สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 28.5 แผนการของหลัวฮองเฮา! (5)
สิบปีมาแล้ว คำพูดและการกระทำของนางยังคงเป็นเหมือนดั่งปีนั้นไม่จางหาย เพียงเมื่อมองดูแล้วกลับเห็นได้ชัดถึงความเหนื่อยล้าและรอยเหี่ยวย่นอยู่รางๆ หลัวฮองเฮาเมื่อเห็นเช่นนี้ ในใจจึงรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
“ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ!” คนแซ่ฟางคุกเข้าคารวะตามหน้าที่
“อืม!” ฮองเฮานั่งอยู่ด้านบน เพียงแต่ใช้หางตากวาดมองดูนาง “ไม่ได้เจอมาสิบปี เจ้ากลับดูซูบผอมไปไม่น้อย”
คนแซ่ฟางเพียงแค่ก้มหน้าฟังไปอย่างนั้น ไม่ได้พูดอันใด
หลัวฮองเฮาไม่ชอบนาง ทุกประโยคที่พูดกับนางล้วนจำต้องไม่ได้มาจากใจจริง และวิธีจัดการที่เหมาะสมที่สุดสำหรับนางก็มีเพียงแต่รักษาความเงียบสงบไว้เท่านั้น
หลัวฮองเฮาแสนเกลียดท่าทางของนางที่ยอมทนราวกับเป็นกระสอบทรายอยู่เต็มทน หลายปีก่อนหน้านี้เมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้ ก็ล้วนแต่รู้สึกคลายความโกรธลงได้ ทว่ายามนี้เมื่อมองดู…
กลับต้องข่มความโกรธเกลียดเอาไว้
“ลุกขึ้นเถิด!” หลัวฮองเฮาสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อสงบสติอารมณ์ ก่อนจะหลุบตาดื่มชา
“ขอบพระทัยเพคะฮองเฮา!” คนแซ่ฟางกล่าว หยัดกายขึ้นเดินก้มหน้าไปนั่งประจำตำแหน่ง
“ได้ยินว่าเจ้ากำลังรีบร้อนกลับอารามเมตตา เช่นนั้นข้าก็จะไม่มากความ พูดคร่าวๆ ก็แล้วกัน” หลัวฮองเฮากล่าว
“เพคะ หม่อมฉันยินดีที่จะฟังคำสั่งสอนของฮองเฮา” คนแซ่ฟางกล่าวด้วยคำตอบกลับที่เป็นทางการอย่างยิ่ง
“ครั้งนี้ที่เจ้ากลับมาก็เพราะเรื่องพิธีปักปิ่นของฉู่สวินหยาง ปีแล้วปีเล่า เจ้าไม่ได้อยู่ข้างกายนาง เด็กคนนั้นน่าสงสารเป็นยิ่งนัก เวลานี้ในเมื่อเจ้ามาประจวบเหมาะพอดี ก็เป็นเวลาที่ควรจะทำเรื่องสักอย่างแทนนาง อย่างน้อยก็ทำในหน้าที่มารดา” หลัวฮองเฮากล่าว แม้ว่าในตอนที่พูดจะทำท่วงท่าราวกับยืนอยู่เหนือผู้คน แต่ขณะเดียวกันกลับใช้หางตาเหลือบมองดูปฏิกิริยานางอย่างตั้งใจมาโดยตลอด
คนแซ่ฟางเพียงแค่ฟังอย่างเงียบๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ ราวกับกำลังฟังฮองเฮากำลังพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับนางอย่างไรอย่างนั้น แม้แต่ตาก็ยังไม่กะพริบสักนิด
เพราะว่าทุกครั้งที่ฉู่สวินหยางไปเยี่ยมเยียนนางล้วนแต่มีฉู่ฉีเฟิงไปด้วยทุกครั้ง ความใกล้ชิดของแม่ลูกทั้งสามคน แท้จริงแล้วหลัวฮองเฮาก็ไม่รู้อย่างแน่ชัด ดังนั้นเวลานี้เมื่อเห็นว่าคนแซ่ฟางมีท่าทีไม่สนใจกับเรื่องที่พูดเช่นนี้ ในใจก็บังเกิดความสงสัยขึ้นมาไม่น้อย
สีหน้าของคนแซ่ฟางเรียบนิ่งเป็นอย่างยิ่ง นั่งหลุบตาต่ำอยู่ตรงนั้นแม้จะขยับก็ไม่สักนิด
จนกระทั่งหลัวฮองเฮาตระหนักได้ว่าตัวเองเหม่อลอยนานเกินไป จึงกระแอมขึ้นพูด “วันนี้ที่เรียกตัวเจ้ามาก็เพื่อเรื่องหนึ่ง สวินหยางเด็กคนนั้นก็โตแล้ว ชายใหญ่จะเอ็นดูนางอย่างไรก็เป็นเพียงความห่วงของผู้ชายเท่านั้น ข้าจึงเป็นธุระจัดการงานแต่งแทนนาง เจ้าลองคิดแทนนางดู หากคิดว่าเหมาะสม พวกเราก็กำหนดวันเสีย!”
