดียวดายอยู่นอกประตูเมือง สีหน้าเดือดดาลโหดเหี้ยมอำมหิตแววตาลุกเป็นไฟทะลุนภาออกไป
เหลยเช่อเฟยไม่มีทางทำร้ายเขา แต่ก็รับไม่ได้ที่นางตกลงไปในแผนการของคนอื่นตั้งแต่แรก
ข่าวที่ทั่วป๋าอวิ๋นจีตกอยู่ในกำมือของฉู่สวินหยางเป็นฝีมือของเชินหลาน “ผู้ช่วยหมอ” ที่เหยียนหลิงจวินทิ้งไว้ให้ดูแลเรื่องยาให้ฉู่เยว่เหยียนที่ตำหนักตากอากาศนอกเมืองเช้ามืดวันนี้ ซึ่งนางบอกให้เด็กรับใช้คนหนึ่งรู้ไปโดยไม่ได้ตั้งใจ คำพูดของเด็กไม่ควรถือสา แต่เหลยเช่อเฟยนึกว่านางล่วงรู้เรื่องสำคัญของฉู่สวินหยาง จึงรีบรุดเข้าเมืองเพื่อบอกข่าวนี้ให้ไปฉู่ฉีฮุยรู้ทันที
ซุกซ่อนนักโทษที่กระทำผิดต่อราชสำนัก และฮ่องเต้ยังรับสั่งให้ประหารด้วยพระองค์เอง ฉู่สวินหยางช่างรนหาที่ตายแท้ๆ
ความจริงแล้ววันที่หกนั้นฉู่ฉีฮุยกลับจากงานแต่งของทั่วป๋าไหวอัน ต่อมาเขาเดินเล่นอยู่ที่ตำหนักตากอากาศนอกเมืองเป็นเวลานานเพื่อร่วมกันวางแผนร้ายกับเหลยเช่อเฟย คิดหาวิธีว่าจะต้องทำเช่นใดจึงจะกำจัดฉู่ฉีเฟิงและฉู่สวินหยางได้ ทั้งสองแม่ลูกต้องการจัดการศัตรูให้สิ้นซาก ดังนั้นพอตอนนั้นฮ่องเต้ตรัสถามสาเหตุที่เขาออกไปนอกเมือง เขาถึงได้กินปูนร้อนท้อง
แผนการนี้นึกว่าจะสามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส แต่กลับไม่คิดว่าท้ายที่สุดกลับติดกับดักคนที่วางแผนไว้อย่างแนบเนียน
ครั้งนี้จบแล้ว!
จบเห่!
มันจบหมดแล้ว!
ไม่เห็นแม้แต่เงาของทั่วป๋าอวิ๋นจี ถือว่าเขาสารภาพผิดต่อฮ่องเต้อย่างตั้งใจจริง อย่างน้อยจะได้ไม่รู้สึกว่าตนเองช่างต่ำต้อยไร้ความหมาย
ในขณะที่ไม่มีทั้งพยานและหลักฐาน นั่นก็เป็นความผิดโทษฐานลบหลู่เบื้องสูง มิหนำซ้ำยังเสียชื่อเสียงที่ใส่ร้ายน้องสาวแท้ๆ ของตนเองอีกด้วย
จะว่าไปเรื่องวุ่นวายในค่ำคืนนี้ช่างพิลึกชอบกล สีหน้าของฉู่ฉีฮุยยังคงงุนงง เขาค่อยๆ เดินเข้าไปในเมืองราวภูตผีพเนจร เขาปีนขึ้นหลังม้าด้วยความช่วยเหลือจากองครักษ์และเข้าวังไปอย่างสับสนมึนงง
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเดินเข้ามาในห้องทรงพระอักษรที่เหลืองอร่ามสว่างไสวแล้วรู้สึกหวาดหวั่นใจ จนถึงกับคิดที่จะเลิกล้มความตั้งใจ
“หลานขอคารวะเสด็จปู่พ่ะย่ะค่ะ!” ฉู่ฉีฮุยคุกเข่าลงเผชิญหน้ากับฮ่องเต้ที่อยู่หลังโต๊ะ และไม่กล้าที่จะสบสายตากับฮ่องเต้โดยตรง
