สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 24.4 สถานการณ์พลิกผัน ถือโอกาสแสดงน้ำใจ (4)
ณ จวนหลัวกั๋วกง
หลัวเถิงยืนอยู่ข้างภูเขาจำลองนั้นเพียงลำพังอยู่นานมาก ถึงจะจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วออกไปหาหลัวซืออวี่
เยียนเอ๋อร์ยกชามาให้ แล้วเข้าไปช่วยหลัวซืออวี่หาเสื้อผ้าเนื้อบางเบามาสวมใส่ พยายามเลี่ยงโดนแผลบนตัวนางให้มากที่สุด
เยียนเอ๋อร์จัดการอย่างระมัดระวังมาก หลังจากนั้นครู่หนึ่ง นางก็พยุงหลัวซืออวี่ออกมา
ตอนแรกหลัวเถิงกำลังถือถ้วยชาอย่างเหม่อลอย พอเห็นเข้าก็รีบลุกไปประคองนางมานั่งบนเตียงข้างๆ พลางขมวดคิ้วถาม “ทายาแล้วดีขึ้นหรือไม่?”
“ไม่เป็นไร ตรงที่เป็นแผลถลอกมีเพียงเล็กน้อย แต่จะให้หายบวมคงต้องใช้เวลารักษาอีกสักระยะ” หลัวซืออวี่ยิ้มใบหน้าเปื้อนยิ้มนั้นดูซีดเซียว นางเห็นหลัวเถิงจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวก็อดถามอย่างรู้สึกประหลาดใจไม่ได้
“ท่านพี่มีเรื่องในใจหรือ?”
“หา?” หลัวเถิงตื่นตะลึง
“เห็นท่านใจลอยตลอด คิดอะไรอยู่หรือ?” หลัวซืออวี่เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“เปล่า…” หลัวเถิงรีบตอบและหลบสายตาทันควัน ระหว่างที่ใจลอยไปไกล ราวกับได้เห็นใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มสดใสภายใต้แสงตะวันนั้นในภวังค์อีกครั้ง เขาจึงทำหน้านิ่งปนอึดอัดใจอีก
หลัวซืออวี่เห็นสีหน้าเขาแล้ว ถึงแม้จะรู้สึกงุนงง แต่ปากกลับถามไปว่า “เจอท่านหญิงสวินหยางแล้วหรือ?”
“อื้ม!” หลัวเถิงพยักหน้า สายตาพราวระยับโดยไม่รู้ตัว แล้วรีบกลบเกลื่อนอย่างรวดเร็วด้วยการเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในสวนดอกไม้ก่อนหน้านี้ทันที
สุดท้ายก็เอ่ยอีกว่า “ตอนนั้นเฉินเอ๋อร์ทั้งดื้อทั้งซนจนเกือบเกิดเรื่อง ข้าคอยสังเกตนางอยู่ข้างๆ ครู่หนึ่ง แต่กลับดูไม่ออกเลย ทว่าหากจะบอกว่านางแค่เจอกับคนแซ่เจียงโดยบังเอิญ ยิ่งไม่น่าเชื่อเข้าไปใหญ่ และยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องหยิบยื่นน้ำใจให้คนแซ่เจียงโดยไม่มีสาเหตุ”
“ก่อนหน้านี้ผู้หญิงคนนั้นไปหาแม่นางโม่อีกแล้ว คาดว่าคงไม่ต้องรอให้มืด ในจวนก็จะทะเลาะกันอีก” หลัวซืออวี่เอ่ยด้วยสีหน้าเจือความกังวลอยู่บ้าง “พูดตามตรงครั้งนี้เราก็ประมาทศัตรูเช่นกัน คิดไม่ถึงว่าท่านพ่อจะรักหลัวส่วงมากเกินกว่าที่พวกเราคิดไว้ขนาดนั้น เวลานี้ท่านพ่อกำลังโมโหอยู่ หากไปเปิดโปงจุดอ่อนของเขาช่วงนี้ เกรงว่าท่านพ่อจะโกรธมากยิ่งขึ้นเป็นเท่าตัว”
ความจริงหลัวส่วงก็พอมีฝีมืออยู่บ้าง แต่เขาไม่ได้เป็นคนซื่อสัตย์มากอย่างที่เล่าลือกันข้างนอก ที่จริงแล้วเขาเป็นคนเลวที่หน้าไหว้หลังหลอกและคิดแต่วางแผนทำร้ายผู้อื่น เขากับแม่นางโม่แม่ของเขาต่างก็ประจบสอพลอพอกัน หลายปีมานี้ก็พยายามใช้เล่ห์เหลี่ยมเอาใจหลัวเหว่ยอย่างเต็มที่
สองพี่น้องกำลังพูดคุยกันก็ได้ยินเสียงคนเคาะประตูจากด้านนอก “ซื่อจื่อ คุณหนูหลัวซืออวี่ ข้ามีเรื่องมารายงานขอรับ!”
