สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 20.1 มองหน้ากันจนเบื่อ กับความจริงที่ถูกเปิดเผย (1)
- Home
- สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2
- บทที่ 20.1 มองหน้ากันจนเบื่อ กับความจริงที่ถูกเปิดเผย (1)
“ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ ครั้งนี้ข้าต้องขอขอบคุณเจ้ามากจริงๆ!” ฉู่ฉีเฟิงเอามือไพล่หลัง ยืนมองท้องฟ้าด้านนอกบานหน้าต่าง
เขาขมวดคิ้วแน่นเป็นปมราวกับมีเรื่องหนักใจ แผ่กระจายความรู้สึกอันหนักอึ้งออกมา แต่ตอนที่เขาเอ่ยปากพูดตอนนั้น กลับไม่เผยให้เห็นความรู้สึกนั้นเลยแม้แต่น้อย
ส่วนด้านล่างที่ไร้ซึ่งหลังคาปกคลุมตรงนั้น ฉู่สวินหยางยังคงเอนตัวพิงรั้วยืน หันหลังมองมาเป็นพักๆ อยู่เรื่อยๆ
เพราะอยู่ไกลกันเกินไป เขาเลยมองเห็นสีหน้านางได้ไม่ชัดมากนัก แต่เขารู้สึกเหมือนว่านางกำลังกังวลเรื่องอะไรบางอย่างอยู่
เหยียนหลิงจวินกำลังชงชาอยู่ที่โต๊ะด้านในห้องหลังบานหน้าต่างนั้น
ควันลอยขึ้นจากถ้วยชา จากนั้นก็มีน้ำเสียงที่พูดขึ้นอย่างไม่สนใจลอยแว่วเข้าหูฉู่ฉีเฟิงมา “ท่านก็รู้ว่าข้าไม่ได้ทำไปเพื่อท่าน อีกอย่าง…คำขอบคุณของท่านดูฝืนขนาดนี้ ไม่ต้องพูดถึงก็ไม่เป็นไรหรอก!”
ความรู้สึกที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวอีกฝ่ายนั้นชัดเจนมาก ฉู่ฉีเฟิงจะทำอะไรกับเขากันแน่…
เขารู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายมุ่งร้ายอย่างเห็นได้ชัด ไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดใด และไม่จำเป็นต้องเผยสีหน้าใดออกมา หรือแม้จะคุยด้วยกันตัวต่อตัวอย่างเปิดเผยเยี่ยงนี้ก็ตาม บรรยากาศนั้นกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ต้องการขจัดอีกฝ่ายทิ้งไป
แต่ว่า…
อย่างไรก็แล้วแต่ เขารู้สึกไม่ชอบขี้หน้าของคนคนนี้เลย
โดยเฉพาะ…
เมื่อรู้ความสัมพันธ์ที่เติบโตมาด้วยกันอย่างสนิทสนมระหว่างเขาและฉู่สวินหยาง
ถึงเขาจะรู้จะว่าอีกฝ่ายเป็นพี่ชายแท้ๆ เป็นพี่น้องร่วมสายเลือดเดียวกัน แต่เขาก็ไม่ชอบใจอยู่ดี ความรู้สึกเหมือนอย่างที่สวินหยางปฏิเสธไม่สานความสัมพันธ์กับเขาต่อไปอีกขั้นตอนนั้น ความรู้สึกนั้นมันปะทุออกมาอีกครั้งจนลุกลามถึงขีดสุด
ก่อนหน้านี้เขานึกว่าตัวเองจะเป็นคนใจกว้างยอมนางได้ทุกอย่าง แต่ในใจของสวินหยางตอนนี้มีแต่ท่านพ่อกับท่านพี่เป็นอันดับหนึ่งเสมอ นั่นคือเรื่องจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ฉู่ฉีเฟิงสัมผัสได้ว่าน้ำเสียงของเขาไม่เป็นมิตรนัก เลยทำให้เขารู้สึกงุนงงอยู่เล็กน้อย
เขาเบนสายตาออกจากภาพตรงหน้า แล้วหันมามองเหยียนหลิงจวิน สูดหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยปากพูดว่า “เจ้าอุตส่าห์นัดข้ามาถึงที่นี่ เจ้ามีเรื่องจะพูดกับข้าใช่หรือไม่? พวกเรารีบพูดรีบตกลงให้จบกันเถอะ!”
