สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 23.1 บุ่มบ่ามบุกมาข่มขู่ถึงบ้าน (1)
หลัวซืออวี่นอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียง ผ้าม่านไหมนุ่มลื่นทิ้งตัวลงมาเป็นชั้นๆ ปิดบังสายตาของหลัวเถิงที่อยู่ด้านนอก
นางเปลือยร่างกายท่อนบนและสวมเพียงชุดผ้าฝ้ายธรรมดาเนื้อบางเบาเท่านั้น มองเห็นรอยแผลฟกช้ำสีแดงอมม่วงมากมายบนแผ่นหลังของเรือนร่างที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งนั้นอย่างชัดเจน บางจุดอาการค่อนข้างสาหัสเป็นแผลถลอก ปอกเปิกจนเลือดซึมออกมาเป็นริ้ว
เพราะแม่นางโม่เปิดโปงว่านางแอบใส่ผงสลอดลงไปในอาหารของหลัวเหว่ย และยังไปร้องไห้คร่ำครวญต่อหน้าหลัวเหว่ย เดิมทีหลัวเหว่ยกำลังเจ็บปวดที่สูญเสียลูกชายที่รักไป ด้วยอารมณ์โมโหเป็นฟืนเป็นไฟจึงลงโทษด้วยการเฆี่ยนด้วยไม้เรียว
ยังดีที่ตอนเขาลุกไปเข้าห้องน้ำตอนเที่ยงคืนนั้นร่างกายของเขาเองก็อ่อนแออยู่แล้ว เพราะถึงฮูหยินใหญ่หลัวกับหลัวเถิงจะคอยขวางไว้ ทว่าที่เฆี่ยนลงไปบนตัวหลัวซืออวี่สิบกว่าทีนั้นก็ไม่เบาเช่นกัน
ตอนแรกนั้นแผ่นหลังเจ็บชนิดปวดแสบปวดร้อน เวลานี้ทายาแล้วค่อยดีขึ้นบ้าง หลัวซืออวี่ยังคงเจ็บจนเหงื่อตกเต็มหน้าผาก ทว่าสีหน้านางกลับเรียบเฉยและไม่แสดงอารมณ์แต่อย่างใด
หลัวเถิงนั่งขมวดคิ้วอยู่บนเก้าอี้ในห้องข้างนอก และก็ไม่สะดวกที่จะเข้าไปดูอาการบาดเจ็บของนางเช่นกัน เขาทำได้เพียงทุบโต๊ะด้วยความหงุดหงิดใจ กล่าวว่า “เจ้านี่จริงๆ เลย ทำไมทำอะไรไม่ปรึกษาข้าก่อน ตอนนี้ก่อเรื่องแบบนี้ไป ถึงจะมีท่านแม่คอยปรามอยู่ แต่พวกแม่นางโม่กับฮูหยินรองก็ต้องพยายามยุแยงทุกวิถีทางเพื่อทำลายชื่อเสียงเจ้าแน่”
“ข้าเป็นคนทำ อย่างไรก็ดีกว่าท่านพี่เป็นคนทำ” หลัวซืออวี่ยิ้มเล็กน้อย สีหน้ายังคงนิ่งเฉยอย่างน่าประหลาด “ข้าก็เป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง พวกเขาอยากจะพูดอย่างไรก็ตามใจพวกเขาเถอะ”
“เจ้านี่!” หลัวเถิงโมโห แต่จะอารมณ์เสียใส่นางก็ไม่รู้ว่าควรเริ่มโกรธจากตรงไหน เขาสะกดกลั้นอารมณ์อยู่นาน แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ข้าอาศัยเรื่องคราวนี้กวาดล้างคนในหลายเรือนได้พอดี น่าจะเรียบร้อยไปพอประมาณแล้ว”
เขาเป็นคนวางยาลงในอาหารของหลัวเหว่ย แต่หลังจากนั้นไม่นานห่อกระดาษที่เปื้อนผงสลอดก็ปรากฏอยู่ในมุมหนึ่งของห้องครัว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาพลาดไปแล้ว
หลายปีมานี้จวนหลัวกั๋วกงเติบโตอย่างรวดเร็ว ทว่าแต่ละฝ่ายกลับแก่งแย่งชิงดีกันจนวุ่นวายไปทั้งจวน ตอนหลังหลัวซืออวี่เดินไปห้องครัวโดยไม่บอกแม้แต่หลัวเถิงก่อน พอเกิดเรื่องขึ้นก็ก้าวออกมารับผิดด้วยตนเอง
หลัวเถิงก็ตอบสนองไว เขาเข้าใจเจตนาของนางในทันที จึงกระจายคนไปกวาดล้างเรือนด้านหลังเกินกว่าครึ่งอย่างไม่สนใจไยดี
“อืม!” หลัวซืออวี่ขานรับ คิดแล้วก็อดกังวลขึ้นมาไม่ได้ว่า “ท่านแม่ถูกฮองเฮาเรียกตัวเข้าวังไปแล้ว ไม่รู้ว่าจะเป็นอะไรหรือไม่”
