สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 26.2 เจ้าทำข้าเสียนิสัยหมดแล้ว! (2)
วันที่สามเดือนสาม
เทศกาลหญิงสาว[1]
ในครั้งนี้ฉู่อี้อันเปลี่ยนจากการที่ไม่ชอบทำตัวเป็นจุดสนใจในเวลาปกติไปอย่างสิ้นเชิง เขาเลือกจัดงานพิธีปักปิ่นสาบานตนเป็นผู้ใหญ่[2] ให้กับบุตรสาวทั้งสองคนอย่างใหญ่โต
ในฐานะที่เป็นมารดาในนามของฉู่สวินหยาง คนแซ่ฟางเองก็ถูกเชิญมาเข้าร่วมเช่นเดียวกัน
เนื่องจากเขาเลือกจัดงานพิธีสาบานตนในเทศกาลหญิงสาวแบบนี้ เมื่อผู้คนจากตระกูลสูงส่งหลายคนทราบข่าว เลยทำให้พวกเขาเลยเปลี่ยนวันพิธีสาบานตนของบุตรสาวตัวเองเป็นวันเกิดของพวกนางแต่ละคนแทน ทำให้วันนั้นที่นั่งในวังบูรพาแน่นขนัด ผู้คนต่างเข้ามามอบของขวัญแสดงความยินดีอย่างไม่หยุดหย่อน
ฉู่อี้อัน คนแซ่ฟาง และฮูหยินใหญ่นั่งดูภาพรวมของงานอยู่บนที่นั่งประธานจัดงาน
ใบหน้าของฮูหยินใหญ่เผยให้เห็นรอยยิ้มกว้างอันอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้จะรู้ว่าบุตรสาวของตนโชคดีแบบนี้เป็นเพราะฉู่สวินหยางก็ตาม
ทว่าใบหน้าของคนแซ่ฟางกลับเรียบเฉย ไม่เผยสีหน้าใดให้เห็นตั้งแต่ต้นจนจบ
ถึงแม้นางจะมีตำแหน่งเป็นถึงพระชายารอง แต่นางออกไปใช้ชีวิตอยู่ที่อารามเมตตาตั้งแต่ฉู่ฉีเฟิงกับฉู่สวินหยางเพิ่งอายุได้ครบหนึ่งขวบ หลายปีที่ผ่านมานี้ก็ไม่ได้เปิดเผยหน้าตาต่อสาธารณชน นี่นับว่าเป็นครั้งแรกที่นางเปิดตัวกับผู้คนอย่างเป็นทางการ ทำให้หลายคนเองแอบลอบสังเกตนางอยู่เงียบๆ
ลักษณะท่าทางของคนแซ่ฟางเหมือนปุถุชนทั่วไป ให้ความรู้สึกสะอาดสะอ้านบริสุทธิ์ แล้วยิ่งบวกกับการที่นางใช้ชีวิตอยู่ที่อารามเมตตามาเป็นเวลาหลายปี ทำให้นางดูนิ่งสงบ มีความเย็นชาไม่รู้ร้อนอยู่เนืองๆ ผู้คนต่างคิดกันไม่ตกว่าองค์รัชทายาทนั้นตกหลุมรักนางไปเพราะเหตุใดกันแน่ ทั้งยังเว้นที่ตำแหน่งพระชายาหลวงไว้เพื่อนางอยู่ตั้งหลายปี
คนแซ่ฟางรู้และสัมผัสได้ถึงสายตาของพวกหญิงสาวและคำวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้นได้เป็นอย่างดี แต่นางกลับทำเหมือนไม่แยแสสิ่งพวกนั้น นางเบนความสนใจของตนไปที่พิธีของฉู่สวินหยางและฉู่เยว่หนิง
ส่วนองค์รัชทายาทฉู่อี้อันที่นั่งอยู่กลับให้ความรู้สึกร้อนรนหวาดกลัวเล็กน้อย ถึงแม้มือจะถือถ้วยชา ตาจ้องมองไปยังบุตรสาวสองคนที่กำลังทำพิธีอยู่นั้นก็ตาม แต่ถ้าสังเกตดูดีๆ แล้วสายตาของเขากลับว่างเปล่าเหม่อลอย ไม่รู้ว่าคิดสิ่งใดอยู่