พอได้ยินเสียงบ่าวรับใช้ของตนเอง หลัวเถิงก็โล่งอกแล้วเรียกให้เข้ามา
บ่าวล้วงห่อกระดาษเล็กๆ ออกมาจากอกเสื้ออย่างระมัดระวัง เขาเปิดออกตรงหน้าทั้งสองคนไปพลางและเอ่ยไปพลางว่า “เมื่อครู่คุณหนูหลัวอวี่ก่วนแอบเข้าไปในเรือนที่คุณชายหลัวส่วงเคยอยู่ แล้ววางของห่อหนึ่งไว้ใต้เตียง ข้าตามไปแล้วหยิบออกมาบางส่วนขอรับ”
หลัวอวี่ก่วนแอบไปทำอะไรที่เรือนของหลัวส่วง?
สองพี่น้องต่างมีสีหน้าเคร่งขรึม
“ของอะไร?” หลัวเถิงใช้ปลายนิ้วแตะผงสีขาวในห่อกระดาษนั้นมาลองขยี้ “เหมือนเป็นผงยาอะไรสักอย่าง ยาพิษหรือ?”
“ข้าตั้งใจหาคนมาตรวจดูโดยเฉพาะแล้ว ไม่ใช่ยาพิษ แต่เป็นยาผงอู่สือส่านขอรับ” บ่าวตอบ
“อะไรนะ?” หลัวเถิงอดที่จะตื่นตกใจไม่ได้
หลัวซืออวี่พลันเปลี่ยนสีหน้าไปเช่นกัน นางจ้องห่อกระดาษนั้นแล้วถามว่า “เจ้าแน่ใจหรือ?”
“ขอรับ!” บ่าวว่า “ข้าให้คนที่ไว้ใจได้ตรวจสอบแล้ว ไม่ผิดแน่นอนขอรับ”
หลัวเถิงกับหลัวซืออวี่ต่างสบตากันอย่างจริงจังและเงียบไปชั่วขณะ
ยาผงอู่สือส่าน คือ สารเสพติดที่สกัดออกมาจากการผสมเกสรดอกฝิ่นกับยาที่มีฤทธิ์หลอนประสาทอื่นอีกหลายชนิด หลังจากใช้ยานี้แล้วจะทำให้คนเกิดภาพหลอนจนสติคลุ้มคลั่ง ช่วงปลายรัชสมัยต้าหรงราชวงศ์ก่อน ฮ่องเต้สติเลอะเลือนและปกครองหย่อนยาน ครั้งหนึ่งยาประเภทนี้เคยเป็นที่นิยมกันอย่างกว้างขวาง กล่าวกันว่าฮ่องเต้เองก็แอบใช้อยู่ในวังหลังเช่นกัน ต่อมาหลังจากฉู่เป้ยขึ้นครองราชย์และจัดการบ้านเมืองให้มีระเบียบแบบแผนแล้ว ก็ประกาศห้ามไม่อนุญาตให้ซื้อขายสิ่งนี้อีกต่อไป ผู้ค้าต้องโทษประหารชีวิตด้วยการตัดศีรษะสถานเดียว ส่วนผู้ใช้หากรับโทษสถานเบาจะถูกเนรเทศไปอยู่ชายแดน โทษสถานหนักก็ถูกลงโทษประหารชีวิตเช่นกัน
ของแบบนี้ปรากฏในตระกูลที่มั่งคั่งร่ำรวยอย่างพวกเขา หากรู้ไปถึงหูฮ่องเต้เข้า…ถึงแม้จะไม่เดือดร้อนกันทั้งบ้าน แต่เกรงจะเลวร้ายจนไม่กล้าคิด
หลัวอวี่ก่วนจะมีของแบบนี้ได้อย่างไร? แล้วทำไมต้องไปวางไว้ในห้องของหลัวส่วงด้วย?