เหยียนหลิงจวินยิ้ม แล้วยื่นถ้วยชาให้เขา
ฉู่ฉีเฟิงลังเลเล็กน้อย แต่ท้ายที่สุดก็ยื่นมือออกไปรับไว้ สองมือของเขาโอบอุ้มถ้วยชาไว้แต่ยังไม่ดื่มในทันที เขาเพียงขมวดคิ้วเล็กน้อยมองไปที่เหยียนหลิงจวิน รอให้อีกฝ่ายพูดต่อ
เหยียนหลิงจวินไม่ได้สนใจอีกฝ่าย สายตาทอดมองลงไปด้านล่าง ริมฝีปากเผยรอยยิ้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พลางเอ่ยปากถามอย่างสบายใจว่า “ข้าเพียงแค่อยากรู้ว่าท่านคิดจะทำอะไรต่อไป”
“หืม?” ฉู่ฉีเฟิงได้ยินก็หัวเราะออกมาเบาๆ “ข้าจะทำอะไรต่องั้นหรือ? ข้าต้องบอกเจ้าด้วยหรือไง?”
“ไม่ต้องหรอก!” เหยียนหลิงจวินเองก็ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ แววตาของเขายังคงจับจ้องไปที่เงาอันสง่างามของคนคนนั้นด้วยแววตาลึกซึ้งที่เกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว แล้วพูดว่า “ข้าแค่เตือนท่านด้วยความหวังดี การที่ท่านยังลังเลไม่แน่นอนแบบนี้มันไม่ดีเลย”
ความโกรธและโมโหแสดงออกอยู่บนใบหน้าของฉู่ฉีเฟิงอย่างเห็นได้ชัด
เขาเดินหน้าขึ้นมาหนึ่งก้าว สองมือค้ำยันโต๊ะ พูดออกมาด้วยความโมโหว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“ท่านนี่นิสัยเหมือนกับบิดาของท่านไม่มีผิดเลย!” เหยียนหลิงจวินยังคงยิ้มอย่างไม่สนใจไยดี เขาลุกขึ้นเดินผ่านอีกฝ่ายไปผลักหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้อยู่ออกเล็กน้อย
ด้านล่างนั้นจู่ๆ ซูอี้ก็ปรากฏตัวขึ้น แล้วกำลังพูดคุยอะไรไม่รู้กับฉู่สวินหยางอย่างออกรส
เหยียนหลิงจวินขมวดคิ้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองคิดอะไรอยู่ แต่กลับเอ่ยปากพูดกับอีกฝ่ายอย่างชัดเจน
“ใครๆ ก็บอกว่าครอบครัวของจักรพรรดิไม่มีสัมพันธภาพในครอบครัวแบบนั้นกันหรอก แต่องค์รัชทายาทแห่งแคว้นซีเยว่กลับไม่ใช่ เขาคนนั้นต่างกับฮ่องเต้คนที่คิดเล็กคิดน้อยในทุกๆ เรื่องนั้นอย่างสิ้นเชิง แต่การที่เขาให้ความสนใจตัวท่านนั้น มันเผยให้เห็นข้อได้เปรียบอยู่อย่างหนึ่งก็คือ…เขาแทบไม่ได้สนใจในตำแหน่งที่มีอำนาจเหนือคนอื่นอย่างไร้เหตุผลแบบนั้นของฮ่องเต้เท่าไร เขามองพวกพี่น้องของเขาหมือนของไร้ค่า แต่เขากลับเป็นห่วงหวังดีวังบูรพาอย่างเดียว แต่ถึงแม้มันจะเป็นเยี่ยงนั้นก็เถอะ ในระหว่างทางนั้นเขาเองก็เสียหายมาไม่น้อย ลำบากกว่าคนอื่นมามาก แต่ท่านนั้น…”
เหยียนหลิงจวินหยุดพูดไปชั่วขณะ เขาส่ายหัวแล้วเผยรอยยิ้มออกมา จากนั้นพูดเสียดสีประชดประชันเขาไปว่า “สิ่งของที่ท่านคิดกังวลถึงพวกนั้นน่ะ มันมีมากกว่าเขาเยอะเหลือเกิน”
