สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 21.4 สถานการณ์คลุมเครือ ปล่อยสาวน้อยให้โลดแล่น (4)
- Home
- สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2
- บทที่ 21.4 สถานการณ์คลุมเครือ ปล่อยสาวน้อยให้โลดแล่น (4)
“อา…” ฉู่สวินหยางครางออกมา ก่อนรีบชักมือกลับเหมือนโดนของร้อน ใบหน้าแดงก่ำ หลังจากนั้นก็หันหน้าไปมองค้อน เขาก็ฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิมและอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปลูบนาง
ฉู่สวินหยางแข็งทื่อไปทั้งตัว เหยียนหลิงจวินก็เริ่มรุกอีกครั้ง มือหนึ่งรองที่ขมับของนาง อีกมือหนึ่งประคองเอวแล้วประกบริมฝีปากลงมา
กลิ่นหอมเย้ายวนของริมฝีปากผ่านฟันล้วงเข้าไปกวาดลิ้นเล่น ราวกับหกระเหินอยู่ในผืนแผ่นดินของนางอย่างนั้น
ครั้งนี้เขาออกแรงค่อนข้างมาก รู้สึกเจ็บแปลบๆ ขึ้นมา เหมือนมีความรู้สึกสดใหม่ที่พุ่งเข้าไปยังสัมผัสทั้งห้าของนาง เหมือนหลอดเลือดจะมีอะไรพุ่งทะลุออกมา ทั้งเร่าร้อนและรุนแรง
เดิมฉู่สวินหยางเองก็ตกใจ ลมหายใจก็เหมือนจะถูกกลืนกินลงไป ขยับไปไหนไม่ได้ จนตัวเองหน้าแดงหูแดงแล้วจึงได้สติคืน รีบถอนจูบ
นางไม่เคยเป็นคนถูกรุกมาก่อน ที่สำคัญคือ…
ตลอดที่ผ่านมาแม้เขาจะเป็นคนได้คืบเอาศอก ในใจลึกๆ ของนางก็ไม่ได้รังเกียจที่เขาเข้าใกล้แต่อย่างใด
พอถึงตอนที่ทำอะไรไม่ได้จริงๆ นางก็จะสนองความปรารถนาของอีกฝ่าย…
จูบตอบกลับไป
ตอนแรกๆ ก็รุกโจมตีไปอย่างกล้าหาญ แต่พอถึงตอนท้ายกลับโรยราไร้สติ
กลิ่นกายคละคลุ้ง มิอาจถอนริมฝีปาก
มีเพียงคนที่สนิทชิดเชื้อที่สุดเท่านั้นจึงจะทำเช่นนี้ได้ กึ่งหนึ่งเป็นแรงในใจที่เกิดอารมณ์ขึ้นมา กึ่งหนึ่งเป็นสัญชาตญาณที่เป็นคนชอบฉวยโอกาสของตน
จุมพิตนี้ เหมือนกับบุปผาลอยละล่องอยู่ในห้วงฝัน นำเอารสชาติหอมหยาดเยิ้มแทรกซึมเข้าในเลือดผ่านผิว และค่อยๆ ซึมเข้าไปในกระดูกอีกครั้ง
จนถึงตอนสุดท้าย มือของเหยียนหลิงจวินคลำไปที่หน้าอกนุ่มของนาง ทั้งสองจึงได้สติที่แตกกระเจิงนั้นกลับคืน
ทั้งคู่ต่างคนต่างนั่งแข็งทื่อ หยุดค้างไว้ที่ท่านั้น
ลมหายใจของทั้งคู่หนักอึ้ง หลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ไม่อาจแยกได้ว่าเป็นลมที่หอมกรุ่นของเขา หรือว่าเป็นลมที่หวานหอมของนางกันแน่
เหยียนหลิงจวินยังนั่งอยู่ที่เดิม ส่วนฉู่สวินหยางกลับนั่งคุกเข่าอยู่บนขาเขาจากท่าเดิมที่นั่งหันข้างบนท่อนขาเขาไปเมื่อใดก็ไม่รู้
