สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 2.2 จบเห่! (2)
ท่านพ่อคงไม่เหลือซึ่งความเมตตาตัดหางปล่อยวัดนังเด็กคนนี้แน่แท้!
“ท่านพ่อ เย็นไว้ก่อนขอรับ เรื่องนี้…” ฉู่ฉีฮุยถอนหายใจสายตาของเขาแฝงด้วยความเศร้าโศกเสียใจอย่างสุดซึ้ง
หลังจากเสียงของเขาเลือนหายไป ฉู่อี้อันสีหน้ามืดลงดูหดหู่ฉับพลัน แล้วเอี้ยวตัวลงจากม้า จากนั้นเดินตรงไปยังรถม้าคันนั้นอย่างรวดเร็ว
ฉู่ฉีฮุยรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมากและพยายามควบคุมสีหน้าท่าทางไม่ให้ดีใจจนลืมตัว
ฉู่อี้อันสาวเท้าก้าวเดินไป
คนที่อยู่ในรถคันนั้นน่าจะบาดเจ็บไม่น้อย เลือดแดงสดหยดลงมาจากรถม้าที่สภาพผุพังไหลไปตามคานและช่องโหว่ส่วนล่างของรถม้าไม่หยุด
ขณะที่กลิ่นคาวเลือดกำลังจางหายไป รถม้าคันนั้นดูช่างน่าสะอิดสะเอียนนัก
“ฝ่าบาท ทรงระวังอันตรายด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” องครักษ์คนหนึ่งรีบร้อนจะเข้าไปสกัดกั้น แต่องครักษ์คนนั้นกลับถูกฮ่องเต้ผลักจนซวนเซ
ฉู่อี้อันกระโดดขึ้นรถทันทีโดยไม่ให้ซุ่มเสียง สีหน้าเคร่งเครียดแค้นใจ ทุกคนล้วนคิดว่าเขาบันดาลโทสะโกรธเคืองฉู่สวินหยาง จึงไม่กล้าว่ากล่าวตักเตือน
จากนั้นก็เห็นเขากระโดดขึ้นไปบนรถม้าเงียบๆ เขายอบตัวครึ่งหนึ่งลงพลางเหยียบที่นั่งคนขับ แล้วคว้าม่านบังของรถม้าเปิดออกมา
ความกว้างของรถคันนั้นไม่ใหญ่มากนัก การประดับตกแต่งภายในไม่เหมือนรถม้าของผู้ดีมีตระกูล ไม่ได้จัดวางเก้าอี้และไม่ได้จุดตะเกียง ข้างในมืดสนิท ขณะนั้นผ้าม่านถูกเปิดออกไป แสงจันทร์สาดลงมาเห็นสภาพโล่งโจ้งด้านใน
ในนั้นมีห่อผ้าวางทับซ้อนอยู่ตรงซอกมุม ข้างๆ ก็มีสตรีคนหนึ่งที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงกำลังขดตัวอยู่ ที่แท้นางนั่งอยู่โดยที่ลำตัวท่อนล่างยังปกติอยู่ ท่อนบนไล่ตั้งแต่หน้าอกจนถึงท้องน้อยเต็มไปด้วยบาดแผลจากธนู
เลือดสดจากแผลไหลลงชุ่มกระโปรงแดงที่นางสวมใส่ นางนั่งโงนเงนจมกองเลือดไปทั้งตัวด้วยท่าทางแปลกประหลาด
ขณะนั้นนางบาดเจ็บยังไม่ถึงตาย ตาเหลือกตาพอง หายใจแผ่ว เลือดไหลออกจากปากไม่หยุด สภาพน่ากลัวสยดสยอง
“อ๊ะ…” พอเห็นหน้านางชัด ก็มีเสียงสูดลมหายใจเข้าแว่วมาจากด้านนอก โดยเฉพาะบรรดามือธนูที่ก่อนหน้าดูท่าทีกล้าหาญแข้งขากลับอ่อนปวกเปียก สีหน้าไร้ความรู้สึกใจเต้นตึกตัก ล้มคุกเข่าสะบักสะบอมอยู่บนพื้น เนื้อตัวสั่นเครือ
ฉู่ฉีฮุยพยายามควบคุมเก็บซ่อนสีหน้าอาการไว้แทบไม่ทัน ทันใดนั้นก็เสียขวัญล่าถอยกระเจิดกระเจิง
“นี่…นี่…นี่มัน…” เขาปากซีด ตาเหลือก ลูกตาราวกับจะถลนออกมา ม่านตาเต็มไปด้วยเส้นเลือด นิ้วสั่นพลางชี้ไปยังสตรีที่หายใจพะงาบๆ อยู่ในรถม้า เขาพูดไม่ออกมัวแต่อ้ำๆ อึ้งๆ
ฉู่ฉีอันสีหน้าห่อเหี่ยว แต่สามารถระงับอารมณ์ไว้ได้ และต่อว่าเสียงเย็นชาแทบจะทันที “ยังไม่รีบเข้ามาช่วยเคลื่อนย้ายคนออกไปอีก?”