พอพูดถึงหลัวฮองเฮา หลัวเถิงก็ยิ้มอย่างขมขื่น เขาเพียงยิ้มมุมปากเย้ยหยันตนเองว่า “อย่างที่เจ้าว่า ไม่มีใครจริงใจสักคน แค่เอาตัวรอดไปให้ได้ก็พอแล้ว ช่วงนี้ฝ่าบาทก็อารมณ์ไม่ดีตลอด เพราะเรื่องเมืองฉู่กับโม่เป่ย ช่วงปลายปีชายแดนทางเหนือก็เกิดพายุหิมะอีก ส่วนพวกคนนอกด่านนั้นยิ่งโหดเหี้ยม ก่อเหตุทั้งปล้นฆ่าและเผาบ้านเมือง ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ฮองเฮาก็ทรงทราบว่าอะไรควรไม่ควรเช่นกัน คงจะไม่ทำอะไรเกินไปแน่ ท่านแม่น่าจะรับมือไหว”
หลัวซืออวี่พยักหน้าราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่และเบี่ยงประเด็นไปอีกว่า “ทางศาลาว่าการมีข่าวอะไรหรือไม่?”
“เวลานี้ฮั่วชิงเอ๋อร์ยังถูกขังอยู่ในคุกของศาลาว่าการพระนคร” หลัวเถิงเอ่ย แล้วยกมือนวดหว่างคิ้ว พอพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเขาก็รู้สึกกลุ้มใจอยู่บ้าง “ต่อให้สามารถเอาตัวรอดจากเรื่องครั้งนี้ไปได้ เกรงว่าพวกเราคงต้องเป็นศัตรูกับตระกูลฮั่วแล้ว”
ตอนนี้ข้อดีเพียงอย่างเดียวคือฮั่วกังลาว่างงานอยู่บ้าน แต่ก็กลัวว่าความขัดแย้งครั้งนี้ผ่านพ้นไปแล้วจะกลับมาเกิดซ้ำอีก ถึงเวลานั้นหากสองตระกูลปะทะกันขึ้นมา จวนหลัวกั๋วกงของพวกเขาคงกดดันไม่น้อยเลยทีเดียว
หลัวซื่ออวี่คิดแล้วเอ่ย “ทางหลัวส่วง…”
“ข้าตรวจสอบหมดแล้ว ไม่เหลือเบาะแสสักนิด” หลัวเถิงเอ่ย “คาดว่าเขาน่าจะมีข้อตกลงลับบางอย่างกับคนของฮูหยินรอง บางทีตอนแรกเขาอาจจะแค่อยากช่วยฮูหยินรองใส่ร้ายฮั่วชิงเอ๋อร์เพื่อแลกกับผลประโยชน์ แต่ไม่คิดว่าคนของฮูหยินรองพวกนั้นจะวางแผนเอาชีวิตเขาตั้งแต่แรก เวลานี้ท่านพ่อไม่ยอมรามือ ฮองเฮาก็เข้ามาแทรกแซงอีก ถึงแม้เวลานี้จะยังไม่ก่อความวุ่นวายไปถึงหน้าพระพักตร์ แต่เกรงว่าเรื่องนี้คงไม่จบง่ายๆ แล้ว”
ผู้คนต่างชื่นชมหลัวส่วงมาตลอด พอเป็นแบบนี้ข้อแก้ต่างของฮั่วชิงเอ๋อร์พวกนั้นกลับฟังดูไม่มีน้ำหนัก เวลานี้หลัวเหว่ยก็โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงจนร่างกายทรุด เป็นไปได้ว่าช่วงนี้ยังไม่เป็นอะไรมาก แต่ทางหลัวฮองเฮาก็ไม่แน่
สองพี่น้องต่างนิ่งเงียบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หลัวเถิงรู้ว่าน้องสาวของตนเองคนนี้เป็นคนคิดมาก เขานั่งอยู่ชั่วครู่จึงเอ่ยว่า “ช่างเถอะ เจ้าก็อย่ากังวลเรื่องพวกนี้อีกเลย สิ่งที่ควรทำคือรีบรักษาตัวให้หาย”
“อืม!” หลัวซืออวี่พยักหน้าอย่างใจลอย ทันใดนั้นก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงกำชับอีกว่า “ท่านพี่ หากพวกแม่นางโม่จะนินทา ท่านก็ปล่อยพวกเขาไปเถอะ ไม่ต้องไปต่อล้อต่อเถียงกับพวกเขา”
นัยน์ตาของหลัวเถิงทอประกายวาบ เขาเข้าใจเจตนาของนางในชั่วพริบตา แต่พอคิดอีกทีก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้ สีหน้าเจือความละอายอย่างชัดเจน “ปล่อยให้พวกเขาก่อความวุ่นวายหรือ? เจ้าไม่กลัวว่าต่อไปจะขายไม่ออกรึ?”
