สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 27.2 ฉู่ฉีเหยียน (2)
ฉู่ฉีเหยียนมีท่าทีประหลาดใจ มุมปากกระตุกเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างเสียดสี “แม้พูดกันว่าสงครามยากที่หนีไม่พ้นกลอุบาย แต่วิธีที่ไม่เอาด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกลเช่นนี้ย่อมมีไม่กี่คนเท่านั้นที่เลือกจะใช้ หรือเจ้าไม่กลัวว่าซูอี้เมื่อดำเนินการไปอย่างสุดโต่งแล้ว สุดท้ายก็จะถูกฝ่าบาทไม่พอใจ?”
“ยังไม่ถึงเวลานั้นแล้วใครจะรู้เล่า?” ฉู่สวินหยางถามกลับ เลิกคิ้วขึ้นแสงความไม่เห็นด้วยกับเขา
ฉู่ฉีเหยียนชายตามองนาง
เวลานี้เขาและฉู่ฉีเฟิงเมื่ออยู่ที่ท้องพระโรงต่างฝ่ายต่างขัดแข้งขัดขาชิงดีชิงเด่น ไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่อันใด แต่ว่าระหว่างฉู่สวินหยางนั้น การเอาคืนกันไปคืนกันมาเช่นนี้…
กลับทำให้รู้สึกเหนือความคาดหมายและอึดอัดแปลกๆ อย่างไรก็ไม่รู้อยู่บ้าง
เขายังคงมองไปที่นาง
ใบหน้าของเด็กสาวบนหลังม้านั้นสดใสองอาจ มองอย่างไรก็ไม่ใช่ท่าทีที่เด็กสาววัยอย่างนางควรจะเป็น เพียงแต่เล่ห์เหลี่ยมภายในของนาง กลับทำให้คนมิอาจป้องกันตัวเองได้
ฉู่ฉีเหยียนหัวเราะอย่างไร้เสียง คล้อยหลังมาค่อยเบนสายตาละจากใบหน้าของนางไป กล่าวอย่างราบเรียบ “เจ้าคิดว่าซูอี้มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะรับช่วงต่อจากอ๋องฉางซุ่นอย่างนั้นรึ?”
ฉู่สวินหยางเผยรอยยิ้มขึ้น “นั่นเป็นเรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับข้า!”
ฉู่ฉีเหยียนแม้ว่าจะรู้ถึงตัวตนของซูอี้แล้ว เช่นนั้นเพื่อที่จะขัดขวางเขา กลัวแต่พียงว่า….
เวลานี้เขาได้จัดผู้ที่มีฝีมือเหมาะสมเพื่อดำเนินแผนการลอบสังหารแล้ว
แต่ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่…
ไม่ใช่ว่านางทำกับซูอี้เกินไป แต่หากว่าอีกฝ่ายแม้แต่เรื่องเล็กๆ ก็ยังจัดการไม่ได้ เช่นนั้นก็ไม่คู่ควรให้นางเดิมพันข้างเขาแล้ว
แต่ไหนแต่ไรวิธีการของนางก็เป็นเช่นนี้ตลอด ไม่ว่าจะเป็นซูอี้หรือทั่วป๋าอวิ๋นจีที่ก่อนหน้านี้เหมือนกัน นางเลือกที่จะเป็นพันธมิตรกับพวกเขา แน่นอนว่าย่อมคอยปกป้องและสนับสนุน แต่ก็ไม่ใช่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ก็ล้วนแต่จะเข้าไปสอดมือยุ่งเกี่ยว
ฉู่ฉีเหยียนเห็นท่าทีเช่นนี้ของนาง จึงอดไม่ได้ที่จะสนใจเรื่องนี้ขึ้นมาอีกสามส่วน
“พวกเราอย่าเพิ่งคิดไปเองกับเรื่องที่ยังไกลตัวให้เปลืองแรงดีกว่า มิสู้คุยในเรื่องที่เกิดขณะนี้ก่อนเถอะ” ฉู่สวินหยางกล่าว ค่อยๆ เปลี่ยนเรื่อง ในขณะที่พูดก็เหลือบมองไปยังรถม้าที่ตามมาด้านหลัง “เรื่องที่เกิดกับจวนผิงกั๋วกงในตอนนี้คงไม่ใช่ว่าท่านรู้เห็นเป็นใจด้วยหรอกนะ?”