ฉู่ฉีเฟิงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน ทั้งสองคนหันหลังชนกัน
ฉู่ฉีเฟิงรับฟังคำ ‘ตำหนิ’ ของเขาอย่างเงียบๆ จากนั้นออกแรงเม้มปากเอาไว้
เหยียนหลิงจวินพูดถูกต้องทุกอย่าง ตอนนี้ในสายตาของเขา ท่านพ่อไม่ใช่ผู้สืบทอดอำนาจที่ดีพอ เขาไม่คิดแยแสฉู่เป้ย หักหน้าฉู่อี้หมินอย่างไม่สนใจ แต่เมื่อเป็นบุตรสาวกับบุตรชายของตัวเองแล้ว เขากลับตัดสินใจทำไม่ลง ไม่ได้เป็นเฉพาะกับฉู่สวินหยางเท่านั้น แต่เป็นกับพวกเขา ทุกคนต่างได้รับความเอ็นดูของผู้เป็นบิดาอยู่เสมอ
เพราะความเอ็นดูอันนั้น ที่ทำให้พวกเขาตกอยู่ในความลำบากครั้งแล้วครั้งเล่า ถูกคนที่ไว้ใจหลอกใช้มาตลอด
แต่ว่า…
เหยียนหลิงจวินพูดผิดไปหนึ่งประโยค เพราะว่า…
ตัวเขาฉู่ฉีเฟิงแท้จริงแล้วไม่เหมือนกับฉู่อี้อันเลยสักนิด เทียบกับความรักเมตตาของฉู่อี้อันแล้ว เขาน่ะ…
แค่กำลังคิดวางแผนเพื่อให้ได้ผลประโยชน์มาอย่างถี่ถ้วนก็เท่านั้นเอง!
ฉู่ฉีเฟิงหลับตาลงด้วยความโกรธ แล้วลืมตาขึ้นอีกครั้งด้วยแววตาสดใสบริสุทธิ์
เขายังไม่หันหน้ากลับมา และไม่ได้คัดค้านคำพูดของเหยียนหลิงจวินแม้แต่ประโยคเดียว เขาเพียงพูดขึ้นอย่างน่าเกรงขามว่า “เจ้าต้องการจะพูดว่าอะไรกันแน่?”
“ท่านน่าจะเข้าใจดีนะว่าข้าต้องการจะสื่ออะไร อันที่จริงแล้วไม่ว่าตอนนี้ท่านจะยังลังเลไม่แน่ใจ แต่คนอื่นเขาก็ตัดสินใจแทนท่านไปหมดแล้วไม่ใช่หรือ?” เหยียนหลิงจวินยิ้มแล้วพูดตอบ พลางหันไปมองเขาอย่างลึกซึ้ง “พวกนางกำลังวางแผนให้ท่านอยู่ ไม่ว่าท่านจะอยากฉุดองค์รัชทายาทให้ลำบากอย่างไร เวลานี้ในสถานการณ์แบบนี้ท่านไม่จำเป็นต้องเข้ามายุ่งด้วยเลยสักนิด”
เหยียนหลิงจวินพูดจบ ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ส่วนฉู่สวินหยางกับซูอี้ที่อยู่ด้านล่างกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน
เขาเลยเปิดบานหน้าต่างออก เดินกลับมาที่โต๊ะ รินน้ำชาให้ตัวเอง หลับตาลงจิบชาเข้าไปสองคำ แล้วเงยหน้ามองฉู่ฉีเฟิงที่ยันแขนเท้าโต๊ะเอาไว้อยู่ ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดขึ้นว่า “เรายังไม่ได้ผลสรุปเหตุผลการตายของฉู่ฉีฮุยจากฝ่ายราชการสักที ในสถานการณ์มีเรื่องหลอกล่อเยอะแยะจนบดบังความจริงอยู่แบบนี้ นั่นก็เป็นเพราะว่าพวกเขาละเลยเบาะแสสำคัญและคนที่สำคัญที่สุดไปต่างหาก ท่านเอาแต่นิ่งเงียบอยู่นาน แต่ที่จริงแล้วท่านน่ะเข้าใจเรื่องทุกอย่างดีที่สุด?”