มือของเขาโอบร่างบางอรชรของนางไว้ ส่วนมือของนางจับอยู่ที่ท้ายทอยของเขา ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่ไปขยี้ผมของเขาจนกระเซอะกระเซิงเช่นนี้
เส้นผมร่วงหล่น ตกลงมาบนบ่า ปกปิดดวงตาคู่ที่แสนสง่าน่าดึงดูดของเขาเช่นนั้น
“เอ่อ…” ฉู่สวินหยางหน้าแดงก่ำขึ้นมา อึดอัดเสียจนไม่กล้าจ้องตาเขาไปตรงๆ เข่าที่คุกอยู่ตรงขาของเขาก็ขยับเล็กน้อย ในหัวเอาแต่ครุ่นคิดว่าจะพูดอะไรขึ้นมาทำลายบรรยากาศที่หนักอึ้งนี้ แต่จู่ๆ เหมือนว่าเท้าไปสัมผัสกับอะไรเข้า เมื่อนางก้มมองลงไป นัยน์ตากำลังเคลือบด้วยหมอกควันเลือนรางนั้น เหยียนหลิงจวินกลับกระแอมเบาๆ หน้าขึ้นสีราวกับจะระเบิดออกเสียอย่างนั้น
ระหว่างที่กำลังกล้ำกลืนทำตัวไม่ถูกอยู่ พอเขาได้สติจะเอื้อมมือปิดตาเด็กหญิงผู้นี้ แต่พอคิดๆ ดูอีกทีคงจะหลอกลวงเกินไป
บรรยากาศในห้องเงียบลงแปลกๆ ไปชั่วขณะ ไม่รอให้เหยียนหลิงจวินคิดลูกไม้อะไรได้ ฉู่สวินหยางที่นั่งงุนงงก็เหมือนจะเข้าใจอะไรขึ้นมา อุณหภูมิร้อนฉ่าที่เพิ่งลดไปเล็กน้อยก็เริ่มสูงขึ้นมาอีกครั้ง
นางรีบชักมือที่รองตรงท้ายทอยของเขากลับมาทันที จากความเขินกลายเป็นความโกรธ กระโดดหย็องๆ ลงจากขาของเขา และเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องอย่างลุกลี้ลุกลน จัดทรงผมไปพลาง จัดเสื้อผ้าไปพลาง
สุดท้ายหลังที่เดินวนๆ อยู่นั้น จู่ๆ นางก็กำผมช่อหนึ่งแล้วทิ้งตัวลงบนเตียงหลังหนึ่งที่อยู่ข้างๆ ด้วยท่าทางโกรธเคือง ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน
เดิมเหยียนหลิงจวินก็เก้อเขินอยู่แล้ว เมื่อเห็นการกระทำพวกนี้ของนาง ก็ยิ่งคิดหนักว่าจะกู้สถานการณ์อย่างไร แต่พอเห็นการกระทำราวกับเด็กของนาง จู่ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะหลุดขำออกมา
ฉู่สวินหยางยังคงโกรธ เมื่อได้ยินชายหนุ่มหัวเราะร่า ก็อารมณ์ร้อนขึ้นมา ยิ่งเก้อเขินไปมากกว่าเดิม พลางคว้าหมอนครามขว้างไป เอ่ยเสียงเขม็ง “ห้ามยิ้ม!”
นางกลัดกลุ้มกับตัวเองที่เวลาลงมือทำอะไรก็ชอบออกแรงเต็มที่เช่นนี้
เหยียนหลิงจวินรับหมอนใบนั้นอย่างแม่นยำ และเดินขึ้นไปนั่งข้างๆ นาง พลางตบหมอนในมือด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม และเอ่ยพูดอย่างไม่รีบร้อน “จะว่าไปก็ไม่ได้มีคนนอกเสียหน่อย!”