“อ้อ ขอรับ!” เหล่าองครักษ์ตอบราวเพิ่งตื่นจากฝัน รีบวิ่งเข้าไปพยายามไม่สัมผัสถูกบริเวณรอยบาดแผลของนาง พวกเขารวมกำลังแบกร่างสตรีคนนั้นออกมาจากรถม้า
ฉู่อี้อันกระโดดลงมาจากรถม้า ชายเสื้อคลุมสัมผัสโดนกองเลือดบนรถม้าจนเป็นสีแดงเลือดแสบตา
ฉู่ฉีฮุยตกละลึง และจ้องมองชายเสื้อคลุมที่ชโลมไปด้วยเลือดหยดติ๋งๆ ด้วยแววตาสับสนวุ่นวาย พอเห็นเลือดที่หยดลงมาบนแส้ของเขาก็ขนลุกสั่นเทา
สตรีคนนั้นถูกย้ายลงมาจากรถม้า ตาเบิกกว้างแข็งทื่อ ถึงแม้ว่านางจะหายใจรวยริน แต่กลับพูดไม่ได้แม้แต่คำเดียว เพียงแต่กล้ามเนื้อมือเท้ายังคงชักกระตุกไม่หยุด
หลังจากหลี่รุ่ยเสียงตรวจสอบแน่ชัดแล้วก็กลับไปที่ราชรถแล้วกล่าวรายงานว่า “ฝ่าบาท ผู้นั้นเป็น…เช่อเฟยแห่งวังบูรพา คนแซ่เหลยพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้เหมือนกับอึ้งไป แล้วถึงทำเสียง ‘หืม’ ออกมาอย่างงุนงง
ต่อหน้าฉู่อี้อัน แม้ว่าจะไม่รู้ว่าเหลยเช่อเฟยเป็นตายร้ายดีอย่างไร เขาก็ยังแสดงท่าทีเสแสร้ง หลี่รุ่ยเสียงเดินเข้ามาปลอบใจพลางเอ่ย “องค์ชาย อย่าเพิ่งเศร้าไปขอรับ ตอนนี้รีบนำเช่อเฟยกลับไปให้ใต้เท้าเซวียนรักษาก่อนเถอะขอรับ!”
“อืม!” ฉู่อี้อันยังคงเยือกเย็นมาก และโบกมือส่งสัญญาณให้องครักษ์หามเช่อเฟยไป
ส่วนฉู่ฉีฮุยประหนึ่งกำลังตกอยู่ในฝันร้าย สีหน้าสับสนงงงวยตกอยู่ในภวังค์เป็นเวลานาน
ใบหน้าฉู่อี้อันมองดูเต็มไปด้วยเมฆหมอกมืดสลัว
เวลานั้นฉู่สวินหยางเดินมาเงียบๆ จนมาถึงข้างตัวเขาแล้วคุกเข่าลงพูดเสียงต่ำ “เป็นเพราะลูกไร้ความสามารถ กระทำความผิดที่ร้ายแรงในใต้หล้า ขอท่านพ่อได้โปรดลงโทษด้วยเจ้าค่ะ!”
ฉู่อี้อันมองดูนางอย่างสับสนงงงวย
นิ้วที่อยู่ข้างในแขนเสื้อขยับเล็กน้อย ราวกับว่าจะประคองนางขึ้นมา แต่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงลังเลครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายก็ไม่สามารถที่จะตัดสินใจไม่ได้
ฉู่สวินหยางหลุบสายตามองเหลยเช่อเฟยที่นอนเลือดท่วมตัวอยู่บนพื้น…
นี่เป็นครั้งแรกที่นางลงมือกับคนในวังบูรพาต่อหน้าฉู่อี้อัน แม้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมีที่ไปที่มา แต่ว่า…
จุดเริ่มต้นนี้…
นางเข้าใจดีว่า สำหรับฉู่อี้อันแล้วไม่มีทางเป็นเรื่องที่มีความสุขอย่างแน่นอน
และตอนที่ระหว่างสองพ่อลูกกำลังจนปัญญา ฉู่ฉีฮุยที่ยืนอยู่ข้างๆ พอได้ยินเสียงฉู่สวินหยางกลับได้สติกลับมาทันที
“นางอสรพิษ!” ฉูฉีฮุยตะคอกเสียงดังอย่างบ้าคลั่งแล้วคว้าเอาทวนอันแหลมคมที่อยู่ในมือฉางเซินมา ทีท่าโกรธแค้นพลางด่าทอว่า “เจ้าฆ่าท่านแม่ของข้า ข้าจะฆ่าเจ้าแก้แค้นให้ท่านแม่!”