แขกรับเชิญเป็นพิเศษของพิธีนี้คือเต๋อเฟยและชิ่งเฟย
ตอนที่จะปักปิ่นให้ฉู่สวินหยาง เต๋อเฟยหยิบปิ่นหยกที่นางกำนัลเอามาให้ขึ้นมาแล้วหยุดค้างไปชั่วขณะ จากนั้นหัวเราะออกมาเบาๆ
นางใช้ชีวิตอยู่ในวังเคยเห็นสิ่งของมาทุกแบบทุกอย่าง ใครๆ ก็บอกกันว่าฉู่อี้อันรักบุตรสาวคนนี้เยี่ยงกระไรดี นั่นคงเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน แค่ปิ่นหยกอันนี้อันเดียว มันก็ราคาแพงหูฉี่แถมยังเป็นของหายากมากเหลือเกิน
พิธีดำเนินการไปได้อย่างราบรื่น เมื่อพิธีจบแล้วฮูหยินใหญ่ก็พาแขกทั้งหลายไปดื่มชาที่ห้องโถง เพื่อเป็นการรองานเลี้ยงฉลองที่จะจัดขึ้นหลังจากนี้ไปในตัว
ส่วนคนแซ่ฟางก็กลับไปยังห้องพักของตนอย่างเงียบๆ
ในฐานะที่เป็นตัวหลักของพิธีในวันนี้ ฉู่สวินหยางและฉู่เยว่หนิงเองก็ต้องคอยอยู่กับผู้คนในงานเช่นกัน
หญิงสาวสองคนสวมชุดสีสันสดใส สีชมพูกุหลาบอันแพรวพราวนั้นยิ่งขับให้พวกนางสวยสดใสน่าชม ที่จริงแบบชุดก็ไม่ต่างกันเท่าไรนัก แต่เพราะเค้าโครงหน้าของทั้งสองคนแตกต่างกันอย่างชัดเจน เลยทำให้มองดูแล้วทั้งสองคนต่างกันอย่างลิบลับ
ฉู่เยว่หนิงเป็นผู้หญิงเรียบร้อยอ่อนหวาน ถึงแม้นิสัยจะสดใสร่าเริง แต่มองดูแล้วให้ความรู้สึกอ่อนโยนนัก
แต่ฉู่สวินหยางนั้นราวกับว่านางเป็นแบบนั้นมาตั้งแต่เกิด นอกจากสง่างามที่มีอยู่แต่เดิมแล้ว ยังแฝงไปด้วยความสวยงามเฉียบคมอย่างเห็นได้ชัด มันไม่ใช่ความสวยงามภายนอก แต่มันคือความรู้สึกหยิ่งเย็นชาที่ออกมาจากตัวของนาง ซึ่งมันก็ไม่ได้ทำให้คนที่มองอยู่รู้สึกแย่เลย
พวกฮูหยินทั้งหลายต่างเข้ามาทำความเคารพแสดงความยินดี ด้วยความที่ฉู่เยว่หนิงหมั้นหมายกับคนอื่นไปแล้ว ทำให้สายตาของผู้คนส่วนใหญ่ต่างจับจองไปที่ตัวฉู่สวินหยาง
ด้วยความรักและเอ็นดูที่ฉู่อี้อันมีให้นาง ทำให้ฮูหยินทั้งหลายมองข้ามฐานะกระอักกระอ่วนของคนแซ่ฟางไปได้ ซึ่งฉู่สวินหยางเองก็ได้สัมผัสถึงการที่ถูกผู้คนรุมล้อมเป็นครั้งแรก
ในขณะที่กำลังทักทายผู้คนในห้องโถง ก็เห็นพ่อบ้านเจิงเดินเข้ามาช้าๆ ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ท่านหญิงทั้งสองขอรับ ฮูหยินใหญ่ขอรับ ของกำนัลจากฮ่องเต้ส่งมาถึงแล้วขอรับ เชิญท่านหญิงทั้งสองออกมารับพระราชโองการด้วยเถิด!”