ฉู่สวินหยางนอนราบอยู่อย่างนั้น ไม่ขยับไม่ตอบใดใด เอาแต่มุดหน้าลงไปในแขนตัวเอง
เหยียนหลิงจวินกลั้นขำไปสะกิดไหล่นาง แต่กลับโดนนางสะบัดทิ้งอย่างแรง
เหยียนหลิงจวินเห็นเช่นนั้นก็ยิ่งยิ้มกว้างไปกันใหญ่ จะกล่อมอย่างไรนางก็ไม่ยอมขยับ จึงต้องวางหมอนลงและโอบนางขึ้นมาด้วยมือทั้งสองข้าง
ฉู่สวินหยางรู้สึกว่าตนทำเรื่องขายหน้ามาก ยิ่งเห็นหน้าเขาก็ยิ่งใจฝ่อไปกันใหญ่ เลยยอมผลุบเข้าไปในอ้อมกอดของเขาเอง นิ้วมือทั้งสองข้างพาดอยู่บนร่างของเขาเหมือนกับมัจฉา และพยายามซุกหน้าเข้าไปในต้นคอของเขา ขอแค่ไม่เห็นหน้าเขาก็พอแล้ว
เหยียนหลิงจวินวางมืออยู่ข้างๆ ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยกขึ้นมาลูบหลังนาง และเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนตามเดิม “โกรธอะไรอยู่หรือ? อย่าทำตัวเองลำบากเลย เดี๋ยวจะหายใจไม่ออก เจ้ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับข้ามิใช่หรือ?”
ฉู่สวินหยางไม่อาจหาจังหวะที่เหมาะสมได้ จึงนั่งนิ่งแกล้งตายอยู่อย่างนั้น ซบในอ้อมอกเขาไม่ขยับไปไหน เหมือนกับว่าแค่ไม่เรียกให้นางมามองหน้าเขา ก็จะลบล้างความอึดอัดทั้งหมดได้
เหยียนหลิงจวินก็ไม่รู้ควรจะกล่อมอย่างไรดี ขนาดคิดจะขอโทษยังไม่รู้ว่าควรจะใช้เหตุผลอะไร สุดท้ายก็ได้ช้อนแขนอุ้มนางขึ้นมาแล้วเอ่ย “ในเมื่อเจ้าไม่มีอะไรจะพูด เราก็ไปกันเถิด เท้าของอาจารย์ปู่ยังเจ็บอยู่ ข้ายังต้องกลับไปดูเขาอีก!”
เขาพูดพลางทำท่าจะอุ้มนางออกไป
จะออกไปอย่างนี้ได้อย่างไรกัน?
แม้จะรู้ว่าเขาล้อเล่น แต่ฉู่สวินหยางก็ยอมเปิดตาพลางเอื้อมมือไปตีบ่าเขาสองที
เหยียนหลิงจวินแขนชาไปครู่หนึ่ง ก่อนจะวางมือปล่อยนางลงไปยืนที่พื้น นางเหลือบตาลงปัดชุดของตนพลางเอ่ย “จะไปท่านก็ไปก่อนเลย ข้าจะอยู่ต่ออีกครู่!”
เห็นนางยอมพูดแล้ว เหยียนหลิงจวินก็โล่งใจ และเดินหน้าไปจับมือนางด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ฉู่สวินหยางไม่ได้คิดจะสะบัดทิ้งแต่อย่างใด ใบหน้าแดงก่ำ กัดริมฝีปากมองไปที่เขา
เมื่อคิดถึงภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ เหยียนหลิงจวินก็ไอแห้ง และเบือนสายตาออกไปเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้พูดอะไร ได้แต่จับมือนางเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะอีกครั้ง
ฉู่สวินหยางรับชาที่เขาส่งให้ มองต่ำหลบสายตาเล็กน้อย จนชาลงท้องไปครึ่งถ้วยแล้วจึงมีสีหน้าปกติ
เมื่อเงยหน้า กลับเห็นเหยียนหลิงจวินยังนั่งยิ้มมองนางด้วยสายตาหยาดเยิ้ม
“ท่าน…” นางเริ่มมีอารมณ์โกรธพรั่งพรูมาในอกเล็กน้อย ฉู่สวินหยางอยากจะเอ่ยว่าแต่กลับหาคำที่เหมาะสมไม่ได้ นางจึงเอ่ยเสียงเข้ม “ต่อไปห้ามทำเช่นนี้อีก!”
