สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 29.1 เลือดตกยางออก (1)
“ท่านหญิง ชายารองถูกพิษเจ้าค่ะ!” เจี๋ยหงบอก
พูดแล้วก็พลางอุ้มคนแซ่ฟางลงมาจากรถม้า
ฉู่สวินหยางตะลึงงันอยู่กับที่ พักหนึ่งถึงได้สติกลับคืนมา นางตวัดสายตาส่งสัญญาณไปให้เฉี่ยนลวี่ก็เข้าใจทันที
“ท่านหญิงอย่าได้กังวล บ่าวจะรีบไปตามใต้เท้าเหยียนหลิง!”จบคำ ก็ชิงม้าตัวหนึ่งมาจากองครักษ์แล้วพุ่งหายไป
“ท่านหญิง…” จูหยวนซานที่คุ้มครองคนแซ่ฟางเข้าวังเริ่มหน้าซีดไม่ต่างกัน ตอนนี้เพิ่งจะได้สติคืนมา กำลังจะเปิดปาก แต่พ่อบ้านเจิงที่รู้เรื่องแล้วก้าวพรวดๆ ออกมาเสียก่อน
“หมอกู่รออยู่ด้านในแล้วขอรับ” พ่อบ้านเจิงกล่าว
“พ่อบ้านเจิงไปด้วยตัวเองเถิด หากว่าท่านพ่อปลีกตัวออกมาไม่ได้ ก็ตามพี่รองกลับมาก่อน” ฉู่สวินหยางสั่งการเรียบง่าย
เจิงจีติดตามฉู่อี้อันอยู่ในค่ายทหารนานนับแรมปี พอมียศขุนนางติดตัวอยู่บ้าง องครักษ์ทั่วไปไม่อาจผ่านประตูวังเข้าไปได้ กว่าจะรอให้ข่าวส่งต่อๆ กันไปคาดว่าคงใช้เวลาถึงชั่วยามแน่
ส่วนฐานะของเจิงจีนั้นแตกต่าง สามารถละเว้นจากข้อกำหนดเหล่านี้ได้
“ขอรับ!” พ่อบ้านเจิงพยักหน้า องครักษ์รีบจูงม้ามาให้เขาทันที
หลังจากมองส่งเขาจากไปแล้ว จูหยวนซานยังทำหน้าตื่นตระหนกไม่เปลี่ยน ทั้งงึมงำอย่างไม่อยากเชื่อ
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?” ฉู่สวินหยางหันไปมอง นอกจากเห็นสีหน้าสำนึกผิดและเสียใจ เขายังใกล้จะร้องไห้เต็มแก่
“ระหว่างทางกลับมาแค่ครึ่งชั่วยาม ข้าน้อยคอยอารักขาข้างรถม้าของชายารองอยู่ตลอด ไม่ได้ห่างไปไหนเลย ไม่มีผู้ต้องสงสัยเข้าใกล้รถม้าได้แน่ ทั้งยังไม่มีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้นด้วย”
ตอนที่ชายารองออกมาจากวังยังดูปกติดี เดิมทีนางเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูดจา ตลอดทางนางไม่ส่งเสียง ก็หาได้มีใครสงสัย ทว่าเวลาสั้นๆ เพียงแค่ครึ่งชั่วยาม…
เหตุใดเป็นเช่นนี้ได้?