ดึกดื่นเที่ยงคืน ฮ่องเต้หน้าตาเหนื่อยล้าและอยากนอน เขาเอนหลังพิงเก้าอี้ตัวใหญ่แล้วค่อยๆ ตรัส “เจ้าว่ามา เรื่องที่เกิดขึ้นคืนนี้เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
“หลานผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” ฉู่ฉีฮุยรีบทูล สารภาพผิดเองเพื่อให้ได้รับความเมตตามากที่สุด เขาก้มตัวต่ำที่สุด และโขกหน้าผากกับอิฐปูพื้นจนเกิดเสียง “เป็นเพราะหลานบุ่มบ่าม เชื่อคำยุยงของบ่าวไพร่ ซ้ำยังเข้าใจน้องสาวผิดไป หลานกระทำความผิด ขอเสด็จปู่ทรงลงอาญาด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
“เชื่อคำยุยงของบ่าวไพร่? กระทั่งต่อหน้าข้ายังกล้าพูดปด แล้วยังอ้างชื่อของพ่อเจ้าโยกย้ายทหารโดยพลการ เจ้าลองดูว่าเจ้าทำเรื่องต่ำช้าอะไรลงไป!” ฮ่องเต้เอ่ยอย่างโมโห จนคว้าฎีกาหลายเล่มที่อยู่ใกล้มือเขวี้ยงลงไปโดนหัวเขา
ฉู่ฉีฮุยอยากจะหลบแต่ก็ไม่กล้า จึงทำได้เพียงกัดฟันทน
ฮ่องเต้ไม่เอ่ยถึงเรื่องที่เขาจะฆ่าฉู่สวินหยาง เพียงแต่เรื่องที่เขาโกหกเรื่องทหารและเชิญฮ่องเต้ออกจากวังนั้นเป็นโทษฐานลบหลู่เบื้องสูง ยิ่งกว่านั้นยังมีเรื่องที่เขาโยกย้ายกำลังทหารโดยพลการอีกเรื่อง…
หากฮ่องเต้ยินยอมก็สามารถลงโทษที่ไม่ตรงกับความจริงอย่างการคิดก่อกบฏหรือวางแผนกระทำมิดีมิร้ายแก่เขาได้
โทษฐานอะไรก็เอาชีวิตเขาไปได้ทั้งนั้น ทุกสิ่งทุกอย่าง…
ก็ขึ้นอยู่อารมณ์ของฮ่องเต้เพียงเท่านั้น…
แต่เห็นได้ชัดว่า…
วันนี้ฮ่องเต้อารมณ์เสียเพราะเรื่องของทั่วป๋าอวิ๋นจีที่สุด
พอเห็นว่าความโกรธสุดขีดของฮ่องเต้นั้นยากที่จะหายไป ในที่สุดฉู่อี้อันที่ยืนก้มหน้าเงียบๆ อยู่ข้างๆ ก็เลิกชายเสื้อคลุมขึ้นและก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เขาคุกเข่าลงต่อหน้าฮ่องเต้ แล้วพูดออกมาอย่างหนักแน่นและเยือกเย็นทุกคำ “เสด็จพ่อ…ฉู่ฉีฮุยกระทำผิดจริงเป็นเพราะกระหม่อมสั่งสอนไม่ดีพอ ขอเสด็จพ่อทรงเห็นแก่กระหม่อม ขอทรงโปรดเมตตาลงโทษสถานเบาด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
ฉู่อี้อันมีลูกชายเพียงสองคนคือฉู่ฉีฮุยและฉู่ฉีเฟิง แม้ฮ่องเต้กำลังโมโห แต่พอนึกถึงเรื่องนี้ก็ลังเลอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทว่าตอนที่กำลังสองจิตสองใจอยู่นั้นก็เห็นเย่าสุ่ยเดินเข้ามาจากข้างนอกอย่างหวาดหวั่น แล้วรายงานว่า “ฝ่าบาท เช่อเฟยแห่งวังบูรพา…สิ้นลมแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ฉู่ฉีฮุยแข้งขาอ่อนยวบ สุดท้ายก็หมดหวัง!
———————————-