สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 28.1 แผนการของหลัวฮองเฮา! (1)
เมื่อฉู่ฉีเหยียนไปถึงวัดก่วงเหลียน เวลาก็เปลี่ยนเป็นยามเช้าวันใหม่แล้ว
พวกนักบวชที่ทำวัตรเช้าทยอยลุกตื่นขึ้น ส่วนห้องที่จัดไว้ให้ผู้มาปฏิบัติธรรมด้านหลังนั้นกลับเงียบเชียบเป็นเป่าสาก ฉู่ฉีเหยียนก้าวเข้าไปด้วยความรวดเร็ว หลี่หลินแทบจะก้าวตามไม่ทันเขา เพียงแต่รู้สึกถึงการเดินเร็วที่ราวกับเหาะเหินกลางอากาศก็มิปาน หลงเหลือเพียงเสียงสายลมบาดหูไว้ให้ด้านหลัง
เมื่อเข้าไปเรือนพบว่ามีแสงไฟจากในห้องทะลุออกมา ให้เห็น ใบหน้าของฉู่ฉีเหยียนก็ดูมืดมนไม่น่ามองขึ้นมา
องครักษ์คุ้มกันอยู่รอบๆ ที่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวจึงวิ่งกรูเข้ามา เมื่อเห็นว่าเป็นเขาก็ล้วนแต่รู้สึกแปลกใจ
“ซื่อจื่อ? เหตุใดท่าน…” ถึงมาตอนนี้ล่ะ?
“ไสหัวไป!” ฉู่ฉีเหยียนพ่นออกมาหนึ่งคำอย่างเยือกเย็น ยกเท้าก้าวเข้าไปในเรือน
แม้ว่านิสัยของเขาจะเย็นชาอยู่บ้าง แต่เป็นเพราะว่าสามารถควบคุมไว้ได้ตลอด อาการกระหืดกระหอบเช่นนี้จึงนับว่าเพิ่งเคยเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก
พวกองครักษ์ตกตะลึงไม่น้อย ต่างยืนมองกันหน้าตาเหลอหลาอยู่หน้าประตู
ฉู่ฉีเหยียนบุกเข้าไปตลอดทาง แม้ในเรือนจะไม่มีคนแต่เขาก็ไม่คิดส่งเสียง ใช้เท้าเตะประตูเปิดออกอย่างไม่อยากจะยอมรับความจริง
หลี่หลินเผยใบหน้าดำคล้ำเดินตามมาจากด้านหลัง เหลือบมององครักษ์ที่ยืนอยู่หน้าประตูจึงค่อยกล่าวด้วยเสียงเย็น “ยังไม่ไปกันอีก!”
พวกองครักษ์คล้ายกับดึงสติกลับมาได้ เวลานี้จึงรีบหมุนกายหลบหลีกออกไปคนละทิศคนละทาง
ฉู่ฉีเหยียนมาอย่างกะทันหัน เวลานี้ฉู่หลิงอวิ้นเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จโดยมีสาวใช้สองคนคอยเช็ดผมให้
“ซื่อ…ซื่อจื่อ!” จื่อเหวยและจื่อซวี่ตกตะลึง กล่าวออกมาอย่างเสียงสั่น
ฉู่หลิงอวิ้นเผินหน้าจากกระจกทองเหลืองกลับมา เหลือบมองเขาอย่างไร้ท่าที “เจ้ามาได้อย่างไร?”
ฉู่ฉีเหยียนใบหน้าบึ้งตึงไม่ตอบคำถาม เพียงแต่ถลึงตาใส่นางก่อนจะเดินบุ่มบ่ามเข้าไปในห้องด้านใน
“ซื่อ…” จื่อเหวยดึงสติกลับมาก็เรียกด้วยอยากรั้งเขาไว้ ทว่าเมื่อคำพูดออกมากลับหยุดกะทันหันอยู่อย่างนั้น
ฉู่หลิงอวิ้นรวบชุดนักบวชที่เทอะทะก่อนจะหยัดกายขึ้นมา ตามเข้าไปอย่างไม่ได้ว่าอะไร
ภายในห้องนั้นว่างเปล่า แต่ว่าบนเตียงนั้นยุ่งเหยิง ทั่วทุกที่ล้วนรู้สึกถึงกลิ่นเหม็นอย่างหนึ่งที่ยังตลบอบอวลไม่จางหาย ไม่ต้องคิดก็พอจะรู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น
ฉู่ฉีเหยียนกัดฟันแน่น ความโกรธพุ่งขึ้นที่ขมับ ลอบกำมือแน่นใต้แขนเสื้ออย่างเงียบเชียบ
ฉู่หลิงอวิ้นเดินตามขึ้นมาจากด้านหลัง กล่าวขึ้นอย่างไม่ใส่ใจอะไร “เจ้าหาอะไร? คนออกไปแล้วล่ะ!”