คนแซ่ฟางเมื่อฟังจบ เวลานี้จึงค่อยขมวดคิ้วขึ้นมา กล่าวอย่างรู้สึกลำบากใจ “ฮองเฮา ฐานะของหม่อมฉันนั้นต่ำต้อย องค์รัชทายาทเคยกำชับเอาไว้ เรื่องงานแต่งของสวินหยางต้องเป็นเขา…”
“เขาเป็นพ่อของสวินหยาง เจ้าก็เป็นแม่ของนาง” หลัวฮองเฮากล่าวอย่างไม่ยินดี น้ำเสียงก็เริ่มจะจริงจังขึ้นมา กล่าว โทษนางอย่างไม่ให้ปฏิเสธโดยง่าย “หลายปีมานี้ เรื่องของเด็กคนนั้นล้วนเป็นเขาที่กังวลใจ หรือวันนี้ แม้แต่เรื่องแต่งงานก็จะให้เขาจัดการอยู่ฝ่ายเดียว? นี่มันใช้ได้ที่ไหนกัน?”
คนแซ่ฟางขบริมฝีปากแน่น ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยท่าทางที่ไม่เห็นด้วย แต่เมื่อเผชิญหน้ากับหลัวฮองเฮา ท้ายที่สุดก็ทำได้เพียงแค่นิ่งเงียบไม่ตอบกลับไปท่านั้น
ในขณะที่หลัวฮองเฮาพูดก็หยิบสาสน์ฉบับหนึ่งขึ้นมา ก่อนจะโยนไปยังมุมหนึ่งของโต๊ะ
แม่นมเหลียงหยิบสาสน์นั้นนำไปส่งตรงหน้าของคนแซ่ฟาง
คนแซ่ฟางนั้นยากที่จะลงจากหลังเสือ จึงทำได้เพียงฝืนใจรับเอาไว้
จากนั้นหลัวฮองเฮาจึงค่อยกล่าวต่อ “ในสาสน์ฉบับนี้ข้าให้คนดูดวงชะตาระหว่างชายสามสกุลหลัวและสวินหยาง หยางเฉิงกังกล่าวว่าทั้งสองนั้นสวรรค์ส่งให้มาเป็นคู่กัน ด้านสกุลหลัวนั้นมีชื่อเสียงโดดเด่น ความรู้ความสามารถของหลัวเสียง
ก็มีไม่น้อย ถือว่าคู่ควรกับสวินหยาง รวมกับสกุลหลัวที่เป็นสกุลของข้า เมื่อมีข้าอยู่ สวินหยางเด็กคนนั้นเมื่อแต่งเข้าไปก็มิอาจมีใครมาสร้างความลำบากให้แก่นางได้ หลังจากนี้เจ้าและชายใหญ่ก็จะได้ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยอีกแล้ว”
นางพูดรวดเดียวมาสักพักใหญ่ ไม่เปิดโอกาสให้คนแซ่ฟางได้สอดปากหรือกล่าวโต้แย้งแม้แต่น้อย
สีหน้าของคนแซ่ฟางดูไม่ดี เมื่อฟังนางกล่าวจบก็ลุกยืนขึ้นทำความเคารพ “เพคะ ฮองเฮาตัดสินใจแทนสวินหยางได้อย่างทั่วถึง หม่อมฉันขอบพระทัยพระองค์ หลังจากกลับไปหม่อมฉันจะพูดเรื่องนี้กับรัชทายาท ลองปรึกษากันดูสักหน่อย!”
นางไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจถึงจุดประสงค์ของฮองเฮา หากหลัวฮองเฮาอยากจะขอความเห็นจากฉู่อี้อัน เดิมทีก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเรียกนางมา
หลัวฮองเฮาเห็นนางแสร้งเขลา อดไม่ได้ที่จะหน้าเปลี่ยนสี กล่าวอย่างเยือกเย็น “คำพูดของข้าเมื่อสักครู่เจ้าทำเป็นหูทวนลมแล้วหรืออย่างไร? พูดแล้วว่ารัชทายาทงานยุ่งไม่ใช่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนแต่เอาไปรบกวนเขา วังบูรพาไม่มีชายาเอก เจ้าก็นับว่าเป็นแม่ของสกุล เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เจ้าตัดสินใจแทนเขาจะเป็นไรไป จะยุ่งยากขนาดไหนกันเชียว!”
