สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 2.3 จบเห่! (3)
ขณะที่เขาพูดก็หันไปมองฉู่สวินหยางทันที พูดด้วยน้ำเสียงดุร้ายว่า “เหตุใดเจ้าจึงไม่รีบบอกตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าคนที่อยู่บนรถคือท่านแม่ของข้า? แล้วยังหลอกให้ข้าลงมือครั้งแล้วครั้งเล่า! ฉู่สวินหยาง เจ้าทำร้ายข้าเช่นนี้ จะมีประโยชน์อันใดกับเจ้าหรือ?”
“ข้าเคยพูดไปตั้งแต่แรกแล้วว่านี่เป็นเรื่องภายในวังบูรพาของเรา” ฉู่สวินหยางพูดพลางตอกหน้าเขาโดยการตำหนิติเตียนอย่างไม่น่าเชื่อว่า “เพลาบ่ายวันนี้เช่อเฟยเพิกเฉยคำสั่งของท่านพ่อแอบกลับเมือง ไม่ใช่ว่าแอบไปพบท่านพี่รึ? หรือท่านไม่รู้? ข้าผิดที่ปิดบังท่านพ่อ แต่ก็กลัวว่าจะทำให้ท่านพ่อไม่พอใจเพราะเรื่องนี้ และ…พี่ใหญ่พากองกำลังทหารเป็นจำนวนมากมาที่นี่โดยพลการ ไม่ใช่เพราะต้องการจะกีดกันไม่ให้เช่อเฟยออกจากเมืองหรือ? ข้ายังนึกแปลกใจไม่หาย ท่านโกรธเคืองกันข้าก็ไม่ว่า หากต้องการฆ่าคนใกล้ตัวข้าเพื่อระบายความแค้นก็พอให้อภัยได้ เหตุใดจึงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ต่อความเป็นความตายของเช่อเฟย ลงมือต่อหน้าทุกคนอย่างเลือดเย็น!”
องครักษ์ที่ฉู่สวินหยางพามาด้วยไม่กี่นาย รวมทั้งชิงหลัวที่ได้รับบาดบาดเจ็บหนักเบาไม่แพ้กัน คนที่อาการหนักที่สุดถูกยิงเข้าที่เอวกับท้อง เอนกายอยู่ในอ้อมแขนของเพื่อน ขนาดยืนยังยืนไม่ไหว
ทั่วรอบๆ บริเวณรถม้าเต็มไปด้วยกองเลือด
เรื่องทั้งหมดต้องพุ่งประเด็นไปที่ฉู่ฉีฮุยโดยการลงโทษให้สาแก่ใจ
“เจ้า…” ฉู่ฉีฮุยอ้าปาก ไม่สามารถพิสูจน์ตนเองได้อีกแล้ว ทำได้เพียงกัดฟันพูด “เจ้าระวังคำพูดของเจ้าด้วย ทั้งหมดนี้ต้องเป็นแผนการที่เจ้าใส่ร้ายข้า! เจ้าค่อยๆ บีบให้ข้ารับโทษที่ฆ่าแม่ตัวเอง สวินหยาง ไม่คิดว่าเจ้าจะหน้าเนื้อใจเสือเยี่ยงนี้”
“พี่ใหญ่!” ฉู่สวินหยางสีหน้าอึมครึมโกรธขึ้งพลางพูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “ได้โปรดพูดจาให้เกียรติข้าด้วย เดิมทีข้าได้พูดกับท่านชัดเจนแล้ว ข้าออกจากวังก็เพื่อไปเป็นธุระให้วังบูรพา ก่อนหน้านี้ข้าใช้กำลังเพื่อให้ท่านหลีกทางให้ ข้ายอมรับว่าข้าทำเกินกว่าเหตุ แต่อย่างไรเราก็เป็นพี่น้องกัน ข้าไม่ควรใช้ดาบชี้หน้าท่าน แต่ท่านกลับสติแตกโกรธข้าหัวฟัดหัวเหวี่ยง สั่งให้มือธนูลอบทำร้ายข้าหมายจะเอาชีวิตข้างั้นรึ? หากเทียบดูระหว่างข้ากับท่าน ข้าชั่วร้ายหรือเป็นท่านที่โหดเหี้ยมอำมหิตกันแน่? ท่านลองเล่าให้เสด็จปู่กับท่านพ่อฟังเอาเองก็แล้วกัน!”