เจิ้งเยียนและฉู่หลิงอวิ้นร่วมมือกัน ไม่ต้องคิดก็รู้แล้วว่าเรื่องนี้ต้องเป็นเรื่องความสัมพันธ์ที่ฉู่หลิงอวิ้นไม่อาจถอนตัวได้ และไม่รู้ว่าฉู่ฉีเหยีนรู้เห็นเป็นใจหรือไม่ อย่างไรก็ต้องรอการยืนยันจากอีกฝ่าย
ฉู่ฉีเหยียนเม้มริมฝีปาก จู่ๆ ก็หลับตาลงอย่างรำคาญใจ
เรื่องของฉู่หลิงอวิ้นด้านนั้นเขาจนปัญญาจริงๆ ไม่สามารถแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่สนใจนางได้ แต่ถ้าหากจะจัดการอย่างจริงจังคงจะยุ่งยากซับซ้อนยากที่จะควบคุมเช่นกัน
ฉู่สวินหยางเมื่อเห็นว่าเขาไม่อยากตอบก็ไม่ได้บีบเค้นอะไร ปิดปากลงไปทั้งอย่างนั้น
คนกลุ่มนี้ไม่ได้เดินช้า แต่ตอนที่ไปถึงจวนผิงกั๋วกง ประตูใหญ่ของสกุลเจิ้งกลับยังคงแขวนโคมแดงอย่างวันปกติทั่วไป ไม่ได้มีสัญญาลักษณ์ของการไว้อาลัยแต่อย่างใด
ฉู่สวินหยางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
จวี๋เซียงที่ตามมาด้านหลังสะดุ้งจนร่างสั่นไหว
บ่าวเฝ้าหน้าประตูที่ได้ยินความเคลื่อนไหวก็เปิดประตูออกมา เมื่อพบฉู่สวินหยางและฉู่ฉีเหยียนก็ตกใจเป็นอย่างแรก ต่อมาพบว่าเจิ้งเยียนกลับมาด้วยกันก็ตกตะลึงไปอีก สีหน้านั้นเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่หยุด สุดท้ายจึงค่อยๆ พยายามไม่รีบร้อนค่อยๆ กล่าวขึ้นมา “ท่านหญิง ซื่อจื่อ คุณหนูใหญ่!”
เจิ้งเยียนมองผ่านเขาเข้าไปยังด้านในประตูอย่างสงสัย พลางกล่าวถามว่า “เกิดเรื่องอันใดขึ้น ไม่ใช่พี่สะใภ้ นาง…”
บ่าวผู้นั้นเห็นได้ชัดว่าอยากจะปิดบังอะไรบางอย่าง แต่ว่าเมื่อเจิ้งเยียนถามอย่างชัดเจนไปแล้วจึงทำได้เพียงฝืนใจพูดออกมาเท่านั้น “คุณหนูใหญ่อย่างไรเข้าไปด้านในแล้วค่อยคุยกันเถอะขอรับ!”