“แต่ว่า…” คนแซ่ฟางราวกับมีความกระวนกระวายอยู่บ้าง เงยหน้าขึ้นมาในฉับพลัน
ความอดกลั้นของหลัวฮองเฮาก็แทบที่จะหมดลงแล้ว จึงปรายตาคมมองเฉือนไปยังนาง “มีอันใด? เจ้าไม่ชอบใจสกุลของข้าอย่างนั้นรึ?”
“หม่อมฉันมิบังอาจเพคะ!” คนแซ่ฟางกล่าวอย่างเร่งร้อน รีบคุกเข่าลงไป
เดิมทีหลัวฮองเฮาก็ไม่ยินดีเพราะฐานะเดิมของนาง เมื่อนางอยู่ตรงหน้าอีกฝ่าย แม้แต่ทางถอนตัวเล็กน้อยก็ไม่อาจมีอีกแล้ว
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เนื่องนี้ก็นับว่าเจ้าตกลงแล้ว” หลัวฮองเฮาก็ไม่หยั่งเชิงรอให้นางเอ่ยปากอีก เพียงแต่ออกคำสั่งกับแม่นมเหลียงไป “กลับไปให้ถ่ายทอดคำสั่งเชิญตัวคนแซ่เจียงเข้าวังมา อย่างไรข้าก็ต้องแจ้งนางสักหน่อย ให้รีบเตรียมการไปขอแต่งงาน”
“เพคะฮองเฮา!” แม่นมเหลียงรับคำสั่งอย่างอ่อนน้อม
จากนั้นหลัวฮองเฮาไม่คิดแม้แต่จะเหลียวแลคนแซ่ฟางแม้แต่น้อย หยัดกายขึ้นเดินเข้าไปในตำหนักด้านในทันที
รอจนนางไปแล้ว คนแซ่ฟางจึงค่อยลุกจากพื้นขึ้นมา บีบสาสน์ทำนายดวงชะตาของบ่าวสาวในมือแน่น จากนั้นจึงกัดริมฝีปากเดินออกไป
นางเป็นคนที่มักจะมีท่าทีเงียบสงบอยู่แล้ว หลังจากออกจากวังไปก็ขึ้นรถม้าโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ตลอดทางไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น รอจนรถม้าหยุดอยู่หน้าวังบูรพาแล้ว คนขับรถก็กระโดดลงมากล่าวเสียงดัง
“พระชายารอง มาถึงแล้ว!”
แต่เมื่อรอสักพัก บนรถนั้นกลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา
ฉู่สวินหยางก็ไม่แน่ใจว่าในวังเกิดเรื่องอันใดขึ้น ประจวบกับพาสาวใช้ออกมาด้วยพอดี เมื่อเห็นเช่นนั้นในใจก็พลันเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างขึ้นมา กล่าวออกคำสั่งทันที “ยังไม่ไปเชิญท่านแม่ลงมาอีก!”
“พ่ะย่ะค่ะ!” คนขับรถม้านั้นตอบรับ ยกมือเปิดประตูรถ คล้อยหลังกลับเผยใบหน้าซีดเผือกก้าวเดินถอยหลังหนึ่งก้าว ชี้ไปยังรถม้าด้านใน กล่าวด้วยเสียงสั่นสะท้าน “นี่…นี่…”
บนรถม้า คนแซ่ฟางล้มลงอยู่ตรงหน้าสาสน์ที่เปิดออกอยู่ฉบับหนึ่ง ใบหน้านั้นซีดเซียว บนสาสน์นั้นมีเลือดสีดำคล้ำที่นางกระอักออกมาเปรอะเปื้อนอยู่
เจี๋ยหงกระโดดขึ้นไปบนรถ พยุงร่างของคนแซ่ฟางขึ้นมาพิงกับตัวของนาง
นางติดตามอยู่ข้างกายเหยียนหลิงจวิน มีความคุ้นเคยกับการแพทย์อยู่บ้าง จึงยกข้อมือของคนแซ่ฟางลองจับชีพจรดูอย่างง่ายๆ จากนั้นจึงตกใจขึ้นมา หันไปกล่าวอย่างจริงจังกับฉู่สวินหยาง “ท่านหญิง พระชายารองถูกพิษเจ้าค่ะ!”
————————————–