สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 25.3 แผนร้ายลับหลัง ท่านหญิงอันเล่อถูกทำร้าย (3)
หลัวเหว่ยกับฮูหยินใหญ่หลัวเห็นการมาถึงของนางเข้าต่างก็ชะงักไปเล็กน้อย โดยเฉพาะฮูหยินใหญ่หลัว นางแทบจะมองตาขวางใส่นางเลยเสียด้วยซ้ำ
ฮูหยินรองหลัวยังจำความแค้นที่ถูกนางตบหน้าครั้งนั้นได้ ตอนนี้นางไม่ยอม ปรายตามองขวางใส่อีกฝ่ายเช่นเดียวกัน จากนั้นจึงไม่สนใจแยแสสีหน้ากล่าวเตือนของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย นางถอนหายใจแล้วพูดกับหลัวฮองเฮาว่า “ฮองเฮาเพคะ เรื่องนี้…พูดแล้วมันก็น่าอับอายยิ่งนัก เป็นความผิดของท่านพี่และพี่สะใภ้ของข้าเองเพคะ!”
ถึงแม้หลัวเหว่ยจะเป็นผู้นำตระกูล แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหลัวฮองเฮา เขาเองก็ไม่สามารถเอ่ยปากสั่งให้นางหยุดพูดได้
“อย่างไรกัน?” เมื่อหลัวฮองเฮารู้สึกตัวก็ขมวดคิ้วมองหน้านาง
“เรื่องนี้…” ฮูหยินรองหลัวตะกุกตะกักพูดไม่ออก ราวกับว่ามีเรื่องยุ่งยากเกินจะเอ่ยออกมา
“มีอะไรก็พูดมา เจ้าคิดจะเลียนแบบพวกนั้นเหมือนกันงั้นรึ อยู่ต่อหน้าข้าทำเป็นเคารพนับถือแต่ลับหลังแอบหวังร้ายน่ะ?” หลัวฮองเฮาพูดขึ้นอย่างโมโห
“หม่อมฉันมิบังอาจเพคะ!” ฮูหยินรองหลัวรีบคุกเข่าลงไป กวาดตามองด้วยแววตาตื่นตระหนกไปรอบทิศ
แววตาของหลัวฮองเฮามืดมนลงยกมือขึ้นโบกอย่างไม่สบอารมณ์ “ไฉ่เยว่ เจ้าพาพวกข้ารับใช้ออกไปให้หมด!”
“เพคะฮองเฮา!” ไฉ่เยว่ขานตอบด้วยความเคารพ แล้วพานางกำนัล แม่นมรวมถึงพวกทหารองครักษ์ออกไปจนหมด เหลือเพียงแม่นมเหลียงอยู่คนเดียวเท่านั้น
“ว่ามาสิ!” หลัวฮองเฮาเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา
“เมื่อวานในตอนที่ใต้เท้าเซียวมาเยือนจวนด้วยตนเองตอนนั้น ที่จริงแล้วได้มาบอกผลการชันสูตรศพน่ะเพคะ…ส่วงเอ๋อร์เด็กคนนั้นเขา…เขาไม่ได้เมาสุราจนเสียชีวิตไป แต่ว่า…เป็นเพราะเขาใช้ยาผงห้าศิลา[1]ต่างหากเพคะ” ฮูหยินรองแซ่หลัวเอ่ยขึ้นเสียงเบาอย่างระมัดระวัง
เมื่อหลัวฮองเฮาได้ยินดังนั้นก็ตกใจ จากนั้นโมโหออกมาทันที ยกถ้วยชาบนโต๊ะเขวี้ยงลงบนพื้นอย่างแรง
“เป็นเพราะกระหม่อมสั่งสอนบุตรชายได้ไม่ดีเองพ่ะย่ะค่ะ!” หลัวเหว่ยรีบก้มศีรษะรับโทษด้วยใบหน้าขึงขัง
“เจ้า…เจ้า…พวกเจ้านี่มัน…” หลัวฮองเฮายกนิ้วขึ้น ชี้สองสามีภรรยาคู่นั้นด้วยร่างกายสั่นเทิ้มไปทั้งตัว
มินาเล่าหลัวเหว่ยถึงได้พยายามจัดการเรื่องนี้ให้จบ ที่แท้เรื่องมันก็เป็นแบบนี้นี่เอง
คิดจะปิดบังให้เรื่องนี้เงียบไปสินะ
หากหลัวส่วงมีงานอดิเรกเยี่ยงนั้นจริงล่ะก็ การที่เขาใช้ยานั้นแล้วสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจนไปกระทำมิดีมิร้ายกับฮั่วชิงเอ๋อร์ เรื่องนี้ทุกอย่างก็ชัดเจนหมดแล้ว หากจะรื้อฟื้นมันขึ้นมาอีกล่ะก็…
พวกเขาไม่เพียงแต่ถูกมองว่าไร้สาระ กลับกันอาจจะได้รับโทษสาหัสจากฮ่องเต้เสียด้วยซ้ำไป!