ก่อนที่จะเริ่มพิธีสาบานตนฮ่องเต้ก็ทรงมอบของกำนัลให้พวกนางไปแล้วหนหนึ่ง แต่นี่อยู่ดีๆ ทำไมถึงได้มอบให้อีกหนแล้วล่ะ?
ฮูหยินใหญ่เองก็ตามออกมาดูด้วยความตกใจ
“ฮูหยินใหญ่เจ้าคะ บอกให้พวกเขาจุดธูปเตรียมรับพระราชโองการเถิดเจ้าค่ะ!” ฉู่สวินหยางกล่าวเตือน
“ได้สิ!” ฮูหยินใหญ่เพิ่งรู้สึกตัวได้ จึงเดินไปสั่งให้หรูโม่เตรียมการด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
ฉู่สวินหยางกับฉู่เยว่หนิงเดินมาด้านหน้า ผู้ควบคุมดูแลส่งมอบพระราชโองการครั้งนี้เป็นหลี่รุ่ยเสียง เห็นได้ชัดเลยว่าฮ่องเต้ให้ความสำคัญกับพวกนางมากขนาดไหน
ฉู่อี้อันนำขบวนผู้คนคุกเข่าลงรับพระราชโองการฮ่องเต้ เสียงอ่านรายชื่อของกำนัลนั้นยาวเหยียดจนทำให้ผู้คนต่างกลั้นหายใจด้วยความตะลึง
ขันทีค่อยๆ ยกถาดออกมาวางเรียงกันเป็นตับ ล้นหลามละลานตา
“น้ำใจจากฝ่าบาท มอบให้กับท่านหญิงทั้งสองในวาระพิธีสาบานตน” หลี่รุ่ยเสียงกล่าวปิดท้ายเพียงแค่นั้น
เมื่อเขากลับไปแล้ว ก็มีข่าวแพร่กระจายมาว่า เมื่อครู่นี้เมื่อหนึ่งชั่วยามที่แล้ว มีข่าวสงครามจากชายแดนทางเหนือว่ารบชนะอีกครั้งแล้ว ทำให้ฮ่องเต้ปลื้มปิติอย่างมาก เลยส่งของกำนัลมาให้อีกโข
“ข้ารู้มาแต่แรกแล้วว่าท่านหญิงสวินหยางเนี่ยเป็นคนโชคดี วันเวลาเกิดของนางตอนนั้นก็เป็นมงคล มีครั้งหนึ่งฮ่องเต้ยังเคยพูดหยอกเล่นอยู่เลย ว่าบุตรของชายารองแซ่ฟางทั้งสองคนนั้นเป็นสิ่งนำโชคของแคว้นซีเยว่ของเรา ดูท่าคงเป็นเรื่องจริงอย่างที่ว่ากัน” เต๋อเฟยดื่มชาไปพูดชื่นชมไป “ในวันพิธีสาบานตนของท่านหญิงทั้งสอง ยังได้ข่าวว่าชายแดนทางเหนือรบชนะอีก ก็ไม่แปลกที่ฮ่องเต้จะดีใจ เพราะมันก็เป็นเรื่องน่ายินดีทั้งสองเรื่องนี่หน่า!”
“ใครว่าไม่ใช่เล่า? คังจวิ้นอ๋องเองก็เป็นคนที่มีความตั้งใจมุ่งมั่น ช่วยองค์รัชทายาทดูแลการบ้านการเมืองตั้งแต่อายุยังน้อย ดูท่าอนาคตเองก็คงกว้างไกลยิ่งใหญ่ไพศาลแน่นอน” ชิ่งเฟยกล่าวเสริมขึ้น พูดพลางยิ้มตาหยีคุยกับฮูหยินใหญ่ว่า “เรื่องการแต่งงานของคังจวิ้นอ๋องกับสวินหยางยังไม่ได้ตกลงตัดสินใจใช่หรือไม่?”