เจิ้งเยียนมีท่าทีราวกับกังวลขึ้นมา ยกกระโปรงขึ้นเดินเข้าไปด้านในอย่างเร่งรีบ
ฉู่สวินหยางและฉู่ฉีเหยียน ไม่ว่าใครต่างก็ไม่ได้สนใจใคร ก้าวเท้าตามเข้าไปด้านในทันที
ในห้องโถงใหญ่ ฮูหยินเจิ้งนั่งอยู่ด้วยสีหน้ามืดมน พ่อลูกเจิ้งตั๋วก็มีท่าทีเยือกเย็นนั่งอยู่บนเก้าอี้เช่นกัน
การตายของฉู่เยว่เหยาเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้พวกเขาทั้งหมดไม่ทันได้ตั้งตัว
“ท่านย่า…” ท้ายที่สุดยังคงเป็นเจิ้งเหวินคังที่ทนต่อบรรยากาศขมุกขมัวไม่ไหวจึงเอ่ยปากขึ้นก่อน “นางเป็นเช่นนั้น เดิมทีก็ไม่ต่างจากคนตายอยู่แล้ว ทิ้งนางไว้ ยังต้องเสียแรงกายแรงใจให้จวนพวกเรารับภาระดูแล ตอนนี้นางสิ้นแล้ว อย่างไรก็ทำให้สองฝ่ายจบด้วยดี ท่านย่าก็ไม่ต้อง…”
“นางตายเจ้าก็จบด้วยดีแล้วรึ ตอนนี้ข้าอยากถามว่าเจ้าจะทำอย่างไรกับวังบูรพา!” ฮูหยินเจิ้งกล่าวอย่างโมโห ตัดบทเขาอย่างเยือกเย็น
ตอนแรกเป็นฉู่สวินหยางที่ส่งความเมตตามาจนถึงหน้าประตู คำขอเดียวก็คือให้ดูแลชีวิตนี้ของนางเอาไว้
ตอนนี้คนตายไปแล้ว พวกเขาสกุลเจิ้งกลับตะบัดสัตย์กลายเป็นคนเลวไป
หากยังทำให้วังบูรพาเข้าใจผิดอีกว่าพวกเขาสมคบคิดกับจวนอ๋องหนานเหอ เช่นนั้นครั้งนี้พวกเขาก็เท่ากับว่าถูกจับมัดรวมว่าลงเรือลำเดียวกับจวนอ๋องหนานเหอแล้ว
หากเป็นก่อนหน้านี้ก็แล้วไป แต่ครั้นเป็นเวลานี้ที่ฉู่อี้หมินถูกรับโทษสูญเสียอำนาจไป
สีหน้าของเจิ้งตั๋วยิ่งดูบิดเบี้ยวขึ้นมา กล่าวราบเรียบกับแม่นมหูว่า “บ่าวสองคนนั้นว่าอย่างไรบ้าง?”
“ใช้เครื่องมือทรมานเค้นถามแล้วเจ้าค่ะ ทั้งสองคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ท่านหญิงแงะเปิดหน้าต่างด้านหลังออกไปเอง รอจนพวกบ่าวมาเห็นก็สายไปเสียแล้วเจ้าค่ะ” แม่นมหูกล่าว “บ่าวเข้าไปดูด้านในเรือนนั้นมาแล้ว ไม่เหมือนกับมีคนวางแผนอยู่เบื้องหลังจริงๆเจ้าค่ะ”
ไม่หลงเหลือจุดอ่อนเอาไว้ถือเป็นเรื่องที่ดีที่สุด หากจะหาพิรุธออกมาได้จริงๆ เรื่องนี้ก็คงยากที่จะจบลงด้วยดี
ฮูหยินเจิ้งเผยสีหน้าเย็นเยียบ หงุดหงิดไปสักพัก จากนั้นจึงค่อยกล่าวกับเจิ้งตั๋ว “เจ้าว่าเรื่องนี้ควรจะจัดการอย่างไรดี?”