เมื่อวานตอนที่แม่นางโม่โวยวายตอนนั้น ก็เจอเข้ากับตอนที่เจ้ากรมการพระนครมาพอดี พูดถึงเรื่องนั้น เดิมทีหลัวเหว่ยเองก็ไม่เชื่อ แต่เมื่อสั่งให้คนไปสืบค้น ดันพบหลักฐานอยู่ในห้องของหลัวส่วงเข้าจริงๆ
แม่นางโม่พูดบอกกล่าวจะเป็นจะตายว่าลูกชายของตนถูกใส่ร้าย แต่ในเมื่อหลักฐานคาตาอยู่เยี่ยงนั้น แถมยังมีสาส์นการชันสูตรศพของศาลาว่าการพระนครอีก ใครหน้าไหนก็ไม่สามารถปฏิเสธได้
หลัวเหว่ยละอายและโกรธเป็นอย่างมาก จึงรีบสั่งให้นางผู้หญิงคนนั้นกลืนยาพิษไปเสีย
แต่ตอนนั้นมีคนของฮูหยินรองอยู่ด้วย เดิมทีเขาเองก็ไม่คิดว่าจะปิดบังหลัวฮองเฮาไว้ได้อยู่แล้ว
แต่ในเมื่อตอนนี้เรื่องมันใหญ่โตถึงขั้นนี้ มันเกี่ยวพันกับอนาคตของจวนหลัวกั๋วกง ถึงหลัวฮองเฮาจะรู้เข้าก็เพียงทำได้แค่เก็บเรื่องนี้เป็นความลับแล้วโมโหต่อไปเพียงเท่านั้น
ฮูหยินใหญ่หลัวสูดหายใจเข้าลึกเพื่อตั้งสติ จากนั้นเอ่ยขึ้นว่า “ฮองเฮาเพคะ เจ้าเด็กส่วงเอ๋อร์คนนั้นแยกแยะไม่เป็นถึงได้ทำเรื่องพวกนี้ออกมา เป็นเพราะหม่อมฉันดูแลเขาไม่ดีเองเพคะ แต่ว่ากั๋วกง[2]เองก็ได้ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างชัดเจนแล้ว อีกอย่างของสิ่งนั้นนางแซ่โม่คนนั้นเป็นคนยุยงให้เขาเสพใช้เอง บอกว่าเป็นตัวช่วยที่ทำให้เขาเขียนบทความออกมาได้ดียิ่งขึ้น เป็นเพราะลูกชายหม่อมฉันโชคร้ายเอง ตอนนี้กั๋วกงเขาก็ได้จัดการสำเร็จโทษนางคนนั้นไปแล้วเพคะ พวกเราไม่อยากทำให้ฮองเฮากังวลไปด้วย หม่อมฉันขอรับประกันเลยเพคะว่าจะไม่มีการเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกแน่นอน”
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วจะพูดอะไรได้อีก?
ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่พวกนางก็ต้องยอมรับ
“ออกไปซะ! พวกเจ้าทั้งหมดไสหัวออกไปซะ!” หลัวฮองเฮาโกรธจนทนไม่ไหว ขึ้นเสียงอย่างโมโหเดือดดาล
“รักษาพระวรกายด้วยพ่ะย่ะค่ะฮองเฮา กระหม่อมขอตัวลาก่อน!” หลัวเหว่ยสองสามีภรรยาถวายความเคารพ ลุกขึ้นจากลาโดยไม่แม้แต่เอ่ยคำพูดอธิบาย
หลัวฮองเฮาเท้าแขนข้างเดียวอยู่บนโต๊ะ สงบสติอารมณ์อยู่นานแต่ก็ยังรู้สึกไม่สบายอยู่ดี
เดิมทีนางเองไม่ชอบขี้หน้าฮูหยินใหญ่หลัวอยู่แล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าคุณชายอย่างเขาคนนั้นกลับดีแต่เปลือกข้างในเน่าเฟะเยี่ยงนี้ ยิ่งคิดยิ่งทำให้นางยิ่งโกรธ
“ฮองเฮาเพคะ ในเมื่อเรื่องเกิดขึ้นแล้ว ฮองเฮาอย่าได้คิดมากจนทำร้ายพระวรกายของตัวเองเลยนะเพคะ”
ฮูหยินรองหลัวถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้นอย่างเป็นกังวล
หลัวฮองเฮาปรายตามองนาง แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ได้ยินว่าเจ้าไปวังบูรพามารึ?”
ฮูหยินรองหลัวตกใจจนชะงักไป นางรีบดึงสติกลับมาแล้วเอ่ยตอบไปว่า “เมื่อวานข้ายืมรถม้าของท่านหญิง สวินหยางกลับเรือนน่ะเพคะ เลยไปหานางเพื่อส่งมอบของกำนัลให้เป็นการขอบคุณ ถือซะว่าจะได้ไม่มีอะไรติดค้างกัน”
หลัวฮองเฮาจ้องมองนาง เห็นได้ชัดว่ากำลังสงสัยอีกฝ่ายอยู่
ฮูหยินรองหลัวเพียงแค่ยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “ที่จริงก็ไม่มีอะไรหรอกเพคะ เมื่อวานก็แค่พูดคุยกันสองประโยคเท่านั้น แต่หม่อมฉันเองก็รู้สึกถูกชะตากับท่านหญิงสวินหยางอยู่เหมือนกัน”
เมื่อหลัวฮองเฮาได้ยินดังนั้นเข้า สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนไปแลไม่น่าดูยิ่งกว่าเดิม พลางยกมือขึ้นโบกปัด “เจ้าก็กลับไปได้แล้ว ข้าเหนื่อย!”
“เพคะ งั้นหม่อมฉันขอตัวลาก่อนนะเพคะ” ฮูหยินรองหลัวรีบถวายบังคมแล้วจากออกมา
เมื่อนางออกไปแล้วหลัวฮองเฮาก็ส่งสายตาเป็นคำถามมองแม่นมเหลียง
“ฮองเฮา หม่อมฉันตรวจสอบมาแล้วเพคะ” แม่นมเหลียงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงระมัดระวัง “เมื่อวานท่านหญิง สวินหยางไปจวนหลัวกั๋วกง พบเจอกับฮูหยินรองและแม่นางหลัวอวี่ก่วนแค่สองคนเท่านั้น ไม่ได้มีการติดต่อไปมาหาสู่กับ
ฮูหยินใหญ่เลยเพคะ ส่วนเรื่องของคุณชายห้า…เป็นความจริงเกือบแปดส่วนเพคะ!”
“ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ!” หลัวฮองเฮาโมโห ตบโต๊ะลงอย่างแรง
หากนางได้หลักฐานว่าฮูหยินใหญ่รวมหัววางแผนกับคนนอกใส่ร้ายลูกหลานของตนล่ะก็ นางเองก็จะใช้เหตุผลว่าเขาประพฤติผิดไร้คุณธรรม แล้วนำไปกราบทูลฮ่องเต้ขอให้เปลี่ยนผู้สืบทอดสกุลหลัวได้แล้วแท้ๆ แต่นางไม่มี!