“เรื่องงานแต่งของคังจวิ้นอ๋องไม่ต้องรีบหรอก ปล่อยไปอีกสักกี่ปีก็ไม่เป็นไร แต่ของฉู่สวินหยาง…” ฮูหยินใหญ่ยิ้มแล้วพูดขึ้นอย่างพออกพอใจว่า “ท่านเองก็รู้อยู่แล้วนี่เจ้าคะ ว่าองค์รัชทายาทโปรดเจ้าเด็กคนนี้มากขนาดไหน เขาน่าจะอดไม่ได้ที่จะปล่อยนางไปในเร็วๆ นี้หรอกเจ้าค่ะ”
ฮูหยินใหญ่ รู้ดีอยู่แก่ใจว่าพวกนางสองแม่ลูกไม่ได้มีความสำคัญ ครั้งนี้ที่ฮ่องเต้มอบของกำนัลให้ก็ตั้งใจจะให้ฉู่
สวินหยางคนเดียวเท่านั้น ถึงแม้พวกนางจะโดนกลบบดบังรัศมีไปจนหมด แต่ในเมื่อบุตรสาวของตนเองก็ได้รับความดีความชอบนั้นไปด้วย นางก็พึงพอใจแล้ว ไม่มีสิ่งใดให้ไปคิดเล็กคิดน้อยหรอก
แววตาของเต๋อเฟยส่องประกายเล็กน้อย พูดหยอกเล่นว่า “งั้นข้าคงต้องหาโอกาสบอกฝ่าบาทเองแล้วล่ะ หลานชายตระกูลฝั่งแม่ของข้าคนนั้น อายุพอๆ กับสวินหยางเลย คงเหมาะสมกันดี”
ส่วนทางฉู่อี้อันเอง คนปกติธรรมดาแล้วไม่ค่อยกล้าเข้าไปยุ่มย่ามหรอก
ดูท่าประโยคนั้นของเต๋อเฟยก็แค่พูดเล่นออกมา แต่ใบหน้าของฮูหยินรองหลัวที่นั่งอยู่ท่ามกลางฝูงชนกลับเปลี่ยนสีอย่างเห็นได้ชัด นางกำผ้าเช็ดมือแน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว…
เมื่อฉู่สวินหยางเข้าร่วมพิธีสาบานตนเสร็จก็ต้องหมั้นหมายการแต่งงานต่อเป็นแน่ แผนการที่พวกเขาตั้งใจว่าจะทำคงต้องเร่งมือขึ้นหน่อยแล้ว ไม่อย่างนั้นถึงแม้เต๋อเฟยจะพูดเล่น แต่ไม่แน่อาจจะมีใครอิจฉาตาร้อนเฝ้ารออยู่ แล้วแย่งชิงไปก่อนคงแย่แน่
เมื่อเต๋อเฟยกับชิ่งเฟยพูดเปิดประเด็นขึ้นมา ผู้คนที่เหลือต่างส่งเสียงเออออเห็นด้วย ทำให้บรรยากาศภายในห้องโถงนั้นครึกครื้นไม่เบา
—————————————-
[1] เทศกาลหญิงสาว เป็นเทศกาลแสดงถึงการโตเป็นสาวของเด็กหญิงชาวฮั่น สาวๆ จะอาบน้ำกล้วยไม้ แต่งชุดสวยงาม ร้องรำทำเพลงริมแม่น้ำ เที่ยวชมวิวฤดูใบไม้ผลิและขออธิษฐานให้มีความสุขตลอดชีวิต
[2] พิธีปักปิ่น หรือพิธีสาบานตนเป็นผู้ใหญ่ ของเด็กสาวที่มีอายุครบสิบห้าปี ในพิธีเด็กสาวจะรวบผมเป็นมวยไว้กลางศีรษะ ผู้ใหญ่ของเด็กจะเชิญแขกผู้หญิงมาช่วยปักปิ่นผมให้กับเด็กสาว เพื่อแสดงให้เห็นว่าเด็กสาวคนนั้นโตเป็นผู้ใหญ่และพร้อมจะออกเรือนได้แล้ว