“นี่เจ้ายังเล่นลิ้นกับข้าอีกรึ? เจ้า…” ฉู่ฉีฮุยอึดอัดใจ และจะประคารมกับนางด้วยสีหน้าดุร้าย
ฉู่สวินหยางไม่ให้เขามีโอกาสได้อ้าปากพูด นางยกมือชี้หน้าองครักษ์ไม่กี่คนที่ยืนรออยู่ข้างๆ และพูดขึ้น
“ท่านจะลงไม้ลงมือไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยเตือน ตอนนี้ทุกคนพยายามที่จะช่วยให้เช่อเฟยรอดปลอดภัย น้ำน้อยแพ้น้ำมากท่านมีกำลังมากว่าก็ยากที่จะต้านทานได้ วันนี้ท่านจะปัดสวะมาให้ข้า ข้าคงไม่ติดใจเอาความ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่กลัวเพราะข้าไม่ได้ทำผิด ข้าหวังว่าพี่ใหญ่กลับไปคงไม่เป็นกังวลเสียจนกินไม่ได้นอนไม่หลับเชียวล่ะ!”
แรกเริ่มเดิมทีเรื่องราวยุ่งเหยิง ระหว่างที่กำลังปะทะคารม ฉู่ฉีฮุยก็พูดไม่หยุดปากว่าบนรถม้าซุกซ่อนนักโทษสถานหนักและต้องการจะนำตัวมาให้ได้ ต่างจากฉู่สวินหยางที่พูดแค่ประโยคเดียว…
ตอนนี้เกิดเรื่องเช่นนี้ เหล่าทหารที่อยู่ในที่เกิดเหตุต่างจับต้นชนปลายไม่ถูก
สองพี่น้องโต้เถียงไม่หยุดหย่อน ฮ่องเต้ก็ยังทรงไร้ความรู้สึกและไม่ตรัสแม้แต่คำเดียว
หลี่รุ่ยเสียงเหลียวมองเมฆหมอกบนท้องฟ้าที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวช้าๆ พลางกล่าวเตือนว่า “ฝ่าบาทท้องฟ้ามืดสลัว อีกประเดี๋ยวหิมะคงใกล้จะตกแล้ว ส่วนเรื่องนี้…กลับไปถึงวังแล้วค่อยไต่สวนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้ทรงครุ่นคิดแต่ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าพลางตรัส “อืม! กลับวังเดี๋ยวนี้!”
“เตรียมเสด็จกลับวัง!” หลี่รุ่ยเสียงขานเสียงสูง
ทุกคนกุลีกุจอสีหน้าเคร่งขรึมคุกเข่าลงน้อมส่งฮ่องเต้
“ฝ่า…” ฉู่ฉีฮุยกระวนกระวายยังอยากจะพูดต่อแต่ก็ไม่ทันการณ์ ทำได้เพียงคุกเข่าน้อมส่งฮ่องเต้เสด็จกลับด้วยความไม่เต็มใจ
ฉู่อี้อันไม่ได้กลับไปพร้อมกัน เพียงเฝ้ารอให้ฮ่องเต้เสด็จเข้าไปในเมือง จากนั้นเขาก็กวาดสายตามองรอบๆ สีหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก
ฮ่องเต้อายุมากแล้ว กำลังวังชาก็คงไม่เหมือนเมื่อก่อน แต่องค์รัชทายาทกลับตรงกันข้าม เมื่อครัดเคร่งขึ้นมาทันใดก็สามารถทำให้ทุกคนหวาดหวั่นพรั่นพรึง
ใครที่สบสายตาของเขาเข้าไปหัวใจจะเต้นสั่นระรัว จนต้องถอยหลังกลับเข้าไปในเมือง
ลู่หยวนและชิงหลัวพร้อมทั้งคนอื่นๆ ต่างถอยไปด้วยอย่างรู้สถานการณ์
ฉู่ฉีฮุยมองดูกลุ่มคนล่าถอยอย่างรวดเร็วก็ยิ่งร้อนใจ ฝืนมองไปยังฉู่อี้อัน ขณะที่เอ่ยปากกลับขาดความมั่นใจอย่างเห็นได้ชัดว่า “ท่านพ่อ…”
ฉู่ฉีฮุยต้องการจะพูดแก้ตัวแต่ตอนที่เผชิญหน้ากับฉู่อี้อันกลับรู้สึกว่าเหมือนถูกล่วงรู้ความคิดทั้งหมดจนไม่เหลือทางหนีทีไล่แล้ว กระทั่งรู้สึกว่ายากลำบากกว่าตอนที่เผชิญกับฮ่องเต้ด้วยซ้ำ
สายตาฉู่อี้อันมองผ่านลูกทั้งสองคนไปตามลำดับ แววตาเยือกเย็นและสงบนิ่ง ขณะที่จ้องมองบุตรทั้งสองก็ไม่มีความแตกต่างกันเลย
ท้ายที่สุดเขาก็เอ่ยปากถามว่า “แม่ของเจ้ากลับเมืองมาทำไม?”