เนื่องด้วยเกี่ยวโยงถึงชื่อเสียงขององค์รัชทายาท อีกทั้งยังเกิดเรื่องขึ้นต่อหน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้และองค์รัชทายาทอีก ทุกคนจึงวุ่นวายสับสนจนทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรหรือไม่ควรห้ามปราม
ชิงหลัวกลับไม่รู้สึกเป็นทุกข์เป็นร้อน นางเดินเข้าไปกุมข้อมือของฉู่สวินหยางเอาไว้โดยไม่พูดให้มากความ
ลึกๆ แล้วฉู่ฉีฮุยก็เป็นเพียงบัณฑิตผู้อ่อนแอ แม้ว่าฉู่สวินหยางจะเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง แต่นางก็เก่งพอที่ตวัดรัดคอเขาได้อยู่หมัด
“นางเลวสถุล! เจ้ากล้าขวางข้างั้นเหรอ?” ลองขัดขืนมาหลายคราวแต่ก็ไม่มีประโยชน์ ฉู่ฉีฮุยโกรธจนควันออกหู โมโหจนเลือดขึ้นหน้า นัยน์ตาปรากฏเส้นเลือดแดง ราวกับจะกลืนชิงหลัวลงไปทั้งตัว
ฉู่สวินหยางคุกเข่าต่อหน้าฉู่อี้อัน นางไม่เอ่ยปากแก้ตัวแม้แต่คำเดียว
สาวใช้ของนางกลับไม่สนใจเรื่องพวกนี้ และคิดแต่จะปกป้องเจ้านายเท่านั้น
ชิงหลัวจับมือฉู่สวินหยาง สีหน้าเยือกเย็นไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย พลางมองเขาแล้วพูดว่า “หวงจ่างซุน ก่อนหน้าที่ฮ่องเต้จะเสด็จมาที่นี่ ท่านกำลังเขม็งตามองแล้วพูดจาปรักปรำให้ร้ายท่านหญิง ท่านเอาฮ่องเต้เละองค์รัชทายาทไปไว้ที่ไหน? แล้วท่านหญิงของข้าฆ่าเช่อเฟยที่ไหนกัน เมื่อครู่ทุกคนต่างรู้เห็นเป็นพยานได้ ท่านลองถามใจตัวเองดูว่าจริงๆ แล้วใครเป็นคนทำร้ายเช่อเฟยกันแน่?”
ฉู่ฉีฮุยเสียสติสัมปชัญญะไปโดยสิ้นเชิง…
ประการแรกเขาวางแผนอย่างละเอียดรอบคอบเพื่อล้มฉู่สวินหยางแต่กลับคว้าน้ำเหลว ประการที่สองเรื่องราวกลับตาลปัตรกลายเป็นเหลยเช่อเฟยที่ต้องมารับเคราะห์ เรื่องที่ประเดประดังเข้ามานี้ทำให้เขาเสียสติไปแล้ว
เขาจ้องชิงหลัวไม่วางตาอย่างคลุ้มคลั่ง
ชิงเถิงที่อยู่ข้างๆ กุมแผลที่ข้อมือเดินไปข้างหน้า แสดงสีหน้าราวไม่ได้รับความเป็นธรรมคุกเข่าลงต่อหน้าฉู่อี้อันพลางกล่าว “องค์รัชทายาทผู้ปราดเปรื่อง ท่านหญิงเพียงแค่จะออกจากเมืองเพื่อไปส่งเช่อเฟยที่ตำหนักตากอากาศนอกเมืองเท่านั้น แต่ท่านชายจ่างซุนกลับนำกองกำลังทหารมาขัดขวางการเดินทางโดยไม่มีเหตุผล ซ้ำยังพูดจาใส่ร้ายป้ายสี เห็นได้ชัดว่าจงใจจะกำจัดท่านหญิงของพวกเรา! ข้าน้อยมิทราบว่าเขามีจุดประสงค์อันใด ท่านหญิงเพียงแค่โมโหจึงเกิดการถกเถียงกันเล็กน้อย เขาก็สั่งยิงทันทีจึงทำให้เช่อเฟยเกิดบาดเจ็บ แล้วจะโยนความผิดมาให้ท่านหญิงได้อย่างไร?”