“เวลานี้ท่านหญิงทั้งสองของวังบูรพาเข้าพิธีปักปิ่น[1] ในจวนก็กำลังจัดงานเฉลิมฉลอง ลูกจึงได้ออกคำสั่งให้ปิดข่าวเรื่องนี้ไว้ชั่วคราว รอจนถึงพรุ่งนี้ข้าจะไปขออภัยองค์รัชทายาทที่หน้าประตูด้วยตนเอง อธิบายสาเหตุให้เขาฟังอย่างชัดเจน” เจิ้งตั๋วกล่าวทั้งในใจก็เป็นกังวลอย่างยิ่ง
สกุลเจิ้งของพวกเขาแต่ไหนแต่ไรก็ไม่อยากจะเลือกฝักเลือกฝ่ายใดอยู่แล้ว แต่ยิ่งเป็นแบบนี้ราวกับมีคนจงใจไม่อยากให้เขาหยุดพักเสียมากกว่า
“อืม!” ฮูหยินเจิ้งพยักศีรษะ ตอนที่กำลังจะตอบกลับด้านนอกก็ปรากฏสาวใช้ที่มีท่าทีตื่นตระหนกเข้ามารายงาน
“ฮูหยินใหญ่ ท่านโหวเจ้าคะ ท่านหญิงสวินหยางและซื่อจื่อจวนหนานเหอมาเยี่ยมเจ้าค่ะ!”
สามคนในห้องล้วนแต่พากันตกตะลึง คล้อยหลังจึงค่อยๆเปลี่ยนสีหน้า
เจิ้งเหวินคังลุกขึ้นยืนเป็นคนแรก เบิกตากว้างแทบจะถลน “ใครนะ? เจ้าบอกว่าใครมานะ?”
“ท่านหญิงสวินหยางและซื่อจื่อจวนหนานเหอมาด้วยกันเจ้าค่ะ” สาวใช้คนนั้นตอบกลับ “คุณหนูใหญ่ก็ตามมาด้วยเช่นกันเจ้าค่ะ กล่าวว่ามีคนไปแจ้งข่าวการตายของท่านหญิงใหญ่ที่วังบูรพา เวลานี้จึงมาดูเจ้าค่ะ!”
“เจ้าไม่ใช่บอกว่าปิดข่าวไปแล้วหรอกรึ?” ฮูหยินเจิ้งโกรธฟึดฟัด ตบโต๊ะฉาดหนึ่งอย่างโมโห
“เป็นบ่าวที่เลินเล่อเจ้าค่ะ!” สาวใช้คนนั้นรู้สึกลำบากใจจนจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ “เป็นบ่าวที่คอยปัดกวาดอยู่ด้านล่างเป็นคนปล่อยข่าวในเรือนออกไปเจ้าค่ะ เดิมทีนางเข้าจวนมาพร้อมท่านหญิงใหญ่ เป็นคนขี้ขลาดตาขาวทั้งยังซื่อสัตย์ พวกบ่าวจึงประมาทไป…”
ฮูหยินเจิ้งตกตะลึงพรึงเพริด กฎของบ้านสกุลเจิ้งก็นับว่าค่อนข้างเข้มงวด ทั้งยังไม่มีใครไม่กล้าเชื่อฟังนาง แต่จวี๋เซียงเป็นคนที่เข้าจวนมาพร้อมกับฉู่เยว่เหยา ตอนนี้พอฉู่เยว่เหยาตาย เพียงแค่วังบูรพาออกหน้า สกุลเจิ้งก็ทำอะไรนางไม่ได้แล้ว
ฮูหยินเจิ้งอดไม่ได้ที่จะเผยใบหน้าบิดเบี้ยวขึ้นมาอีก ลังเลไปสักพักก่อนกล่าว “พวกเราไปดูเถิด คังเอ๋อร์ เจ้าเองก็ไปกับข้าด้วย”
“ขอรับ ท่านย่า!” เจิ้งเหวินคังตอบรับ พยุงมือนางด้วยตนเองไปยังห้องโถงด้านหน้า
———————————
[1] พิธีปักปิ่น โดยทั่วไปเด็กผู้หญิงพออายุ 15 ปี จะเข้าพิธีเกล้าผมปักปิ่น แสดงถึงการโตเป็นผู้ใหญ่ สามารถแต่งงานออกเรือนได้แล้ว