คำเดียวตรงประเด็น!
หัวใจของฉู่ฉีฮุยที่เต้นแรงพลันหยุดนิ่ง จิตใจสับสนวุ่นวาย ก้มหน้าลงก่อนตอบเสียงต่ำ “ไม่…ไม่มีอะไร…ท่านแม่…เพียงแต่…เพียงแต่บอกว่าคิดถึงลูกเท่านั้น!”
ตอนบ่ายเหลยเช่อเฟยลอบกลับเมืองหลวง หนำซ้ำยังแอบไปพบฉู่ฉีฮุย ฉู่ฉีฮุยคิดว่าเรื่องนี้เป็นความลับของพวกเขาสองแม่ลูก หลังจากส่งเหลยเช่อเฟยไปหลบยังบ้านมารดาของนางชั่วคราวเพื่อปิดหูปิดตาแล้ว นึกไม่ถึงว่า…นางจะตกอยู่ในกำมือของฉู่สวินหยาง
ฉู่อี้อันยืนขึ้นแต่ไม่ได้มองเขา สายตามองผ่านเลยไปยังขอบฟ้าไกลโพ้น
ขณะเดียวกันแสงจันทร์กลางท้องนภาก็ถูกเมฆมืดมัวบดบัง สีหน้าของเขาก็ไม่ชัดเจน
ฉู่ฉีฮุนหัวใจเต้นตึกตัก เกรงว่าฉู่อี้อันจะถามต่อไปแล้วเขาไม่สามารถตอบได้
แสงราตรีที่เหน็บหนาวเปล่าเปลี่ยวใจส่องผ่านความว่างเปล่าที่หมองมัว ผนวกเข้ากับกลิ่นคาวเลือดที่เหมือนจะคลุ้งกระจายแต่ก็ไม่เหมือน…
ค่ำคืนนี้สำหรับทุกคนแล้วราวกับว่าไม่ใช่ค่ำคืนที่น่าเพลิดเพลินใจ
ในขณะที่ฉู่อี้อันกลับถอนหายใจอย่างไม่สามารถอธิบายได้ทันใด เขาหันหลังเดินไปยังประตูเมืองก่อน แล้วพูดทิ้งท้ายไว้เพียงไม่กี่คำอย่างห่างเหินและเฉยชาว่า “พวกเจ้ากลับวังไปเถอะ!”
ฉู่สวินหยางไม่ใช่คนที่ชอบหาเรื่องใส่ตัว ช่วงเวลานี้แม้ว่านางและเหลยเช่อเฟยรวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างมารดาของฉู่ฉีฮุยมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันไม่น้อย แต่ยังคงเหลือเยื่อใยอยู่บ้าง
การนองเลือดครั้งนี้เปลี่ยนไปโดยปริยาย เดิมทีเขาขวัญผวา เชื่อว่านางคงมีเหตุผลสำคัญ ตอนนี้ท่าทีของฉู่ฉีฮุยแสดงให้เห็นชัดเจน ไม่จำเป็นจะต้องพูดให้มากความ
ฉู่สวินหยางได้ยินเสียงถอนหายใจของบิดาตนเองที่แผ่วมาตามสายลม ในใจกลับเจ็บปวดรวดร้าวทันใด
ส่วนฉู่ฉีฮุยในใจเย็นเฉียบ สั่นสะท้านรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันที
แผ่นหลังของฉู่ฉีฮุยยืดตรง ขาสองข้างก้าวเดินอย่างมั่นคงตรงดิ่งไปข้างหน้าทีละก้าว
ฉู่ฉีฮุยลุกขึ้นมาจากพื้นหันขวับไปมองฉู่สวินหยางด้วยสายตาอาฆาตแค้น “ฉู่สวินหยาง เจ้ามันคนใจไม้ไส้ระกำวางแผนคิดร้ายต่อข้า เจ้าไม่กลัวว่าสักวันสวรรค์ต้องลงโทษเจ้ากรรมจะต้องตามสนองหรืออย่างไร?