นี่มันไม่น่าเชื่อเอาเสียเลย
หัวคิ้วของฉู่สวินหยางขมวดมุ่น ดวงหน้าปรากฏความหนักใจอย่างที่ไม่เคยเป็น
นางกับคนแซ่ฟางไม่มีความผูกพันฉันท์แม่ลูกนั่นก็เรื่องหนึ่ง แต่อย่างไรคนแซ่ฟางก็เป็นมารดาของฉู่ฉีเฟิง ทั้งยังเกิดเรื่องขึ้นหลังจากที่หลัวฮองเฮาเรียกนางเข้าวังอีก ตั้งแต่แรกเริ่มเหตุการณ์นี้แสนจะอ่อนไหวและเต็มไปด้วยพิรุธ
ฉู่สวินหยางนิ่งคิด ใช้มือข้างหนึ่งยันไว้แล้วกระโดดขึ้นรถม้า
คนแซ่ฟางไม่ค่อยได้มาเมืองหลวงบ่อยนัก ที่จวนจึงไม่ได้เตรียมข้าวของไว้ให้นาง รถม้าคันนี้เป็นคันที่ฉู่สวินหยางใช้อยู่ประจำ เพียงหยิบยืมไปให้คนแซ่ฟางใช้เฉพาะหน้าไปก่อน
การจัดวางในห้องโดยสารฉู่สวินหยางเรียบร้อยเป็นอย่างดี ตรวจสอบคร่าวๆ ดูรอบหนึ่งก็ไม่พบร่องรอยว่ามีผู้ร้ายบุกเข้ามา ทั้งยังไร้เบาะแสว่ามีใครเล่นลูกไม้ตุกติก
เป็นตามที่จูหยวนซานบอก ทุกอย่างปกติเสียยิ่งกว่าอะไรดี
แต่ว่าอยู่ดีๆ คนแซ่ฟางจะถูกพิษได้อย่างไรกัน? คงมิใช่ฝีมือของหลัวฮองเฮาจริงๆ กระมัง? หากเป็นฝีมือนาง ถ้ามิใช่เลอะเลือนเต็มแก่ดูท่าคงจะใกล้บ้าเต็มที ถึงได้ลงมือกับคนแซ่ฟางอย่างไร้เหตุผลเยี่ยงนี้ นอกเสียจากนางอยากจะสะบั้นความเป็นแม่ลูกกับฉู่อี้อัน แต่ไม่ว่าจะมองมุมไหน หลัวฮองเฮาก็ไม่เหมือนคนที่ไร้สมองปานนั้น!
สำรวจไปรอบหนึ่งยังไร้ผลสรุป ฉู่สวินหยางยิ่งมืดแปดด้าน สายตากวาดมองรอบๆ อย่างไม่ตั้งใจ พลันสังเกตเห็นเทียบเชิญสองฉบับที่วางอยู่บนโต๊ะ
ฉบับที่วางอยู่ด้านบนเปิดกางไว้ บนเทียบเชิญมีรอยเลือดที่คนแซ่ฟางกระอักออกมา สีเลือดใกล้แห้ง เปรอะเลอะตัวอักษรไปบางส่วน แต่ก็ยังพออ่านออกอยู่…
มันคือวันเดือนปีเกิดที่แสนจะคุ้นเคยของนางเอง!
แน่นอนว่า คนแซ่ฟางไม่พกของพรรค์นี้แน่
เห็นนางจ้องเทียบเชิญอย่างเหม่อลอย จูหยวนซานจับสังเกตได้จึงเดินเข้ามาสมทบ “ชายารองนำสิ่งนี้ออกมาจากในวัง มันคือสิ่งใดหรือขอรับ?”