แม่นมเหลียงถอนหายใจออกมาพลางก้มศีรษะลงไปอย่างเสียใจ
———————————–
สุดท้ายเรื่องของครอบครัวสกุลหลัวได้แต่เงียบหายไปเสียดื้อๆ เสียแบบนี้ ผู้คนต่างเศร้าโศกเสียใจ นอกจากคนของฮูหยินรองแล้วกับอีกคนนั่นก็คือเจิ้งเยียน คนที่เป็นผู้อยู่ร่วมในเหตุการณ์ตั้งแต่เริ่มจนจบของเรื่องนี้ แต่เพียงแค่ไม่ได้ปรากฎตัวออกมาอย่างชัดเจนตั้งแต่แรกก็เท่านั้น เลยทำให้ไม่มีใครสังเกตเห็นถึงการมีอยู่ของนาง
คดีความครั้งนี้ได้บทสรุปแล้ว วันรุ่งขึ้นนางจึงต้องทำเป็นอ้างว่าไปแก้บนที่วัดก่วงเหลียน
วัดก่วงเหลียนห่างไกลจากตัวเมืองหลวงพอสมควร คุณหนูผู้อ่อนแอเปราะบางอย่างเจิ้งเยียนเองจำต้องนั่งรถม้าอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นถึงแม้จะออกเดินทางตั้งแต่เช้า แต่กว่าจะถึงวัดคงปาเข้าไปช่วงบ่าย
ทำเลของวัดก่วงเหลียนนั้นอยู่ห่างไกลนัก แต่ผู้คนต่างเล่าลือกันว่าพระวัดนี้นั้นศักดิ์สิทธิ์มาก ถึงตัววัดจะมีขนาดไม่ใหญ่โต แต่ธูปที่ปักอยู่นั้นมากโขเลยทีเดียว
ครอบครัวสกุลเจิ้งได้เตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว เมื่อเจิ้งเยียนมาถึงก็มีคนนำทางนางไปยังห้องพักเพื่อชำระล้างร่างกายเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที เพื่อที่จะได้เตรียมตัวตอบแทนพระผู้เป็นเจ้าในเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น
แต่เจิ้งเยียนไม่ได้สนใจเรื่องราวพวกนั้น นางรอให้พระที่นำทางนางมากลับออกไป นางก็รีบพาตัวข้ารับใช้คนสนิทเดินทางไปยังที่พักของฉู่หลิงอวิ้นทันที
ฉู่หลิงอวิ้นได้รับคำสั่งของฮ่องเต้ให้มาบำเพ็ญตน ณ ที่แห่งนี้ ตัวนางเองก็เกิดในครอบครัวเชื้อพระวงศ์ จึงไม่มีใครกล้าใช้กฎเกณฑ์ของพุทธศาสนามาบังคับนางได้ นางกลัวว่าจะมีข่าวลือที่ไม่ดีลือกันไปถึงเมืองหลวง นางเลยไม่กล้าทำอะไรเกินเลย จึงเอาแต่อยู่ในเรือนไม่ออกไปไหน
ท่านนักพรตแห่งวัดก่วงเหลียนเองก็จัดเรือนให้นางอยู่คนเดียวอย่างเป็นส่วนตัว ตัวเรือนตั้งอยู่ริมสุด บริเวณภายนอกตัวเรือนนั้นเป็นพื้นที่ว่างเปล่าจึงทำให้ไม่มีใครไปรบกวนนางได้
เจิ้งเยียนเองก็ไม่ได้มาที่แห่งนี้เป็นครั้งแรก ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นบอก นางเดินทางมาถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างถูกต้องรวดเร็ว
เนื่องด้วยใช้ข้ออ้างว่ามาบำเพ็ญตน ตอนนี้ฉู่หลิงอวิ้นจึงอยู่ในชุดนักบวชตัวใหญ่โคร่ง ในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน แม้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดอย่างเห็นได้ชัดแต่มันก็ชำระล้างร่างกายของนางไปได้เยอะพอสมควร โดยเฉพาะแววตานั้น ไม่เผยให้เห็นความโหดร้ายดุดันเลยแม้แต่น้อย
——————————–
[1] ยาผงห้าศิลา คือยาผงที่ทำขึ้นจากผงหินห้าสี เดิมมีสรรพคุณช่วยรักษาคนไข้ที่ทรมานจากพิษหนาว ดังนั้นยาขนานนี้จึงให้ความร้อนในร่างกายค่อนข้างแรง ถ้าใครทานเข้าไปอุณหภูมิในร่างกายอาจขึ้นสูงเกินขีดจำกัด ต่อมายังถูกปรับปรุงเป็นยากล่อมประสาท หรือที่เรียกกันว่ายาอีในปัจจุบัน
[2] กั๋วกง ตำแหน่งบรรดาศักดิ์สูงสุดของชั้นกง อันประกอบด้วย กั๋วกง จวิ้นกง และเซี่ยนกง และเป็นตำแหน่งสูงสุดที่ขุนนางจะได้รับพระราชทานจากฮ่องเต้