น้ำเสียงของเขาเนิบช้า แต่ชัดเจนทุกถ้อยคำ ทุกประโยคที่เปล่งออกมาได้ถูกต้องทุกจุด
หลังมือของฉู่ฉีเฟิงที่วางอยู่บนโต๊ะค่อยๆ เผยให้เห็นเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมา เขาปิดเปลือกตาลงเล็กน้อย ขนตาเรียงยาวเป็นแพบดบังแววตาและอารมณ์ที่แท้จริงของเขาไว้อย่างมิดชิด ไม่นานนักก็ข่มตาหลับลง
เหยียนหลิงจวินมองเขา เขารู้ว่าในใจของอีกฝ่ายนั้นกำลังคุกรุ่นเต็มไปด้วยอารมณ์ของความไม่แน่นอนและทะเยอทะยาน ไร้ซึ่งความสงสารเห็นอกเห็นใจ
เขาค่อยๆ ยกถ้วยชาขึ้นดื่มแล้วเดินวนอยู่ในห้องอย่างช้าๆ กลิ่นหอมของชาอบอวลไปทั่ว ยิ่งทำให้บรรยากาศในห้องนั้นลึกลับขึ้นไปอีก
“ท่านต้องคิดถึงความรู้สึกของบิดาตัวเองบ้าง เรื่องที่เขาอยากให้ลูกหลานคนอื่นยอมถอยอีกครั้ง เรื่องนั้นมันพูดไม่ได้ว่าผิดหรือถูกหรอก เพราะตอนนี้มีคนก้าวขาก้าวนั้นออกไปแทนท่านแล้ว ไม่ว่าจะมองอย่างไรท่านก็หันหลังกลับไม่ได้แล้วล่ะ” เหยียนหลิงจวินพูดขึ้น “จะทำไปเพื่อตัวเอง หรือทำเพื่อพวกนางก็ตาม ข้าคิดว่าหากผ่านเหตุการณ์นี้ไปแล้วท่านน่าจะเข้าใจมากขึ้น ในเมื่อเวลาเองก็ไม่รอใคร ตอนนี้จวนอ๋องหนานเหอถูกโจมตีอย่างหนัก ดูท่าฉู่ฉีเหยียนเองก็คงหมดความสามารถที่จะอดทนต่อไปได้แล้วเหมือนกัน หากท่านรอให้พวกเขาเข้ามาโจมตีเราถึงที่ ถึงตอนนั้นพวกท่านก็จะกลายเป็นผู้ถูกกระทำอย่างสมบูรณ์แบบ!”
อ๋องหนานเหอถูกยึดอำนาจ คนอย่างฉู่ฉีเหยียนต้องไม่นั่งรอความตายเป็นแน่ อีกไม่นานจะมีเรื่องวุ่นวายใหญ่หลวงเกิดขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
ในที่สุดฉู่ฉีเฟิงก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองเหยียนหลิงจวิน ใบหน้านั้นไม่อบอุ่นเหมือนอย่างเคย แต่กลับแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาเคร่งขรึม
ฉู่ฉีเฟิงมองเหยียนหลิงจวิน กระตุกมุมปากเยาะเย้ยแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “พูดมาตั้งนาน เจ้าเองก็แค่ทำเป็นพูดสั่งสอนข้าเพราะจะมากดดันข้าสินะ คิดอยากดึงสวินหยางออกจากการต่อสู้ นางเป็นน้องสาวของข้า ข้าต้องคิดวางแผนแทนนางอย่างดีอยู่แล้ว ไม่ต้องให้คนนอกอย่างเจ้าเข้ามายุ่งหรอก”
เหยียนหลิงจวินไม่โกรธ เขายังคงยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี ยกถ้วยชาในมือชูขึ้นต่อหน้าเขาทำท่านอบน้อม
“งั้นหรือ…ท่านคิดว่าข้าเพียงแค่คาดเดาไปเองโดยพลการแล้วกันขอรับ แค่เพียงคนที่อยู่ในสถานการณ์นั้นอย่างท่านอาจยังมองไม่ออก ข้าคิดว่าเวลานี้ท่านต้องการคนนอกอย่างข้ามาช่วยชี้แนะ จะเป็นการดีกว่านะขอรับ?”
————————————–