ถามความมือก็พลางยื่นไปหยิบอย่างใคร่รู้
“นี่!” ฉู่สวินหยางปัดมือเขาออก เหลือบมองของนั่นอย่างระแวดระวังแต่ก็ไม่ได้ขยับไปไหน เพียงยกกระโปรงแล้วกระโดดลงจากรถม้า สั่งการกับจูหยวนซานว่า “เจ้าเอารถม้าเข้าไปก่อน แล้วคอยจับตาดูคนรถรวมทั้งองครักษ์ทั้งหมดที่เข้าวังไปวันนี้ด้วย รอให้ท่านพ่อกับพี่ชายกลับมาแล้วค่อยจัดการ ส่วนรถม้าคันนี้ เจ้าต้องเป็นคนคอยดูมันไว้ ไม่อนุญาตให้ใครเข้าใกล้หรือทำอะไรโดยพลการเด็ดขาด”
“ขอรับ!” จูหยวนซานขานรับอย่างหนักแน่นจริงจัง
เหล่าองครักษ์ต่างพากันหวั่นวิตก ทว่ากฎระเบียบของวังบูรพาเข้มงวด แม้ความซวยอาจจะมาถึงตัว แต่ก็ไม่มีใครหาญกล้าโวยวายขอความเป็นธรรม
คนแซ่ฟางพักอยู่เรือนเล็กๆ ทางตะวันออกของวังบูรพา แม่นมฉางเดินวนไปวนมาอย่างร้อนใจอยู่ที่หน้าเรือน หมอกู่กับเจี๋ยหงสลับกันตรวจชีพจรให้คนแซ่ฟาง
ดวงหน้าของคนแซ่ฟางมีสีเขียวคล้ำ ฟันขบกันแน่น นอนไม่ได้สติ
“เป็นอย่างไรบ้าง?” ฉู่สวินหยางถาม
หงเจี๋ยเรียนวิชาจากเหยียนหลิงจวินมาเพียงหยิบมือ หลังจากหมอกู่ตรวจชีพจรเสร็จก็มีหน้าตาเคร่งเครียด ตอบเพียงว่า “พิษมีฤทธิ์แรงนัก ยังดีที่ชายารองโดนพิษไปเพียงเล็กน้อย ข้าน้อยฝังเข็มให้พิษหยุดนิ่งชั่วคราว ทว่าข้าน้อยวิชาตื้นเขิน คงแก้พิษให้ไม่ไหว ท่านหญิงควรจะ…”
“เฉี่ยนลวี่ไปเชิญใต้เท้าเหยียนหลิงมาแล้ว” ฉู่สวินหยางบอก เดินไปนั่งที่ขอบเตียง เอ่ยอย่างกังวลว่า “เจ้ามั่นใจใช่ไหมว่าระหว่างนี้ท่านแม่จะไม่เป็นอะไรไปเสียก่อน?”
“ตอนนี้ยังหรอกขอรับ!” หมอกู่พยักศีรษะ
ฉู่สวินหยางจึงไม่พูดอะไรอีก เพียงขมวดคิ้วเฝ้ามองคนแซ่ฟางที่นอนสีหน้าย่ำแย่อยู่บนเตียง
หลังจากเหยียนหลิงจวินกับฉู่ฉีเฟิงทราบข่าวก็มาถึงแทบจะไล่เลี่ยกัน
ขณะนั้นฉู่สวินหยางกำลังนั่งเหม่อลอยอยู่ที่ขอบเตียงคนแซ่ฟาง ได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านนอกก็รีบรวบรวมสติและออกไปรับ “ท่านพี่!”
นางคว้ามือของฉู่ฉีเฟิงไว้
เหยียนหลิงจวินเพียงหันมาสบตากับนางอย่างรีบร้อน แล้วพุ่งไปข้างเตียงคว้ามือของคนแซ่ฟางมาตรวจชีพจร
ดวงหน้าของฉู่ฉีเฟิงเคร่งขรึม เขาบีบมือฉู่สวินหยางกลับเบาๆ ฝืนยิ้มบางๆ ให้ทีหนึ่งก่อนจะเดินตามไปที่เตียง
เหยียนหลิงจวินตรวจดูอาการของคนแซ่ฟางอย่างละเอียดไปรอบหนึ่ง จากนั้นก็สั่งเชินหลานให้หยิบยาใสไร้สีชนิดหนึ่งออกมาผสมกับน้ำในถ้วย จากนั้นใช้เข็มทองทิ่มที่ปลายนิ้วของคนแซ่ฟางแล้วบีบเลือดหยดลงไป รอดูครู่หนึ่งก็รีบเขียนเทียบยาส่งให้เจี๋ยหง “เจ้าไปซื้อยาด้วยตัวเอง น้ำสามถ้วยต้มจนเหลือครึ่งถ้วย ทิ้งให้เย็นแล้วยกมาให้นางดื่ม ยานี้หากดื่มตอนร้อนจะออกฤทธิ์ไม่เต็มที่”
———————————–