เมื่อครู่ผู้ที่สั่งให้มือธนูยิงก็คือฉู่ฉีฮุย ในที่เกิดเหตุมีคนนับพันสามารถเป็นพยานได้
ดังนั้นแล้ว…
เป็นเขาที่ออกคำสั่งให้ฆ่ามารดาของตน?
ราชสำนักซีเยว่ถือหลักความกตัญญูปกครองใต้หล้าด้วยความชอบธรรม เขาเป็นถึงหวงจ่างซุน เวลานี้จึงตกอยู่ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่จับจ้อง และมือของเขาก็เปื้อนเลือดของมารดาตนเอง?
ฉู่ฉีฮุยฟังดูแล้วช่างน่าตลกขบขันเสียจริง แต่ตอนนี้เขาจะยิ้มออกมาได้อย่างไร
“ไม่ใช่…” ฉู่ฉีฮุยได้สติกลับมา เขาลนลานแก้ตัวแล้วมองไปที่ฉู่อี้อันก่อน แต่กลับถูกสีหน้าของฉู่อี้อันหม่นหมองและฉายแววเย็นชา ในใจสั่นระรั่วจึงรีบหันไปยังทางราชรถของฮ่องเต้พลางคุกเข่าลง เอาศีรษะแตะพื้น และบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดด้วยเสียงดังฟังชัด “เสด็จปู่ขอทรงให้ความเป็นธรรม เรื่องไม่ได้เป็นเช่นนั้น เป็นแผนลวงที่นังเด็กคนนี้จงใจจะฆ่ากระหม่อม กระหม่อมไม่รู้ กระ…กระ…กระ…”
ขณะที่เขากำลังพูดก็ยิ่งลุกลี้ลุกลน จนแทบจะพูดจาไม่ปะติดปะต่อกัน
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” ฮ่องเต้ทรงลูบไรผม และค่อยๆ ถาม
ฮ่องเต้สีหน้าสงบนิ่งไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก แต่สีหน้ากับน้ำเสียงกลับไม่ตื่นตระหนก ยิ่งแสดงให้เห็นความโกรธถึงขีดสุดในใจเขาเวลานี้
นี่เป็นความเงียบและเยือกเย็นที่ประหลาดที่สุดก่อนที่สงครามจะปะทุขึ้น
การที่ฮ่องเต้ไม่ได้วิตกกังวลแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้และคนเหล่านี้…
นี่บ่งบอกว่าฮ่องเต้ทรงเลิกล้มความตั้งใจที่จะรับฟังเรื่องที่เกิดขึ้น!
“กระหม่อม…” ในใจฉู่ฉีฮุยเต้นระทึกราวกลองรัว ตื่นตกใจจนไม่สามารถควบคุมได้ “กระหม่อมนึกว่าคนที่อยู่ในรถม้าคือ…คือ…”
คือใคร? คือทั่วป๋าอวิ้นจี?
แต่ความจริงแล้ว? มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น!
ฉู่ฉีฮุยไม่มีหลักฐาน ตอนนี้เรื่องยิ่งน้อยยิ่งดี ไม่เช่นนั้นหากว่าฮ่องเต้สงสัยวังบูรพาขึ้นมาล่ะก็ เกรงว่าฉู่อี้อันจะไม่มีกำลังใจจะแก้ต่างขอร้องให้ฮ่องเต้ละเว้นโทษ
ดังนั้นแผนการทั้งหมดที่ฉู่ฉีฮุยวางไว้ด้วยใจจริงก็ต้องพักไปด้วย เขาร้องไห้ฟูมฟายคลานไปอยู่แทบเท้าฉู่อี้อัน และกอดขาข้างหนึ่งของเขาเอาไว้ และร้องไห้อย่างหวาดกลัวว่า “ท่านพ่อ ข้าก็ไม่รู้ว่าเหตุใดเรื่องจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ เป็นเพราะสวินหยาง เป็นเพราะนาง…”
—————————————-