“ขอเพียงท่านพี่ฐานะมั่นคง ถึงแม้ต่อไปต้องใช้อำนาจข่มเหงผู้อื่น ท่านยังกลัวว่าจะไม่มีใครแต่งงานกับข้าอีกหรือ?” นานๆ ทีหลัวซืออวี่จะหยอกล้อกับเขาสักครั้ง
นางเป็นคนสุขุมลุ่มลึก ไม่ว่าจะอยู่ต่อหน้าหรือลับหลังก็เคร่งขรึมและเยือกเย็นตลอด แม้แต่โอกาสที่จะได้พูดคุยกันตามใจชอบต่อหน้าพี่ชายแท้ๆ ของตนเองแบบนี้ก็มีไม่มากนัก
หลัวเถิงรู้สึกอุ่นใจขึ้นมา เขารู้ดีว่านางทำไปเพื่อให้ตนเองสบายใจ
“ได้!” ท้ายที่สุดเขาก็ฝืนทำตัวให้มีชีวิตชีวาแล้วหัวเราะเสียงดัง “งั้นก็ตกลงตามนี้ อีกเดี๋ยวเจ้าไปเลือกได้เลย ชอบลูกชายจวนไหน ต่อให้ต้องลักพาตัวพี่ก็จะลักพาตัวเขามาให้เจ้าให้ได้!”
การล้อเล่นแบบนี้ เดิมทีเป็นเรื่องต้องห้าม
หลัวซืออวี่ได้ยินแล้วก็เพียงยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ สองพี่น้องพูดคุยกันอีกครู่หนึ่ง แล้วก็เห็นเยียนเอ๋อร์ยกถาดเข้ามาจากด้านนอก หลัวเถิงถึงได้กำชับหลัวซืออวี่ให้นางรักษาบาดแผลอย่างสบายใจ แล้วลุกขึ้นขอลากลับ
เยียนเอ๋อร์ถือขวดและกระปุกมากมายกองหนึ่งเข้ามา แล้วทายาให้หลัวซืออวี่อีกครั้ง ทั้งที่ขอบตาแดงก่ำ
ถึงอย่างไรนางก็ถูกโอ๋มาตั้งแต่เด็กจนโตมาสิบกว่าปี หลัวซืออวี่กัดฟันอดทนเอาไว้ แต่ก็ยังคงเจ็บแผลเหมือนร่างกายบิดเบี้ยวอยู่ดี
———————————-
ตอนที่ฉู่สวินหยางได้ข่าว ฮูหยินฮั่วกับฮูหยินทั้งสองแห่งตระกูลหลัวก็ถูกหลัวฮองเฮาเรียกตัวเข้าวังไปแล้ว
“ข้างนอกลือกันไปไกลมากว่าแม่นางหลัวซืออวี่อกตัญญูต่อหลัวกั๋วกง จนทำให้ท่านกั๋วกงโกรธจัดจนร่างกายทรุดและยังโดนเฆี่ยนด้วยไม้เรียวต่อหน้าธารกำนัลด้วยเจ้าค่ะ” ชิงเถิงวางถ้วยน้ำแกงเม็ดบัวลงตรงหน้าฉู่สวินหยางพลางเอ่ยไปด้วย
ฉู่สวินหยางวางพู่กันในมือลง นางประคองถ้วยเคลือบนั้นไว้แล้วใช้ช้อนคนน้ำแกงในถ้วยช้าๆ ผ่านไปนานมากก็แค่ยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัยขึ้นมาในชั่วพริบตา “ป่วยหรือ?”
“เจ้าค่ะ ป่วยเจ้าค่ะ!” ชิงเถิงพยักหน้า “แม้แต่เข้าเฝ้าตอนเช้าวันนี้ก็ไม่ได้ไป แต่ว่ายังไม่ทันเที่ยง ในวังฮองเฮาก็มีพระราชเสาวนีย์ให้เชิญฮูหยินทั้งสองแห่งตระกูลหลัวและฮูหยินฮั่วเข้าวังไปแล้วเจ้าค่ะ”
ฉู่สวินหยางเม้มปากไม่เอ่ยสิ่งใด
————————————