เมื่อพูดออกไป ตัวเองก็ทำหน้าขรึมทันที
เหยียนหลิงจวินก็แอบอึดอัดเล็กน้อย เมื่อโดนคำพูดไม่จริงจังของนางหลอกเล่น จึงคลี่ยิ้มออกไป ก่อนจะทำท่ายกชาดื่มต่อไป ไม่ได้พูดตอบอะไรต่อ
เมื่อวางถ้วยชาลง เขาก็ค่อยๆ เก็บอารมณ์มองไปที่นางอีกครั้ง “เจ้ารอข้าที่นี่มีเรื่องด่วนอะไรหรือ?”
“ก็ไม่นับว่าด่วน” ฉู่สวินหยางเอ่ย พยายามไม่ให้ตัวเองไปคิดมากกับเรื่องเมื่อครู่ ใช้สมาธิจดจ่ออยู่กับเรื่องสำคัญ “ก็เรื่องของชิงหลัว…”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของเหยียนหลิงจวินก็เริ่มเขม็งขึ้นมา ก่อนจะถอนหายใจพูดต่อ “ข้อมูลในมือของซูอี้นั้นไม่มีปัญหาอันใด ช่วงนี้ข้าก็ให้คนไปตรวจสอบมาหมดแล้ว แต่ช่างแปลกนัก ในเมื่อมั่นใจได้ว่านางไม่ได้ออกเมืองไปแต่กลับไม่มีใครเคยเห็นนาง หากเป็นดั่งที่ซูหลินเดาคือนางได้รับบาดเจ็บ แต่ทุกร้านยาก็มีคนคอยจับตามอง กลับไม่มีหลักฐานที่ใช้ได้สักชิ้น!”
หากหาไม่เจอจริงๆ ก็อาจจะคาดการณ์ได้…
บางที่ซูหลินอาจพูดเท็จเพื่อปัดความรับผิดชอบ หรือไม่ชิงหลัวก็เหมือนกับซูหว่าน ไม่มีโอกาสได้โผล่หน้าออกมาอีกแล้ว
แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น แม้เรื่องนี้ทั้งคู่จะรู้อยู่แก่ใจดี เขาก็ไม่กล้าพูดต่อหน้าฉู่สวินหยางอยู่ดี
“หาไม่เจอก็นับว่าเป็นเรื่องดี ค่อยๆ หาต่อเถิด!” สุดท้ายเหยียนหลิงจวินก็พูดออกไป หลังจากนั้นก็แสยะยิ้มเล็กน้อย ก่อนยื่นมือไปลูบผมของนาง “ยามนี้ชิงหลัวไม่อยู่ คนใช้ข้างกายเจ้ามิพอหรือ? ข้าเห็นวันนี้เจ้าพาเพียงชิงเถิงมาเพียงคนเดียว”
เหยียนหลิงจวินเอ่ยพลางมองไปทางประตูทางเข้า
วังบูรพาจะต้องไม่ให้นางขาดข้าทาสบริวารอยู่แล้ว ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรมากมาย
“เรื่องของข้า ท่านพ่อและท่านพี่ไม่เข้ามายุ่งหรอก” ฉู่สวินหยางยิ้ม “เพียงแค่ช่วงนี้ก็ไม่ได้ต้องการ…”
พูดได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงอุตลุดขึ้นมาจากถนนด้านนอก ยังไม่ทันให้ทั้งสองรู้สึกตัว เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นมา
ทั้งสองมองหน้ากันแวบหนึ่ง ก่อนเหยียนหลิงจวินจะยืดตัวไปเปิดหน้าต่างข้างๆ
ถนนข้างล่างมีคนล้อมวงอยู่เป็นจำนวนมาก ในนั้นมีชายชุดแพรล้มหัวกระแทกลงไปกับพื้น ทำให้เลือดไหลออกมานองไปทั่ว
————————————–