“ข้าคิดร้ายกับท่านตั้งแต่เมื่อใดกัน?” ฉู่สวินหยางยิ้มมุมปาก โน้มตัวช้าๆ สะบัดกระโปรงแกว่งไปโดนดินโคลนต้นหญ้า “ข้าเป็นคนลักพาตัวคนแซ่เหลยกลับมาเมืองหลวง แล้ววางแผนจะทำร้ายตัวข้าเองกับท่านงั้นหรือ? ข้าเป็นคนสั่งให้ท่านไปขอกำลังทหารจากกองกำลังรักษาพระนครมาลอบสังหารข้างั้นรึ? ซ้ำยังทำร้ายตัวเองและตั้งใจไปเชิญฝ่าบาทมาโดยเฉพาะ เพื่อแย่งความดีความชอบของคนอื่นมาเป็นของตนเองรึ? ใครเป็นคนคิดร้ายกับใครกันแน่? ต่อให้ข้าวางแผนนี้จริงแล้วจะทำไม? มันวัดกันที่ความสามารถ! หากพวกท่านสองแม่ลูกซื่อสัตย์ หากไม่ใช่ว่าพวกท่านต้องการจะสังหารข้าให้ตาย นั่นหมายความว่าหากข้าต้องการจะคิดบัญชีกับท่าน ข้าจะหาโอกาสเหมาะเจาะเช่นนี้ได้ที่ไหนอีกล่ะ?”
ฉู่ฉีฮุยกัดฟันอดทนกลั้นใจ สายตาจ้องมองราวจะพ่นพิษ มองนางไม่ละสายตา หายใจไม่ทั่วท้องแต่ก็ยังไม่อยากยอมรับความพ่ายแพ้นี้ เขาอดทนอดกลั้นอีกครั้งพยายามอดกลั้นความรู้สึกที่ไม่พอใจนี้ลงไป แล้วสะบัดแขนเสื้อพลางพูด “ได้! งั้นก็แล้วแต่เจ้าก็แล้วกัน ถือเสียว่าข้าพ่ายแพ้ก็ต้องแพ้อย่างไร้ข้อกังขา งั้นข้าถามเจ้าหน่อยทั่วป๋าอวิ๋นจีอยู่ที่ไหน? เจ้าสมรู้ร่วมคิดกับนางใช่หรือไม่? ท่านแม่ของข้าไม่มีทางโกหกข้าแน่ เจ้าเอานางไปซ่อนไว้ที่ไหนกันแน่?”
เหลยเช่อเฟยถึงแม้เป็นคนคิดการใหญ่ เป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูง ทว่าเรื่องสำคัญเช่นนี้นางคงไม่พูดส่งเดชแน่ เรื่องนี้เกี่ยวโยงกับนางและอนาคตของลูกชายนาง เพียงแค่นางพูดออกมาก็แสดงว่าเป็นเรื่องที่มีมูลความจริง
หากไม่ใช่เพราะความเชื่อใจเหลยเช่อเฟยที่จะไม่ทำร้ายเขา ฉู่ฉีฮุยคงจะไม่ทุ่มสุดตัว แล้วตัดสินใจส่งคนไปส่งข่าวให้ฮ่องเต้มา เพียงแค่ต้องการจับฉู่สวินหยางให้ได้คาหนังคาเขา สุดท้ายทำให้เรื่องวุ่นวายจนไม่สามารถปิดฉากได้
คำถามนี้เขาถามด้วยความขุ่นเคือง
ฉู่สวินหยางกำลังจะเอ่ยปาก ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าวิ่งมาจากในเมืองอีกครั้ง
นางหรี่ตามองไป ก็เห็นฉู่ฉีเฟิงและฉู่ฉีเหยียนควบม้ามาจากประตูเมืองทางทิศใต้อย่างรีบเร่ง
เนื่องจากล่วงรู้แผนการของฉู่สวินหยาง พอเห็นสถานการณ์ยุ่งเหยิงเช่นนี้ สายตาฉู่ฉีเฟิงก็เยือกเย็นสงบนิ่ง เพียงแต่มองฉู่สวินหยางด้วยความห่วงใยพลางถามว่า “เจ้าไม่เป็นไรใช่มั้ย?”
“ยังไหว!” ฉู่สวินหยางยิ้มให้เขา
ฉู่ฉีเหยียนที่อยู่ด้านข้างสีหน้าไม่ค่อยดีนัก เขาเม้มปากแน่นนั่งอยู่บนหลังม้าอย่างสูงเด่นเป็นสง่ามองดูหญิงสาวสะพรั่งที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
——————————————–