“ไปตรวจสอบดูทีว่านางได้ห่อนี้มาจากไหน” พอตั้งสติได้แล้วหลัวเถิงก็สั่งเสียงเข้ม
“ขอรับ!” บ่าวรับคำสั่งแล้วจากไป
ภายในห้องสองพี่น้องต่างเงียบไปนานมาก ไม่มีใครพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
บ่าวไปได้ครึ่งชั่วยามแล้วถึงกลับมา พูดว่า “ช่วงสองวันนี้คุณหนูหลัวอวี่ก่วนไม่ได้ออกจากจวนเลยขอรับ แต่ว่าลุงฝูที่เฝ้าประตูบอกว่าก่อนหน้านี้นั้น ตอนที่ท่านหญิงสวินหยางมาเหมือนเห็นสาวใช้ของนางถือห่อกระดาษไว้ในมือ แต่ตอนที่ท่านหญิงกลับไปเขาไม่อยู่ จึงไม่ได้สนใจอีกขอรับ”
หลัวเถิงกับหลัวซืออวี่ต่างใจเต้นตึกๆ
“เจ้าไปก่อนเถอะ!” หลัวเถิงโบกมือแล้วก็เงียบไปอีกชั่วครู่
บ่าวคำนับแล้วถอยออกไป เขาคิดแล้วก็เอ่ยอีกว่า “ลุงฝูนั่น…”
“ซื่อจื่อวางใจได้ เขาจะไม่เอาไปพูดที่อื่นแน่นอนขอรับ!” บ่าวรีบเอ่ย
“อืม!” หลัวเถิงถึงได้หมดห่วง แล้วโบกมือให้เขาออกไป
ฐานะของพวกเขาแม่ลูกในจวนหลัวกั๋วกงนี้ยังถือว่าค่อนข้างมั่นคง คนรับใช้ส่วนใหญ่ในจวนนี้ต่างเป็นคนของพวกเขา อีกทั้งก่อนหน้านี้เพิ่งจะกวาดล้างคนกลุ่มหนึ่งไป หลัวเถิงจึงยังวางใจในเรือนด้านหลังของตนเอง
“ท่านหญิงสวินหยางเป็นคนให้ห่อนั้นกับนางเป็นแน่!” หลัวซืออวี่ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็เอ่ยอย่างมั่นใจ
ก็ว่าอยู่ดีๆ ฉู่สวินหยางจะมามีน้ำใจให้ฮูหยินรองหลัว ดูไม่สมเหตุสมผลสักนิด ที่แท้กลับ…
ต้องการหยิบยื่นน้ำใจนี้ให้แก่น้องสาวของพวกเขานี่เอง
หลัวเถิงยกยิ้มมุมปากบอกไม่ถูกว่าเจ็บปวดหรือดีใจ จึงแค่มองหลัวซืออวี่และเอ่ยว่า “ว่าอย่างไร? ทำหรือไม่ทำ?”
เขาถามเช่นนั้น แต่กลับมีคำตอบในใจแล้วอย่างชัดเจน
หลัวซืออวี่กับเขาต่างสบตากันและยิ้ม “ทำ! ทำไมจะไม่ทำล่ะ ในเมื่อคนอื่นปูทางมาให้เราถึงที่แล้ว จะมีเหตุผลอะไรให้ปฏิเสธได้อีกกัน”
ท่านพ่อบอกว่าหลัวส่วงเป็นลูกชายที่เขาภูมิใจที่สุดแล้วไม่ใช่หรือ? หากฉีกความจอมปลอมทิ้งไปในเวลานี้ นางอยากรู้นักว่าท่านพ่อจะรู้สึกอย่างไร
“ดี เวลาไม่คอยท่า ข้าจะไปจัดการ!” หลัวเถิงค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออก เขาถลกชายเสื้อคลุมแล้วลุกขึ้น
หลัวซืออวี่พลันฉุกคิดได้จึงมองเขาอีกครั้ง พลางเอ่ยว่า “ท่านพี่คิดหาทางสืบหลัวอวี่ก่วนสักหน่อยเถอะ ถึงแม้นางจะไม่ฉลาด แต่คงไม่โง่ถึงขั้นทำลายหมากที่ตนเองวางอย่างยากลำบากด้วยมือตนเองหรอก”
ฉู่สวินหยางสามารถบังคับให้นางยอมจำนนได้ แสดงว่าต้องจับผิดอะไรนางได้แน่
“อืม!” หลัวเถิงพยักหน้า แล้วหันตัวเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
————————————-
เย็นวันนั้นฟ้ายังไม่ทันมืดก็เกิดพายุลูกใหญ่โหมพัดสกุลหลัว
ไม่มีใครทราบรายละเอียดของเหตุการณ์นี้ รู้แค่เพียงว่าขุนนางของศาลาว่าการพระนครที่เพิ่งรับตำแหน่งได้ไม่นานปลอมตัวมาเยี่ยมอย่างกะทันหัน หลังจากฟ้ามืดแล้วสกุลฮั่วก็ได้ข่าวว่ามีการไขความเข้าใจผิดแล้ว จึงให้คนไปรับฮั่วชิงเอ๋อร์กลับจวน
พอฮูหยินฮั่วได้ข่าว นางนิ่งไปนานทีเดียว ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงจะหันไปจับมือฮั่วกังทันที “ข้าไม่ได้ฟังผิดไปใช่หรือไม่? ชิงเอ๋อร์นาง…มิเป็นไรแล้ว?”
ฮั่วกังสีหน้าเคร่งขรึมและไม่ได้ดีใจสักเท่าไร
ฉู่อี้อันคอยส่งข่าวให้เขาตั้งแต่ตอนที่เพิ่งเกิดเรื่องขึ้น บอกให้เขาไม่ต้องตื่นตระหนก ดังนั้นเขาจึงไม่กังวลว่าจะเกิดเรื่องอันใดกับฮั่วชิงเอ๋อร์ เพียงแต่เวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนอันแสนสั้นที่ต้องเห็นลูกสาวที่รักติดคุกและช่วยอะไรไม่ได้ เขาก็เป็นห่วงไม่น้อยเช่นกัน
“ในเมื่อบอกว่าไม่เป็นไรแล้ว เจ้าก็ไปรับนางกลับมาเถอะ!” ฮั่วกังถอนหายใจแล้วเอ่ย
“อืม!” ฮูหยินฮั่วหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำตา แล้วรีบสั่งให้เตรียมรถม้าไปรับคน
—————————————–