พูดยังไม่ทันจบ ฉู่ฉีเหยียนก็ยกมือตบเข้าที่หน้าของนางฉาดใหญ่
พละกำลังและความโกรธเกรี้ยวของเขา ล้วนเป็นสิ่งที่ฉู่หลิงอวิ้นไม่อาจรับไหว นางถลาออกไป หน้าผากชนเข้ากับขอบประตู เลือดไหลออกมาอย่างทันทีทันใด
นางมึนงงตาลายไปชั่วครู่ แทบจะยืนให้มั่นคงไม่ได้
“ท่านหญิง!” จื่อเหวยและจื่อซวี่พุ่งเข้าไปประคองนาง เมื่อมองเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดของนางก็ตกอกตกใจจนร้องไห้ออกมา
ฉู่หลิงอวิ้นถูกทั้งสองพยุงขึ้นมา เลือดที่ไหลเปรอะเปื้อนหน้าก็ไม่พยายามเช็ด ราวกับไร้สิ้นซึ่งความรู้สัก กลับกันเมื่อเห็นฉู่ฉีเหยียนอยู่ตรงหน้ากลับลอบยิ้มขึ้นมา
โลหิตที่ไหลอาบใบหน้า เส้นผมชื้นแฉะกระจัดกระจายอยู่บนหัวไหล่ จึงทำให้ใบหน้าของนางดูน่าหวาดผวาเป็นอย่างมาก คล้ายกับผีดุร้ายที่ปีนขึ้นจากที่ไหนสักที่มาก็มิปาน
“หึ…” นางมองฉู่ฉีเหยียน หัวเราะด้วยน้ำเสียงแหบแห้งขึ้นมา เมื่อได้ฟังเสียงหัวเราะนั้นกลับรู้สึกว่าเย้ยหยันเป็นพิเศษ “ทำอะไร? เจ้าวิ่งมาหาข้าที่นี่ตั้งไกลก็เพื่อข่มขู่อย่างนั้นรึ?”
ฉู่ฉีเหยียนประกายตาเย็นเยียบจ้องมองนาง แววตาดูอำมหิต ราวกับความโกรธที่อาจจะปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อนี้สามารถฉีกนางออกเป็นชิ้นๆได้ก็มิปาน
“เจ้ายังคิดได้อยู่หรือไม่ว่าเจ้าเป็นใคร?” ฉู่ฉีเหยียนกล่าว แม้ว่าจะพยายามรักษาท่าทีอย่างสุดกำลัง แต่น้ำเสียงที่ออกจากปากนั้นกลับกลายเป็นเสียงคำราม
เขาแทบที่จะควบคุมตัวเองไม่ไหว เดินไปด้านหน้า ก่อนจะคว้าเข้าที่คอของฉู่หลิงอวิ้น
ฉู่หลิงอวิ้นถูกเขาบีบคอจนหายใจลำบาก จู่ๆ ก็นึกถึงเหตุการณ์วันนั้นที่จางอวิ๋นอี้มาข่มขู่นางถึงหน้าประตู เสียการควบคุมไปชั่วครู่ก็ดิ้นรนสะบัดมือเขาออกด้วยความโกรธ ก่อนจะถอยหลังไปหนึ่งก้าว กล่าวเสียงดัง
“ที่นี่ไม่จำเป็นให้เจ้าต้องมาสอนข้า!”
อย่างไรก็เป็นพี่น้องร่วมสายเลือดที่เติบโตขึ้นมาด้วยกัน แม้ว่าฉู่ฉีเหยียนจะโกรธอย่างไรก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายนางจริงๆ เวลานี้เมื่อเห็นท่าทีของนางที่ผสมปนเปกันไปหมด จึงลอบมองนางอยู่นาน สุดท้ายก็ทำแค่เพียงสะบัดชายเสื้อก้าวไปอีกด้านหนึ่งของเรือน
ฉู่หลิงอวิ้นที่เห็นเขาสะบัดหน้าหนี จึงเกิดความขุ่นเคืองขึ้นมาชั่วขณะ ก้าวพุ่งไปอย่างรวดเร็ว เขย่าแขนของเขาก่อนกล่าวขึ้น “ทำไม? ตอนนี้เจ้ารู้สึกขายหน้าแล้วงั้นรึ? แม้แต่จะมองก็ยังคร้านที่จะมองข้าอย่างนั้นรึ?”
ฉู่ฉีเหยียนหลับตาลงอย่างเดียดฉันท์ เกรงว่าถ้าตนเองยังเห็นนางอีกก็คงจะควบคุมอารมณ์ไว้ไม่ไหวเป็นแน่
ก่อนหน้านี้ฉู่หลิงอวิ้นก่อปัญหาให้เขามากมายทั้งยังทำเรื่องผิดพลาดไม่น้อยอีก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ทำให้เขาสูญเสียการควบคุมเท่าครั้งนี้ เพียงครั้งเดียวก็เกินทน คล้ายกับมีคนตบหน้าเขาเข้าอย่างจัง ความรู้สึกในอกทั้งขุ่นเคือง ทั้งอับอายแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี
ฉู่หลิงอวิ้นเห็นเขาเป็นเช่นนั้นยิ่งเหมือนถูกยั่วยุขึ้นมา จึงใช้แรงเขย่าแขนเขาอย่างบ้าคลั่ง ร้องเสียงดังเอ็ดตะโร
“เจ้าพูดสิ? ตอบข้ามา? ตอนนี้เจ้าเพิ่งจะรู้สึกว่าข้าน่าอับอายทั้งยังก่อปัญหาให้เจ้าใช่หรือไม่? ฉู่ฉีเหยียน ข้าเป็นพี่แท้ๆของเจ้า แม้แต่เจ้าตอนนี้ก็ใช้สายตาเช่นนี้มองข้าอย่างงั้นรึ?”
ฉู่ฉีเหยียนถูกนางตะโกนใส่จนรำคาญใจ ในที่สุดยอมเบิกตามองนางอีกครั้ง กล่าวด้วยสียงเย็นเยียบ
“เหตุใดจึงต้องทำเช่นนี้?”
เมื่อประโยคนี้ออกจากปาก น้ำเสียงเขาก็แฝงความอนาถใจอยู่บ้าง
คนสองคน สบสายตาจ้องมองกัน
มองเห็นความเจ็บปวดที่แฝงอยู่ในดวงตาคู่นั้นของเขา น้ำตาของฉู่หลิงอวิ้นก็รินไหลอย่างไม่สามารถห้ามได้ทันที
“หึ…” นางตุปัดตุเป๋ถอยไปด้านหลังสองก้าว ตื่นตระหนกฟุ้งซ่านขึ้นมา “มีอะไรที่เจ้าไม่รู้บ้าง? เหตุใดวันนี้เจ้าจะต้องยุ่งไม่เข้าเรื่องมาถามเอาจากข้า? หากทั้งหมดนี้ข้าสามารถควบคุมได้ ข้าจะตกลงมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร? เจ้ารู้สึกว่าข้าทำให้เจ้าขายหน้าอย่างนั้นรึ? แล้วข้าเล่า?”
ในขณะที่นางพูด จู่ๆ ก็เบนหน้าหันไปทางฉู่ฉีเหยียนอีกครั้ง แววตานั้นชั่วขณะก็เปลี่ยนเป็นแค้นเคือง ผสมปนเปกับน้ำตาและเลือดบนใบหน้า ยิ่งดูน่าหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด
“หากไม่ใช่ว่าเจ้าเอาแต่นิ่งดูดายมาตลอด ข้าจะล่วงลงมาอย่างเช่นทุกวันนี้ได้อย่างไร?” ฉู่หลิงอวิ้นกล่าว ร่ำไห้ครวญคราง แย้งไปอย่างเศร้ารันทด “ฉู่ฉีเหยียน เจ้าลองถามตัวเองดู ว่าเหตุใดข้าจึงถูกนังเด็กคนนั้นเล่นงานซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเป็นเช่นนี้?”
“ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว!” ฉู่ฉีเหยียนกล่าว เขากดเสียงต่ำ กลับเกิดป็นเสียงแหบแห้งดังก้องออกมา “เหตุใดเจ้าไม่ฟังข้า ข้าบอกไปตั้งหลายครั้ง ให้เจ้าอย่าได้มุทะลุไม่ยั้งคิด เจ้า…”
“ใช่สิ เป็นข้าที่ตัดสินใจเองโดยไม่ฟังผู้ใด” ฉู่หลิงอวิ้นตัดบทเขาทันควัน “ข้าไม่ยอมหรอก ฉู่สวินหยางนับเป็นใครกัน? นางถือสิทธิ์อะไรจะมาแก่งแย่งชิงดีกับข้า? สิ่งที่ข้าต้องการอย่างไรก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องมอบให้ผู้อื่น นางอยากจะครองรักเคียงเรือนกับเหยียนหลิงจวิน ข้าไม่ยอมให้นางได้ทำสมความปรารถนาหรอก!”
ฉู่ฉีเหยียนโกรธจนหน้าดำหน้าแดง ใกล้ที่จะเสียการควบคุมอีกครั้ง กล่าวขึ้นอย่างเดือดดาล “เจ้ายังคงดื้อดึงยิ่งนัก!”
“อย่างไรก็มาถึงจุดนี้แล้ว เจ้ายังกลัวอะไรอีก?” ฉู่หลิงอวิ้นกล่าวอย่างเสียดสีโต้กลับไป ในแววตามีอารมณ์ดุเดือดบ้าคลั่งกำลังมอดไหม้อยู่ในนั้น
นางมองดูฉู่ฉีเหยียน จู่ๆ ก็อดไม่ไหว หัวเราะร่าออกมา “หากเจ้ามีความสามารถก็สนใจเพียงละครฉากใหญ่ของเจ้าต่อไป ไม่ต้องมายุ่งกับข้า!”
———————————